“หนูรู้อยู่แล้วค่ะว่ายู่เชินไม่มีไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอกค่ะ เขาแค่หลงกลนังนั่นเท่านั้นเองค่ะ”
ตั้งแต่แรกเย่เสี่ยวอี้ก็คิดว่าเหลียงซินเวยนั้นให้ท่าฟางยู่เชินมาโดยตลอด
“เหล่าเย่ ถ้าสิ่งที่เสี่ยวอี้พูดมาเป็นความจริงละก็ ต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วเลยนะ” แม่เย่พูด
เธอกลัวว่าถ้าไม่จัดการละก็ เรื่องการคลุมถุงชนก็อาจจะถูกยกเลิกก็ได้
“แม่คะ ไม่มีคำว่าถ้า เพราะมันเป็นเรื่องจริงค่ะ” เย่เสี่ยวอี้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ
แม่เย่พยักหน้า “เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริง”
พ่อเย่ทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้พูดออกมาว่า “งั้นก็แสดงว่า การที่ยู่เชินปฏิเสธเรื่องคลุมถุงชน ก็ต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอน”
“พ่อคะ ในที่สุดพ่อก็เข้าใจสักที” ในที่สุดเย่เสี่ยวอี้ก็รู้สึกโล่งอกสักที “มันต้องเกี่ยวข้องกับนังสารเลวนั่นอยู่แล้ว มันต้องพูดอะไรกับยู่เชินแน่ๆ”
“ไม่ได้ เหล่าเย่ ครั้งนี้เราจำเป็นต้องออกหน้าแล้ว” แม่เย่ไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองถูกทำร้าย “เราต้องให้ตระกูลฟางกับยู่เชินทำอะไรสักอย่าง ถ้ายังไม่ได้ เราก็ไปหาผู้หญิงคนนั้นเลย”
พ่อเย่พยักหน้า “ได้ เดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับเหล่าฟางดู”
เย่เสี่ยวอี้เดินเข้า นั่งลงข้างๆ เขา กอดเขาจากด้านข้าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนว่า “พ่อคะ พ่อนี่รักหนูที่สุดเลย”
พ่อเย่หันหน้ามามองเธอ “ถึงเรื่องนี้มันจะไม่ใช่ความผิดของแก แต่ต่อไปก็ห้ามใจร้อนแบบนี้อีก ถ้ามีอะไรก็ต้องปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เย่เสี่ยวอี้หนุนหัวไปที่หัวไหล่ของเขา “มีพ่อกับแม่อยู่ด้วย หนูก็สบายใจที่สุดแล้วค่ะ”
แม่เย่อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรื่องคลุมถุงชนนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน”
เย่เสี่ยวอี้พยักหน้า “ค่ะ”
ยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับฟางยู่เชินให้ได้ ไม่ยอมให้ใครหรือเรื่องอะไรก็ตามเข้ามาทำลายความรักของเธอกับฟางยู่เชินเด็ดขาด
…….
ตอนที่ฟางยู่เชินกลับมาถึงบ้าน ก็แทบจะเช้าแล้ว
เขาคิดว่าทุกคนนอนกันหมดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าพอเดินเข้าบ้านมา ไฟที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดขึ้น จนสว่างไสวขึ้นมาทันที
เขายืนอึ้งอยู่กับที่ แล้วมองไปทางห้องรับแขกอย่างอัตโนมัติ
เห็นฟางเถิงกับซ่างหยิงที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าของทั้งคู่ต่างดูไม่ดีเลย
ฟางยู่เชินรู้ดีว่าทั้งคู่กำลังรอเขาอยู่ และรู้ด้วยว่ารอเขาเพราะสาเหตุอะไร
เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไป
“พ่อ แม่ ทำไมยังไม่นอนกันอีกครับ?” เขาพยายามพูดออกมาให้เบาที่สุด
ซ่างหยิงหันมองฟางเถิงที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงทีหนึ่ง ก่อนจะตอบไปว่า “ก็รอแกอยู่นั่นแหละ”
ฟางยู่เชินยิ้มออกมา “จะรอผมทำไมครับ? กลัวผมจะไม่กลับมาเหรอครับ?”
เขาทำตัวผ่อนคลายเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน มันทำให้ฟางเถิงถึงกับโมโห แล้วตำหนิออกมาเสียงดังว่า “แกดูซิว่าแกทำถูกมั้ย? ที่กลับบ้านดึกดื่นแบบนี้! นี่แกไปไหนมา?”
“ผม…..ผมทำโอทีที่บริษัทไงครับ” หาข้ออ้างแบบส่งๆ
“ทำโออยู่ที่บริษัทอย่างนั้นเหรอ?” ฟางเถิงขมวดคิ้ว สายตาอันแหลมคมจับจ้องมาที่เขา “ยู่เชินนี่แกเห็นฉันกับแม่ของแกโง่นักใช่มั้ย?”
ฟางยู่เชินแอบตกใจอยู่ข้างใน แล้วถามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “นี่พวกพ่อถามส้งหยาวมาแล้วเหรอครับ?”
“เหลวไหล!” ฟางเถิงพูดด้วยความโมโห “คลิปในวันนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ฉันกับแม่แกกลัวจะกระทบกับงานของแก เลยตั้งใจรอแกเลิกงานแล้วค่อยถามให้รู้เรื่อง แต่ใครจะไปคิดว่าแกจะเลิกงานตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลา!”
ฟางยู่เชินมองต่ำ แล้วไม่พูดไม่จา
“แกไปหาผู้หญิงคนนั้นมาใช่มั้ย?” ฟางเถิงถาม
ถึงแม้ในใจของซ่างหยิงจะโกรธเรื่องลูกชายกับเหลียงซินเวย แต่มาตอนนี้ ก็ยังทนเห็นลูกชายโดนด่าไม่ได้อยู่ดี ทำได้แค่ส่งสายตาให้ลูกชาย ให้เขาอย่าพูดความจริงออกมา
แต่ฟางยู่เชินก็ยังเลือกที่จะพูดความจริง “ใช่ครับ ผมไปหาเวยเวยมา”
“ไร้สาระ!” ฟางเถิงลุกขึ้นมาด้วยความโมโห ชี้นิ้วไปที่เขา แล้วด่าไปว่า “นี่แกยังมีตระกูลฟางอยู่ในสายตามั้ย? ยังเห็นหัวคุณปู่ของแกอยู่รึเปล่า?”
“พ่อครับ พ่ออย่าเอาแต่ถามถึงเรื่องนี้ได้มั้ยครับ? ถ้าในสายตาของตระกูลฟางกับคุณปู่ละก็ตอนนั้นผมก็ไม่ยอมรับภาระอันหนักอึ้งอย่างฟางซื่อกรุ๊ปมาหรอกครับ”
ฟางยู่เชินนั้นไม่ชอบที่พ่อเอาแต่ซักถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทำอย่างกับว่าเขาไม่สนใจตระกูลฟางเลยสักนิด
แต่ในความเป็นจริงนั้น หลังจากที่คุณปู่เกิดอุบัติเหตุเขาก็เป็นคนแบกฟางซื่อกรุ๊ปอยู่คนเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำมา ราวกับว่าในสายตาของผู้เป็นพ่อนั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลย
“ในเมื่อแกยอมรับภาระนั้นมาแล้ว ก็ควรคิดเผื่อฟางซื่อกรุ๊ปที่ด้านสิ!” ฟางเถิงพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผล
พอได้ยินแบบนั้น ฟางยู่เชินก็หัวเราะออกมา หัวร้องอย่างประชดประชัน “พ่อครับ สรุปคือสิทธิ์ที่ผมจะเลือกชีวิตของตัวเองมันไม่มีเลยใช่มั้ยครับ?”
“มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ แต่หลักๆ ก็ยังต้องเอาตระกูลฟางเป็นที่ตั้งอยู่ดี!”
แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ในสายตาของฟางเถิงนั้น ผลประโยชน์ของตระกูลฟางสำคัญกว่าลูกชายอยู่แล้ว
ถึงแม้ฟางยู่เชินจะรู้ความคิดของผู้เป็นพ่อมาก่อนแล้ว แต่ในใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังอยู่ดี
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นการหัวเราะที่ค่อนข้างจนใจ “พ่อครับ พ่อจะช่วยคิดเผื่อผมหน่อยได้มั้ยครับ? ผมแค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมรักเท่านั้น แค่ความต้องการเล็กๆ แค่นี้ พ่อก็ไม่ยอมให้ผมได้สมหวังอย่างนั้นเหรอครับ?”
พอเห็นความเจ็บปวดใจแววตาของเขา ซ่างหยิงก็รู้สึกทนไม่ไหว จึงพูดออกไปว่า “เหล่าฟาง นี่เราเห็นแก่ตัวเกินไปมั้ย? บางทีเราก็ควรมองจากในมุมของลูกบ้างนะ”
“ให้มองในมุมมันอย่างนั้นเหรอ?” ฟางเถิงทำเสียงฮึดฮัด “ถ้าผมต้องคิดเผื่อมัน แล้วผมจะไปมองหน้าเหล่าเย่กับคนอื่นๆ ยังไง? คนอื่นเขาจะหาว่าตระกูลฟางของเรานั้นไม่รักษาคำพูด ถึงตอนนั้นยังจะมีใครอยากคบหากับเราอีก”
ซ่างหยิงขมวดคิ้ว “เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดหรอกมั้ง?”
“ร้ายมันแรงเกินกว่าที่พวกคุณจินตนาการไว้แน่นอน”
ฟางเถิงจ้องเขม็งไปที่ฟางยู่เชิน “ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันยังต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนกับเหล่าเย่มั้ย?”
เขาที่ทำตัวสูงส่งมากี่สิบปี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่นที่ไม่ใช่คุณท่าน
ที่สำคัญ อีกฝ่ายยังไม่ไว้หน้า เอาแต่พูดจาเสียดสีอีก
นึกถึงทีไร ฟางเถิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
“งั้นก็แค่ยกเลิกการคลุมถุงชนก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?” ฟางยู่เชินไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขาจะทนไปเพื่ออะไร
จากฐานะของตระกูลฟาง บวกกับการร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ปจึงไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเย่ซื่อกรุ๊ปเลย
“คิดว่าเรื่องคลุมถุงชนแค่บอกว่าจะยกเลิกก็สามารถยกเลิกได้เลยรึไง?” ฟางเถิงรู้สึกว่าความคิดของเขานั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
“ไม่อย่างนั้นล่ะครับ? ให้ออกข่าว? หรือตั้งโต๊ะแถลงข่าวล่ะครับ?”
ไม่ว่าจะวิธีไหน ขอแค่สามารถยกเลิกการคลุมถุงชนได้ เขาก็ยอมทำทุกอย่าง
“แกคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยรึไง?” ฟางเถิงหัวเราะด้วยความโกรธจากความไร้เดียงสาของเขา
“จริงๆ เรื่องนี้มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พ่อคิดเลยนะครับ” ฟางยู่เชินรู้สึกเบื่อหน่ายมาก
นอกจากเรื่องที่ต้องพึ่งพาตระกูลเย่เพื่อให้ฐานะของเขาในฟางซื่อกรุ๊ปมั่นคงขึ้น เขาก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมพ่อของเขาถึงเอาแต่ดึงดันที่จะคลุมถุงชนกับตระกูลเย่ด้วย
ฟางเถิงไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเขาแล้ว จึงได้เปลี่ยนเรื่องทันที “แกจำเป็นต้องขอโทษ เรื่องของแกกับเหลียงซินเวย แกต้องไปขอโทษเสี่ยวอี้และตระกูลเย่ และยังถือว่าเป็นการให้คำอธิบายกับทุกคนไปด้วยเลย”
ฟางยู่เชินนึกว่าตัวเองได้ยินผิด “พ่อครับ นี่พ่อเพี้ยนไปแล้วเหรอครับ? จะให้ผมไปขอโทษอะไร? พวกพ่อก็เห็นคลิปนั่นแล้วนี่ครับ คนผิดมันคือเย่เสี่ยวอี้แท้ๆ”
“ถูกต้อง เย่เสี่ยวอี้นั้นทำร้ายคนอื่นจริง แต่มันก็คนละเรื่องกัน แกควรจะรู้ไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะแกกับเหลี่ยงซินเวย เธอก็คงไม่ขาดสติขนาดนั้น!”
ฟางยู่เชินถือว่าเข้าใจแล้ว ว่าในสายตาของผู้เป็นพ่อ ลูกชายคนนี้ยังเทียบกับคนตระกูลฟางไม่ได้เลย!