มันเป็นเพราะความสามารถโดยกำเนิด และการงานของเขาก็ราบรื่นกว่าที่จิ้นเฟิงเฉินจะจินตนาการไว้มาก
ตราบใดที่เขาอยู่ที่จิ้นกรุ๊ป เขาจะเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่ดำเนินงานไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด
“ท่านประธานครับ ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นกับโครงการนี้แล้วครับ ถ้ายังทำต่อไป อาจขาดทุนได้ครับ” ผู้จัดการโครงการก้มหน้าลง พร้อมกับกำหมัดไว้แน่นอย่างกระวนกระวายใจ
โครงการที่เขากำลังพูดถึงนั้นก็คือหนังสือโครงการที่จิ้นเฟิงเฉินกำลังอ่านอยู่นั่นเอง
จิ้นเฟิงเฉินมองดูอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นมองผู้จัดการโครงการ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หยุดโครงการนี้ทันที”
ผู้จัดการโครงการเงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านประธานครับ ถ้าโครงการนี้หยุดลง เช่นนั้นงานเตรียมการก่อนหน้านี้ของเราก็เปล่าประโยชน์ไปสิครับ?”
“แค่หยุดชั่วคราวเท่านั้น”
จิ้นเฟิงเฉินปิดเอกสาร และพูดอธิบายแผนปรับปรุงอย่างใจเย็นและหนักแน่น พร้อมกับพูดว่า “ผมจะระดมเงินทุนเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่าง และรอจนกว่าทุกอย่างจะเหมาะสมและเรียบร้อยเราค่อยเริ่มกันใหม่อีกครั้ง”
“ครับ” ผู้จัดการโครงส่งเสียงตอบรับด้วยความเคารพ และแอบชื่นชมจิ้นเฟิงเฉินอยู่ในใจ
ไม่เพียงแต่จะหยุดโครงการอย่างเด็ดขาดเท่านั้น ยังมีการคิดแผนติดตามผลเป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยที่เวลาทั้งหมดยังไม่ถึงยี่สิบนาทีเลย
เมื่อจิ้นเฟิงเหรากลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ก็ถูกพ่อแม่ของเขาดึงตัวไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น
“เฟิงเหรา วันนี้พี่ชายของลูกเป็นยังไงบ้าง? คงจะไม่ชินใช่ไหมลูก?” น้ำเสียงแม่จิ้นมีความเร่งรีบอยู่เล็กน้อย
รู้บ้างไหมว่าวันนี้แม่กังวลทั้งวันเลย กลัวว่าจิ้นเฟิงเฉินจะมีปัญหาเพราะความไม่คุ้นเคย
“พ่อครับ แม่ครับ พวกท่านนี่ดูหมิ่นดูแคลนพี่ชายของผมเกินไปแล้ว เขาเป็นคนยังไงนั้นพวกท่านก็รู้ดีอยู่นี่ครับ และงานของเขาก็ถูกสลักไว้ในกระดูกของเขามานานแล้ว ดังนั้นแล้วเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
จิ้นเฟิงเหราไม่สามารถซ่อนความเลื่อมใสของเขาได้
แม่จิ้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปทีหนึ่ง “แม่ไม่ได้ดูหมิ่นดูแคลนเฟิงเฉินเลยนะ แม่แค่กังวลว่าเขาจะไม่ชินเท่านั้น”
“วางใจเถอะครับ การที่พี่ชายกลับไปครั้งนี้ จะมีใครบ้างไม่ยอมรับเขา” จิ้นเฟิงเหราโอบไหล่ของเธอไว้ แล้วพูดปลอบโยน
แม่จิ้นพยักหน้า “งั้นก็ดีแล้วล่ะ”
……
วันเวลาก็ผ่านไปอย่างสงบหลายวัน
จิ้นเฟิงเฉินก็เข้ามาทำงานอีกครั้ง เพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน เขาจึงออกไปแต่เช้าและกลับดึกแทบทุกวัน
และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาทำงานล่วงเวลาจนถึงเช้าแล้วค่อยกลับบ้าน และเจียงสื้อสื้อก็กำลังนอนรอเขาอยู่บนเตียง
“ดึกอีกแล้ว เหนื่อยไหมคะ?”
เจียงสื้อสื้อห่วงใยเขา โดยกลัวว่าร่างกายของเขาจะทนรับไม่ไหว
“ไม่เหนื่อยหรอก ถ้าผ่านช่วงนี้ไปก็ไม่เป็นไรแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินพูดปลอบใจเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ถ้าคุณยุ่งมากจริงๆ ก็ให้เฟิงเหราช่วยสิ” เจียงสื้อสื้อกลัวว่าเขาคนเดียวมันจะเหนื่อยเกินไป
ก่อนหน้านี้เขาไม่อยู่ เฟิงเหราก็ดูแลบริษัทมาโดยตลอดนี่นา และเขาก็สามารถช่วยได้อย่างแน่นอน
“ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “ขอโทษนะ ระยะนี้ผมไม่ได้อยู่กับคุณเลย”
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นไป มองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของเขา มุมปากของเธอก็โค้งขึ้น “คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไปหรอกค่ะ ไว้คุณว่างแล้วค่อยมาอยู่กับฉันก็ได้”
จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปสักครู่ “เมื่อก่อนคุณก็เข้าใจผมอย่างนี้เหรอ?”
“คะ?” เจียงสื้อสื้อไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ
“ก่อนหน้านี้ผมก็ยุ่งมากเช่นกัน คุณก็ไม่บ่นสักคำเลยหรือเปล่า”
เจียงสื้อสื้อถามกลับ “ฉันต้องบ่นด้วยเหรอคะ?”
“ผมไม่รู้” จิ้นเฟิงเฉินส่ายหัว
เจียงสื้อสื้อก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วออกห่างจากอ้อมกอดของเขาไป จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาอย่างลึกซึ้ง “เฟิงเฉิน ฉันจะไม่บ่นเพราะคุณยุ่งหรอกนะ หรือว่าบ่นเพราะคุณไม่มีเวลาอยู่กับฉัน เพราะว่าไม่เพียงแต่มีฉันที่ต้องการคุณเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจิ้นหรือแม้แต่บริษัทล้วนก็ต้องการคุณด้วย”
ได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็หัวเราะอย่างจนปัญญาอกมา “ผมสำคัญขนาดนั้นแล้วเหรอ?”
“ค่ะ คุณสำคัญมากนะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“สำหรับฉันแล้ว คุณก็สำคัญมากเช่นกัน”
จิ้นเฟิงเฉินอกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
……
ในวันนี้ เจียงสื้อสื้อก็ส่งจิ้นเฟิงเฉินออกไปทำงานตามปกติ หลังจากดูรถของเขาที่ขับออกไปไกลแล้วนั้น เธอก็หันหลังกลับและกำลังจะเข้าไปในบ้าน
อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เธอจึงทำได้แค่หยุดลง และหยิบมือถือออกจากกระเป๋าของเธอ
ซึ่งมันเป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย
เธอจึงลังเลไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
ทางปลายสายนั้นกลับเงียบกริบ ดังนั้นเจียงสื้อสื้อจึงคิดว่าคงยังไม่ได้รับสาย เธอจึงหยิบมือถือออกมาดูไปแวบหนึ่ง
เธอคิ้วขมวดเล็กน้อย
และหน้าจอก็ยังแสดงหน้ากำลังโทรอยู่เช่นกัน
เธอจึงวางมือถือแนบหูไว้ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่านั่นใครคะ?”
ครั้งนี้จึงมีเสียงตอบกลับมา
“ฉันคือย่าของหยวนหยวน”
สีหน้าที่เดิมทีดูผ่อนคลายของเจียงสื้อสื้อนั้น ก็เปลี่ยนเป็นกลัวขึ้นมาทันที โดยแค่ได้ยินว่าเป็นนายท่านหญิงซ่างกวน เธอก็มีการเตรียมการป้องกันไว้ในใจแล้ว
“มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอพูดด้วยน้ำที่เย็นชาเล็กน้อย
“ว่างไหม? เรามาเจอกันหน่อย”
เจอกันเหรอคะ?
สำหรับเรื่องของซ่างกวนหยวน
รอยยิ้มที่เยาะเย้ยก็ปรากฏที่มุมปากของเจียงสื้อสื้อ “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ว่างค่ะ”
ไม่เพียงแต่ไม่ว่างเท่านั้นนะคะ ฉันไม่มีอะไรต้องคุยกับตระกูลซ่างกวนด้วย
“เธอไม่ยอมเจอหน้า หรือว่าไม่ว่างจริงๆ?” นายท่านหญิงซ่างกวนถาม
“มันแตกต่างกันไหมล่ะคะ? ถ้านายท่านหญิงไม่มีธุระอย่างอื่น ฉันขอวางสายนะคะ”
พอพูดจบ เจียงสื้อสื้อกำลังจะวางสาย
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงที่ดูกังวลของนายท่านหญิงซ่างกวนก็ดังมากจากปลายสาย
“มีธุระอะไรอีกเหรอคะ?” เจียงสื้อสื้อถาม
“เรื่องที่หยวนหยวนช่วยชีวิตจิ้นเฟิงเฉินมันเรื่องจริงเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อเม้มปาก และได้ไม่ส่งเสียงใดๆ
จากนั้นก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเยาะของนายท่านหญิงซ่างกวน “เรื่องนี้เธอก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันนี่ เธออยากให้จิ้นเฟิงเฉินต้องเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องการเนรคุณงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร?” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว
นายท่านหญิงซ่างกวนไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่กลับพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกไป มันต้องไม่น่าฟังแน่?”
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจิ้นก็เป็นตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียงอีกด้วย ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวถูกแพร่ออกมา ก็คงจะเสียหน้าอย่างมาก”
เจียงสื้อสื้อถามด้วยสายตาที่เย็นชาว่า “นี่คุณกำลังขู่ฉันงั้นเหรอ?”
“ฉันจะขู่เธอได้ยังไง? ฉันแค่กำลังบอกคุณและโทษของเรื่องนี้เท่านั้นเอง”
เห็นได้ชัดว่าขู่ ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ
เจียงสื้อสื้อหัวเราะขึ้นมาทันที และพูดอย่างประชดประชันไปว่า “นายท่านหญิงคะ ฉันก็เชื่อว่าคุณก็กลัวว่าตระกูลซ่างกวนจะเสียหน้าเหมือนกันใช่ไหมคะ?”
ปลายทางก็เงียบลง
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “นายท่านหญิงคะ ที่ซ่างกวนหยวนมีวันนี้ได้ นอกจากเป็นกรรมตามสนองแล้ว คุณก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะรักลูกของตัวเองมากเกินไปและการให้ท้ายของคุณ เธอคงไม่มีจุดจบแบบนั้นแน่นอนหรอกค่ะ”
“ฉันยอมรับว่าฉันเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นถ้าพวกเธอยอมละทิ้งการฟ้องเธอ ฉันก็จะพาหยวนหยวนจากไปทันที และให้เธอแต่งงาน เพื่อขจัดความคิดนี้ของเธอทิ้งไป ฉันรับประกันเลย ว่าต่อไปนี้เธอจะไม่ยุ่งกับจิ้นเฟิงเฉินอีก”
พูดตามตรงนะ เจียงสื้อสื้อเองก็รู้สึกหวั่นไหวกับคำสัญญาของนายท่านหญิงซ่างกวน
ด้วยนิสัยของซ่างกวนหยวนที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ถ้าเธอต้องติดคุกจริงๆ เธอคงจะเกลียดเจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินอย่างแน่นอน และเมื่อเธอออกมามันคงจะไม่มีวันสิ้นสุดอีกแน่นอน
แต่ถ้านายท่านหญิงสามารถรักษาเธอได้ มันก็คงจะไม่เลวเลย
“คุณเจียง ฉันหวังว่าคุณจะลองพิจราณาดูนะ”
“นายท่านหญิงคะ ฉันเชื่อใจคุณได้ด้วยเหรอคะ?” เจียงสื้อสื้อถาม
“ฉันอายุปูนนี้แล้ว และฉันมักจะพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้น และจะไม่คืนคำแน่นอน”
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาล่ะ ขอฉันคิดดูก่อนนะคะ”
ได้ยินอย่างชัดเจนว่า ทางปลายสายนั้นนายท่านหญิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “งั้นฉันจะรอฟังข่าวดีของเธอแล้วกัน”
หลังจากวางสาย เจียงสื้อสื้อก็ดูสีหน้าจริงจังและหนักแน่นขึ้นมา
ที่จริงเรื่องนี้ เธอก็กังวลอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงต้องขอความเห็นจากจิ้นเฟิงเฉินและคนอื่นๆ
เพราะเธออยากให้ซ่างกวนหยวนเข้ารับการลงโทษตามกฎหมายมากกว่าใครๆ ซึ่งเธอก็รู้ถึงกลอุบายของซ่างกวนหยวนอย่างดีด้วย แต่เพราะเธออยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจริงๆ