เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินก็ยิ้มออกมา “วิธีการอ่อนโยนประนีประนอมอะไรกัน? ผลัดไปเรื่อยๆ เหรอ?”
“นั่นก็ไม่ใช่ นายสามารถหาโอกาสที่เหมาะสมพูดคุยกับเสี่ยวอี้อีก แต่แน่นอนว่าไม่ใช่วันนี้” เย่เฉินหยุนกล่าว
เขาเป็นกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเย่เสี่ยวอี้ในตอนนี้ ทันทีที่เธอรู้ว่าฟางยู่เชินกับเหลียงซินเวยคบหากัน คงจะทนรับไว้ไม่ไหวแน่นอน
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ได้สิ แต่นายบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าวันไหนถึงจะเหมาะ?”
ในความคิดของฟางยู่เชิน เย่เฉินหยุนก็แค่อยากจะยืดเยื้อเวลาก็เท่านั้น
ในเมื่อเย่เสี่ยวอี้เป็นน้องสาวของเขา เขาย่อมคิดหาทางช่วยน้องสาวของตัวเองอยู่แล้ว
เย่เฉินหยุนมองความคิดของเขาออก จึงหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดว่า “อันนี้ฉันไม่รู้หรอก นายเลือกเอาเองเถอะ”
“ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับละ”
ฟางยู่เชินพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ด้านนอกห้องหนังสือ เย่เสี่ยวอี้แนบหูฟังกับประตูห้อง และฟังบทสนทนาอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินฟางยู่เชินบอกว่ากำลังจะกลับ เธอก็รีบหมุนตัววิ่งกลับห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ฟางยู่เชินเปิดประตูเดินออกจากห้องหนังสือและเดินตรงไปที่บันได
ด้านหลังของเขา เย่เสี่ยวอี้โผล่หัวออกมาจากห้องของตัวเอง มองตามแผ่นหลังของเขา มือที่จับอยู่ตรงกรอบประตูค่อยๆ บีบแน่น สีหน้าบูดบึ้งมืดมน
คิดไม่ถึงว่าเขาจะคบกับเหลียงซินเวยอีนางคนชั้นต่ำนั่นจริงๆ
เมื่อนึกถึงเหลียงซินเวย เย่เสี่ยวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน สีหน้าที่แสดงออกบนใบหน้าดูบูดเบี้ยวไปหมด
ต้องเป็นนางคนชั้นต่ำนั่นยั่วยวนยู่เชินแน่ๆ ไม่อย่างนั้นยู่เชินจะไปชอบหล่อนได้ยังไง
เธอไม่มีทางยอมให้ใครมาแย่งยู่เชินไปหรอก
หลังจากฟางยู่เชินเดินลงบันไดไปชั้นล่าง เขาก็เดินตรงเข้าไปหาพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายที่กำลังพูดคุยกันอยู่ทันที
“พ่อครับ แม่ครับ ได้เวลากลับกันแล้วครับ”
ทันทีที่พ่อเย่ได้ยิน ก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที “ทำไมแกไม่อยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวอี้ให้มากกว่านี้หน่อยล่ะ?”
“เสี่ยวอี้ไม่สบาย ผมอยากให้เธอรีบพักผ่อน”
ฟางยู่เชินพลั้งปากพูดออกไป พวกพ่อเย่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร พลางทยอยพยักหน้า “ควรรีบพักผ่อนจริงๆ นั่นแหละ”
“คุณอา คุณน้า ผมยังมีงานต้องจัดการอีก ไว้วันหลังถ้ามีเวลาผมจะมาเยี่ยมพวกท่านใหม่นะครับ”
“ตอนนี้เธอควรจะให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานจริงๆ นั่นแหละ” พ่อเย่เผยรอยยิ้มชื่นชมออกมา
หลังจากผ่านการเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวต่างๆ นานาของฟางเถิงกับซ่างหยิงแล้ว ในที่สุดอารมณ์ของพ่อเย่แม่เย่ก็ดูอ่อนลงไปมากแล้ว
แม่เย่จ้องเขม็งใส่พ่อเย่อย่างไม่พอใจ “ให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานหมายความว่ายังไง? อายุอานามเท่าเขาควรจะแต่งงานมีครอบครัวไปนานแล้ว เพียงแค่ครอบครัวมั่นคงแล้ว อาชีพการงานถึงจะมั่นคงได้”
ฟางยู่เชินแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจความหมายของแม่เย่ ได้แต่ยิ้มออกมาน้อยๆ “คุณอาคุณน้า พวกเราไปก่อนนะครับ”
จากนั้นเขาก็หันมองไปที่พ่อแม่ของเขา “พ่อครับ แม่ครับ ไปกันเถอะครับ”
ฟางเถิงกับซ่างหยิงมองสบตากัน ในใจของพวกเขารู้ดีว่าลูกชายของพวกเขารีบร้อนอยากจะออกไปจากที่นี่มากแค่ไหน และไม่สามารถตำหนิต่อว่าเขาต่อหน้าพ่อเย่แม่เย่ได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนและกลับกันออกไป
ระหว่างทางกลับ ซ่างหยิงอดเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้ “ยู่เชิน ลองพยายามยอมรับหนูเสี่ยวอี้ดูก่อนเถอะ บางทีลูกอาจจะเห็นว่าเธอดีมากจริงๆ”
“แม่ครับ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะครับ” ฟางยู่เชินหันกลับมามองแม่ที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“แม่รู้ว่าบังคับไม่ได้ แม่ถึงใช้คำว่าพยายามไง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซ่างหยิงก็ถอนหายใจออกมา “เห็นสภาพเสี่ยวอี้ที่เป็นแบบนั้นแล้ว แม่ทั้งรู้สึกผิดทั้งปวดใจ”
“เสี่ยวอี้พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว” ฟางเถิงโอบไหล่เธอไว้พลางพูดปลอบใจ
“แล้วบาดแผลในใจล่ะ?” ซ่างหยิงมองไปทางฟางยู่เชินที่กำลังขับรถอย่างจริงจัง พลางพูดประชดประชันถากถางอย่างเคืองๆ “เป็นเพราะลูกชายผู้แสนดีของคุณนั่นแหละ ไม่รู้จักสงสารเด็กสาวอย่างเธอบ้างเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินก็อดรู้สึกจนปัญญาหมดหนทางขึ้นมาไม่ได้ “แม่ ผมบอกแม่ไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วนะครับว่าผมไม่ชอบเธอ แต่เป็นพวกแม่เองที่ยืนกรานอยากจะทำสัญญาการแต่งงานระหว่างสองตระกูล จนทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พวกพ่อกับแม่ต่างก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”
“ทำไม? ตอนนี้แกกำลังจะโทษฉันกับพ่อแกด้วยเหรอ?” ซ่างหยิงถามอย่างไม่พอใจ
“ผมเปล่า” ฟางยู่เชินปฏิเสธ
“เอาล่ะ หยุดพูดกันได้แล้ว” ฟางเถิงพูดไกล่เกลี่ยออกมาเสียงดัง “ยู่เชิน จดจำภาระที่แบกอยู่บนบ่าของแกให้ดี อย่าทำเรื่องที่มันไร้ยางอายน่าขายหน้าจนเกินเหตุ”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับพ่อ”
เสียงภายในรถเงียบลง รถแล่นไปบนถนนหลวงในยามค่ำคืนได้อย่างราบรื่น
……
สุดสัปดาห์
ผู้คนในห้างมีมากกว่าปกติ ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารก็ดีตามไปด้วย
เหลียงซินเวยยุ่งมาตลอดตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมงกว่า ถึงมีเวลาได้ทานอาหารกลางวัน
เธอถือกล่องอาหารกลางวันนั่งอยู่ตรงมุมมุมหนึ่งในห้องครัว พลางทานข้าวอย่างช้าๆ ทีละคำๆ
“ทำไมเธอถึงมาทานข้าวอยู่ที่นี่ล่ะ?” ส้งหร่านเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ที่นี่ไม่ดีเหรอคะ?” เหลียงซินเวยเงยหน้าขึ้นมองหล่อน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ
“ไม่ใช่ไม่ดี แค่รู้สึกว่ามันโดดเดี่ยวเกินไปหน่อย” ส้งหร่านนั่งลงข้างเธอ พลางเหลือบมองอาหารในกล่องอาหารกลางวันของเธอ “ทำเองเหรอ?”
เหลียงซินเวยตอบ “อืม” เบาๆ
“ทำไมไม่กินข้าวในร้านอาหารล่ะ” ส้งหร่านถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ช่วงนี้ลดน้ำหนัก ต้องทานอาหารรสจืดหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ส้งหร่านก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “เธอผอมมากขนาดนี้แล้ว ยังต้องลดน้ำหนักอีกเหรอ? เข้าใจกฎธรรมชาติบ้างไหมเนี่ย?”
เมื่อเทียบกับเหลียงซินเวยที่ผอมบาง ส้งหร่านดูสมบูรณ์อวบอิ่มกว่ามาก
เมื่อได้ยินเหลียงซินเวยบอกว่าจะลดน้ำหนัก หล่อนจึงอดตกใจไม่ได้
“ฉันแค่คิดว่าถ้าผอมลงกว่านี้อีกนิดน่าจะดูดีขึ้น” เหลียงซินเวยยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา
ส้งหร่านได้กลิ่นแปลกๆ ของความผิดปกติ จึงเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างคลุมเครือ “บอกมาตามตรงเลยนะ เธอมีแฟนแล้วใช่ไหม?”
เหลียงซินเวยหรี่ตาก้มหน้าอย่างเขินอาย กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะบอกกับหล่อนยังไงดี
เมื่อเห็นดังนั้น ส้งหร่านก็เบิกตากว้างขึ้นอีกครั้ง “เหลียงซินเวย เธอทำเกินไปแล้วนะ ไม่บอกฉันเลยสักคำ”
“เธอเสียงเบาหน่อยสิ” เหลียงซินเวยเห็นคนอื่นมองมาแล้ว จึงถลึงตาใส่หล่อนอย่างเคืองๆ
ส้งหร่านแลบลิ้นใส่ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เพื่อซุบซิบกัน “ฮี่ฮี่” เธอฉีกยิ้มออกมา “บอกมาตามตรงเลยนะว่าอีกฝ่ายเป็นใคร? หน้าตาเป็นยังไง? ทำงานอะไร? ดีกับเธอหรือเปล่า?…”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเป็นทอดๆ ของส้งหร่านเหลียงซินเวยก็เริ่มจะกลัว จึงรีบยกมือขึ้นเพื่อห้ามเธอไว้ “พอแล้ว อย่าถามมากขนาดนั้นสิ”
“นี่ฉันเป็นห่วงเธอนะ!” ส้งหร่านแสร้งทำเป็นจ้องเธออย่างไม่พอใจ
เหลียงซินเวยหัวเราะ “ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน แต่เธอถามออกมารวดเดียวเยอะขนาดนี้ ฉันจะตอบคำถามของเธอยังไงล่ะ?”
ส้งหร่านครุ่นคิดแล้วมันก็จริง จึงเลือกคำถามที่สำคัญที่สุด “ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกว่าเขาเป็นใครไหม”
“เธอรู้จัก”
ส้งหร่านประหลาดใจมาก “ฉันรู้จัก”
เดี๋ยวนะ!
ผู้ชายที่อยู่รอบตัวเวยเวย เธอพอจะรู้จักอยู่บ้างสองสามคน
หรือว่าจะเป็นหนึ่งในนั้น?
“กู้เนี่ยน?” ส้งหร่านลองถามอย่างหยั่งเชิง
เหลียงซินเวยส่ายหัวไปมา
“ไม่ใช่?” ส้งหร่านขมวดคิ้ว เพียงไม่นานเธอก็นึกอะไรบางอย่างออก ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ “คงไม่ใช่ฟางยู่เชินหรอกนะ?”
ทันทีที่ได้ยินว่า “ฟางยู่เชิน” ใบหน้าของเหลียงซินเวยก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงก่ำ
แต่ส้งหร่านไม่อยากจะเชื่อ “เวยเวย เธอกำลังล้อเล่นใช่ไหม?”
“ทำไมฉันต้องล้อเล่นด้วยล่ะ?” “เหลียงซินเวยเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างมึนงง
“ตระกูลฟางกับตระกูลเย่มีสัญญาเกี่ยวดองกันไม่ใช่เหรอ? แล้วฟางยู่เชินก็เป็นคู่หมั้นของเย่เสี่ยวอี้ เธอทำไมถึง……” ไม่ว่ายังไงส้งหร่านก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเป็นคนที่ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น
เหลียงซินเวยหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เธอเข้าใจผิดแล้ว เรื่องการแต่งงาน ยู่เชินไม่ได้เห็นด้วยเลย แต่เป็นที่บ้านเป็นคนจัดการทั้งหมด เขารับปากฉันแล้วว่าเขาจะไปเคลียร์ให้เรียบร้อย”