นายท่านหญิงซ่างกวนโต้กลับ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างมั่นใจว่า “อย่างไรก็ตามหยวนหยวนก็เป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้ และการที่เขาทำแบบนี้กับหยวนหยวน มันจะจิตใจเหี้ยมโหด และไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเกินไปหน่อยเหรอ”
“นายท่านหญิงคะ สิ่งที่นายท่านหญิงพูดนี้มันรุนแรงเกินไปนะ!” แม่จิ้นโกรธ เพราะเธอไม่อาจทนต่อการที่ลูกชายของเธอต้องถูกคนพูดแบบนั้นใส่
“ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน! และที่เขาหลบหน้า เป็นเพราะเขากินปูนร้อนท้องจนไม่กล้าพบฉันหรือเปล่า?” นายท่านหญิงซ่างกวนไม่สนใจต่อการซักถามของแม่จิ้นเลย แต่สายตากลับมองไปรอบๆ และพยายามหาตัวจิ้นเฟิงเฉิน
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา “นายท่านหญิงครับ ผมยังไม่ถึงกับต้องกินปูนร้อนท้องหรอกครับ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในใจนายท่านหญิงก็เสียงดัง “กึกๆ” ไปทีหนึ่ง และเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียงนั้น
จากนั้นก็เห็นแค่จิ้นเฟิงเฉินเดินลงมาจากบันได และเดินตรงมาหาเธอทีละก้าว
ก็ยังเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่เธอรู้จักนั้น เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นกลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ และมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
ซึ่งมันสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการกดขี่ที่ออกมาจากตัวของเขาอย่างชัดเจน
มันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับคนรุ่นหลังคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็รู้สึกกลัวอยู่ในหัวใจเล็กน้อย และจับมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
“นายท่านหญิงครับ ถ้านายท่านหญิงมาที่นี่เพื่อขอความเมตตาให้ซ่างกวนหยวน เกรงว่าความพยายามของนายท่านหญิงจะสูญเปล่า” จิ้นเฟิงเฉินยืนตรงหน้าเธอ และเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินดังนั้น นายท่านหญิงก็ไม่สามารถสนใจอะไรไปมากกว่านี้ได้ เธอเอ่ยปากพูดว่า “แกทำแบบนี้กับหยวนหยวนได้ยังไง หรือว่าแกจะลืมความรู้สึกที่เธอมีต่อแกไปแล้วงั้นเหรอ?”
ริมฝีปากที่เปราะบางของจิ้นเฟิงเฉินก็เม้มปากเป็นเส้นตรง แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป
“เฟิงเฉิน ปล่อยหยวนหยวนไปเถอะ” น้ำเสียงของนายท่านหญิงผ่อนคลายลง และเต็มไปด้วยการขอร้องวิงวอน
“นี่เป็นกรรมตามสนองของตัวเธอเอง” จิ้นเฟิงเฉินไม่สะทกสะท้านใดๆ
“นี่แก!”
ความโกรธก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของเธอ และนายท่านหญิงก็จ้องเขาด้วยความโกรธแค้น
ต่อมาเธอจึงค่อยๆ หรี่ตาลง และพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยเกลียดชังไปว่า “หรือว่าแกคงจะไม่กลัวว่าฉันจะพูดเรื่องที่แกเนรคุณออกไป และเมื่อถึงตอนนั้นตระกูลจิ้นของพวกแกก็จะเสียหน้า และชื่อเสียงของแกก็จะเหม็นฉาวโฉ่ไปด้วย!”
“นี่นายท่านหญิงกำลังขู่ผมงั้นเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินสีหน้าหนักอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“เหอะ” นายท่านหญิงส่งเสียงหัวเราะ “ฉันกล้าขู่แกที่ไหนกันล่ะ ฉันแค่กำลังให้โอกาสแกเท่านั้น”
จิ้นเฟิงเฉินไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อ เขาจึงพูดถากถางไปว่า “โอ้ ตอนนั้นที่พวกเราไปขอร้องนายท่านหญิง นายท่านหญิงยังไม่ยอมรับว่าพี่ชายของผมเป็นคนของตระกูลจิ้นเลย แล้วทำไมถึงมายอมรับล่ะครับ?”
เมื่อถูกคนรุ่นหลังคนหนึ่งเยาะเย้ย สีหน้านายท่านหญิงก็ซีดเผือดไปครู่หนึ่ง ซึ่งมันก็ซีดมากเป็นพิเศษ
“ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของพี่ชายผม หรือท่าทีของตระกูลจิ้นต่างก็เหมือนกัน ดังนั้นพวกเราจะไม่มีวันให้อภัยซ่างกวนหยวน” จิ้นเฟิงเหราพูดหมดเปลือกออกไปโดยตรง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคอยก่อกวนอย่างไม่รู้จบ
นายท่านหญิงจ้องจิ้นเฟิงเฉินอย่างแน่นหนา “นี่แกจะทำเรื่องให้แย่ไปกว่านี้ใช่ไหม?”
“นี่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเองของซ่างกวนหยวนเอง เธอควรชดใช้ในทุกสิ่งที่เธอทำ ส่วนบุญคุณทั้งหมดที่นายท่านหญิงพูดนั้น ผมจะใช้คืนด้วยวิธีอื่น” น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินนั้นสงบอย่างมาก
เรื่องนี้มันไม่มีทางดึงสถานการณ์กลับคืนมาแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องที่หลานสาวต้องเผชิญหน้ากับหายนะในการติดคุก ความเคียดแค้นก็พุ่งเข้ามาในสมอง นายท่านหญิงจึงหน้ามืด และเป็นลมไป
“คุณย่าครับ!” ซ่างกวนเชียนกลัวจนหน้าถอดสี
คนตระกูลจิ้นต่างก็พากันตกใจเช่นกัน
“รีบส่งคนไปโรงพยาบาลเร็วเข้า!” พ่อจิ้นเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
ด้วยความช่วยเหลือของจิ้นเฟิงเฉินและจิ้นเฟิงเหรา นายท่านหญิงจึงถูกอุ้มขึ้นรถไป
ก่อนขึ้นรถ ซ่างกวนเชียนก็มองไปที่พวกเขาทั้งสอง เขาถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณนะ”
จากนั้น จึงขึ้นรถ แล้วสตาร์ทรถจากไป
“พี่ พี่คิดว่านายท่านหญิงจะยอมแพ้แค่นี้ไหม?” จิ้นเฟิงเหราส่งสายตามองดูรถที่ขับไกลออกไป แล้วเอ่ยปากพูด
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลง และความเยาะเย้ยก็ปรากฏที่มุมปากของเขา “ถึงจะไม่ยอมแพ้ก็คงต้องยอมแพ้”
ถ้านายท่านหญิงหยุดซ่างกวนเชียนตั้งแต่แรก เรื่องก็คงไม่มาถึงจุดจุดนี้หรอก ถ้าพูดตามตรงคือ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพวกเขาหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น
……
การเปิดศาลตรวจสำนวนและตัดสินคดีครั้งแรกนั้น ตระกูลจิ้นไม่มีใครเข้าร่วมเลยสักคน โดยพวกเขาได้มอบอำนาจทั้งหมดให้กับทนายโดยตรง
ซ่างกวนหยวนจ้องทนายที่นั่งอยู่บนที่นั่งของโจทก์ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะทนายได้เห็นฉากสถานการณ์ที่รุนแรงมามาก ไม่อย่างงั้นเขาคงไม่สามารถนั่งอยู่ภายใต้สายตาที่อาฆาตแค้นจนสามารถฆ่าคนได้ของเธอตั้งนานแล้ว
“ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน!”
เมื่อการพิจารณาคดีสิ้นสุดลง ซ่างกวนหยวนก็ร้องตะโกนออกมาทันที
ผู้พิพากษาขมวดคิ้วพร้อมกับมองมาที่เธอ
“ฉันบอกว่าฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน!” ซ่างกวนหยวนพูดคำร้องขอของเธออีกครั้ง
ผู้พิพากษาจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาเหลือบมองเธอไปแวบหนึ่ง และจากไปโดยไม่ให้ความสนใจใดๆ
“ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน! ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน…”
เมื่อตอนที่เธอถูกพาตัวไป ซ่างกวนหยวนยังคงไม่หยุดร้องตะโกน ซึ่งเธอก็ตะโกนจนเสียงแหบแห้งไป
ทนายความเจียงที่ช่วยแก้ต่างให้เธอทนไม่ได้ที่จะมองมา และแอบถอนหายใจ
ใครจะไปคิดว่าคุณหนูของตระกูลซ่างกวนที่กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวามาโดยตลอดนั้น จะตกอับถึงจุดนี้
เขาลืมตาขึ้นมองทนายตระกูลจิ้นที่กำลังเก็บเอกสารตรงที่นั่งของโจทก์ฝั่งตรงข้าม แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเดินออกจากศาล ทนายความเจียงก็ขวางทนายตระกูลจิ้นที่กำลังจะขึ้นรถไว้ “ทนายความฟางครับ ผมขอเวลาสักหน่อยได้ไหมครับ?”
ทนายความฟางจึงมองเขาอย่างเฉยชา “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญมากหรอกครับ” ทนายความเจียงยิ้มอย่างเก้อเขิน “เมื่อครู่ทั้งๆ ที่คุณก็เห็นว่าคุณหนูของตระกูลผมต้องการพบประธานจิ้นอย่างมากแล้ว ไม่ทราบว่าทางฝั่งพวกคุณจะสามารถช่วยผ่อนผันให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“ตระกูลจิ้นมอบทุกอย่างให้ผมจัดการแล้ว ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่ประธานจิ้นจะมาพบซ่างกวนหยวนหรอกครับ”
พอพูดจบ ทนายความฟางก็เปิดประตูและกำลังจะขึ้นรถไป
“เดี๋ยวก่อนครับ” ทนายความเจียงขวางเขาอีกครั้ง “ทนายความฟางครับ ผมขอร้องล่ะครับ คุณแค่ช่วยพูดความปรารถนาของคุณหนูของตระกูลผมให้ประธานจิ้นก็พอแล้วครับ”
ทนายความฟางไม่ได้ส่งเสียงใดๆ
“ขอร้องจริงๆ ล่ะครับ”
เมื่อมองท่าทีการขอร้องด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ของทนายความเจียงแล้ว ทนายความฟางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ครับ ผมจะบอกให้ประธานจิ้น”
การรับปากของเขา ทำให้ทนายความเจียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกขึ้นมาทันที ทนายความเจียงจึงขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทนายความฟางเหลือบมองเขาไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็ขับรถตรงไปที่ตระกูลจิ้น เพื่อรายงานสถานการณ์การตรวจสำนวนและตัดสินคดีต่อจิ้นเฟิงเฉิน
ในที่สุด เมื่อเขาเหลือบมองไปยังสีหน้าที่เย็นชาของจิ้นเฟิงเฉินแล้ว ก็ยังต้องลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ประธานจิ้นครับ ซ่างกวนหยวนเอาแต่ร้องโวยวายในศาลว่าต้องการพบคุณท่าน”
“แล้วคุณรับปากแล้วหรือยัง?” เปลือกตาของจิ้นเฟิงเฉินเปิดออกเบาๆ จากนั้นสายตาที่เย็นยะเยือกก็หยุดลงที่ใบหน้าของเขา
“ผมไม่กล้าหรอกครับ” ทนายความฟางก้มหน้าลง “ถ้าไม่มีความเห็นด้วยของคุณท่าน ผมจะกล้ารับปากได้ยังไงครับ?”
จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “บอกกับเธอว่า ผมไม่สามารถไปพบเธอได้ และไม่อยากพบเธอด้วย”
“ครับ”
ทนายความฟางหันกลับและกำลังจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
เขาหันหน้ากลับมา แล้วมองจิ้นเฟิงเฉิน “ประธานจิ้นยังต้องการสั่งอะไรอีกครับ?”
จิ้นเฟิงเฉินคิดไตร่ตรองไปชั่วขณะหนึ่ง “บอกเธอว่า ผมกับสื้อสื้อเรายังไม่ได้หย่ากัน ให้เธอตัดใจสะ”
ทนายความฟางพยักหน้า “ได้ครับ”
เมื่อซ่างกวนหยวนกลับไปถึงที่ทัณฑสถาน เธอยังคงร้องไห้และร้องโวยวายเพราะต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน
“ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน! ได้ยินไหม? ฉันต้องการพบจิ้นเฟิงเฉิน!” ซ่างกวนหยวนร้องตะโกนออกมาอย่างสุดกำลัง
ตำรวจยืนอยู่ข้างนอก แล้วมองเธออย่างเย็นชาผ่านทางหน้าต่างที่ประตู
ซ่างกวนหยวนร้องไห้และอยู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “จิ้นเฟิงเฉิน คุณมันใจดำ! ถึงกับไม่มาพบฉันเลยสักนิด!”
การขึ้นศาลวันนี้ เธอยังคิดว่าจะได้พบจิ้นเฟิงเฉิน แต่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย แม้แต่เจียงสื้อสื้อก็ยังไม่พบเลย
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาไร้น้ำใจและใจดำกับตัวเองขนาดนี้ หัวใจของเธอก็เจ็บปวดราวกับถูกคนใช้มีดแทงเป็นระยะๆ