“หากอยากให้คุณหนูกลับบ้าน อาจต้องใช้เวลาอีกหน่อย ” ทนายความเจียงพิจารณาจากการเขียนสำนวนของเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ท่านประธานครับ ท่านประธานต้องเกลี้ยกล่อมคุณหนูดีๆ ให้คุณหนูอย่าได้สร้างปัญหาอีก ต้องพยายามเชื่อฟังให้มาก และประพฤติตนให้ดีบางทีอาจจะสามารถช่วยลดโทษได้ครับ”
“คุณควรจะเข้าใจนะว่า สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่แค่การลดโทษ” ซ่างกวนเชียนหรี่ตาลงเล็กน้อย มันดูเหมือนการมีอยู่ที่ไร้รูปร่างที่มีการบีบบังคน “แต่มันกลับเป็นการพ้นผิดต่างหากล่ะ”
“ผมรู้ครับ” ทนายความเจียงรู้สึกกลัวอยู่ในใจ เขาจึงรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ดังนั้นมันจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยนะครับ”
ซ่างกวนเชียนเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถเร่งได้ เพราะมันมีจุดสำคัญมากมายที่จะต้องจัดการ ดังนั้นมันต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยจริงๆ
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้ฉันจะไปพบหยวนหยวน เพื่อสงบสติอารมณ์ของเธอไว้ ไม่ให้สร้างปัญหาขึ้นอีก”
ตระกูลจิ้นถอนคำฟ้องแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการประพฤติตัวของตัวซ่างกวนหยวนเอง
ถ้าเธอไม่หยุดสร้างปัญหา เรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นเท่านั้น
……
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ซ่างกวนเชียนก็ขับรถไปที่ทัณฑสถานของเมืองจิ่น
เขานั่งอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน และสายตาก็จ้องไปที่ประตูที่ปิดสนิทอยู่อย่างแน่นหนา
ผ่านไปประมาณสิบนาที ประตูก็เปิดออก
ซ่างกวนหยวนก็เดินเข้ามา และตามหลังมาด้วยตำรวจอีกสองนาย
ซ่างกวนเชียนมองไปที่เธอที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้น
ซ่างกวนหยวนกลับดูเฉยเมย เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของเขาแล้ว และสายตาที่เธอมองเขานั้นไร้ซึ่งความอบอุ่นใดๆ ราวกับว่าเธอกำลังมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
แม้ว่าเธอจะเย็นชากับเขามาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ดวงตาของเธอเหมือนสระน้ำที่แห้งเหือด ซึ่งมันมืด และไร้ซึ่งแสงใดๆ
เมื่อเห็นว่าเธอกลายเป็นแบบนี้ หัวใจของซ่างกวนเชียนก็ปวดร้าวขึ้นมา
มันเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กระซิบเบาๆ ว่า “หยวนหยวน”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดในสายตาของซ่างกวนหยวนก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่เธอก็เม้มปากไว้แน่น และยังคงไม่พูดอะไร
ซ่างกวนเชียนสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกที่หายใจไม่ออกในหัวใจ แล้วส่งเสียงพูดว่า “ตระกูลจิ้นถอนคำฟ้องแล้วนะ”
รูม่านตาของซ่างกวนหยวนแน่นขึ้น และเธอก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “คุณพูดว่าอะไร?”
“ผมบอกว่าตระกูลจิ้นถอนคำฟ้องแล้ว” ซ่างกวนเชียนไม่แสดงความหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“ฮ่าๆ…” อยู่ๆ ซ่างกวนหยวนก็หัวเราะขึ้นมา และในรอยยิ้มของเธอก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “นี่คุณกำลังปลอบโยนฉันอยู่งั้นเหรอ?”
ตระกูลจิ้นเกลียดเธอขนาดนั้น เกลียดจนรอให้เธอติดคุกไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ แล้วจะถอนคำฟ้องได้ยังไงกันล่ะ?
“เป็นเพราะการไปขอร้องของคุณย่าต่างหากล่ะ”
ซ่างกวนเชียนมองซ่างกวนหยวนที่ค่อยๆ เก็บอาการหัวเราะที่ยังดูแย่ยิ่งกว่าการร้องไห้นั้นของเธอ
“ไม่จำเป็น”
ทันทีที่นึกถึงว่าคุณย่าทำเพื่อเธอ จนต้องยอมลดตัวเพื่อขอร้องคนตระกูลจิ้นให้เธอ เธอจึงยอมที่จะเข้าคุกอีกสักสองสามปียังดีกว่า
“คุณย่ารักคุณมากนะ คุณย่าหวังว่าคุณจะออกมาได้เร็วกว่านี้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซ่างกวนเชียนก็ฉวยโอกาสพูดเกลี้ยกล่อมว่า “คุณก็อย่าสร้างปัญหาอีกล่ะ อยู่ที่นั่นดีๆ ผมจะหาทางพาคุณออกไปให้เร็วที่สุด”
ซ่างกวนหยวนไม่มีการตอบรับใดๆ
ซ่างกวนเชียนกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อฟัง เขาจึงพูดเสริมว่า “ก่อนจะทำอะไร ให้คิดถึงคุณย่าก่อน เพราะคุณย่าอายุปูนนี้แล้วยังต้องมาค่อยเป็นห่วงคุณ แล้วคุณไม่เป็นห่วงคุณย่าบ้างเลยเหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาของซ่างกวนหยวนก็ดูหวาดกลัวขึ้นมา และถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นั่นคือคุณย่าของฉัน ฉันจะไม่ห่วงใยท่านได้งั้นเหรอ?”
มุมปากของซ่างกวนเชียนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ดังนั้นคุณต้องเชื่อฟังนะ เข้าใจใช่ไหม?”
ซ่างกวนหยวนขมวดคิ้ว “ซ่างกวนเชียนอย่าทำเป็นเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กไปเลย ฉัน……”
“ผมไม่ได้ทำเหมือนว่าคุณเป็นเด็กเลยนะ” ซ่างกวนเชียนขัดจังหวะเธอ และจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่ฉลาดมาก และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”
ไม่นาน เวลาเยี่ยมก็หมดลง
จากนั้นตำรวจที่อยู่ด้านหลังซ่างกวนหยวนก็ดึงตัวเธอขึ้นมา
เมื่อเห็นดังนั้น ซ่างกวนเชียนก็ยืนขึ้น และพยายามจะหยุดพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงฐานะของพวกเขาแล้ว เขาก็ทำได้แค่ค่อยๆ ดึงมือกลับมา และมองดูซ่างกวนหยวนที่ถูกตำรวจพาตัวไป
สภาพโดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดที่ราวกับความตายยังไงอย่างงั้น
ซ่างกวนเชียนก้มหน้าลง และนั่งลงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้นและจากไป
เมื่อกลับไปถึงที่ห้องขนาดเล็กนั้น ซ่างกวนหยวนก็พิงไปที่ผนังและค่อยๆ เลื่อนตัวลงไป จนกระทั่งเธอนั่งลงกับพื้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่หน้าต่างบานเล็กเพียงบานเดียวบนผนัง
ซึ่งมันก็อยู่สูงอย่างมาก
จนมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างคลุมเครือเพียงนิดเดียว
เธอดูเฉยชา และไม่สามารถมองเห็นความรู้สึกใดๆ จากเธอเลย
ที่จริงแล้วภายในใจของเธอมันพลุ่งพล่านไปตั้งนานแล้ว
เธอคิดไม่ถึงว่าตระกูลจิ้นจะรับปากถอนคำฟ้องได้ หรือเธออาจไม่รู้ว่าคุณย่าได้ตกลงรับเงื่อนไขอะไรกับตระกูลจิ้นหรือเปล่า
ตระกูลจิ้นคงไม่คิดว่าเธอจะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ เนื่องจากพวกเขาเองขอความเมตตาให้ลดหย่อนผ่อนผันไม่ยื่นฟ้องตัวเธอแล้วหรอกนะ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็หัวเราะเยาะอย่างเย็นชาไปทีหนึ่ง แล้วความโหดเหี้ยมอำมหิตก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ
และนี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาติดหนี้เธอ!
ในตอนแรกนั้นถ้าไม่มีเธอ จิ้นเฟิงเฉินคงจะตายที่ประเทศอังกฤษไปนานแล้ว
เธอจึงค่อยๆ หรี่ตาลง ในเมื่อจิ้นเฟิงเฉินเนรคุณ งั้นก็อย่าโทษเธอที่ต้องพลิกลิ้นเหี้ยมโหดก็แล้วกัน
ไว้เธอออกไปได้แล้ว เธอจะไม่มีวันยอมปล่อยตระกูลจิ้นไปแน่นอน!
……
อย่างที่แม่จิ้นพูด แม้ว่าตระกูลจิ้นจะถอนคำฟ้องแล้ว แต่คดีลักพาตัวก็ยังถูกดำเนินตามเดิม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการถอนคำฟ้องเลย
และซ่างกวนหยวนก็ยังคงหนีไม่พ้นจุดจบในการติดคุก
เมื่อไม่มีการกวนใจของซ่างกวนหยวนแล้ว ชีวิตนับวันก็ยิ่งเงียบสงบสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
จิ้นเฟิงเฉินก็ยังออกไปทำงานแต่เช้าและกลับดึกทุกวัน และงานของเขาก็ราบรื่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แต่เรื่องที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวเลยก็คือเขายังจำอะไรได้ไม่มากเท่าไหร่
ในวันนี้ เจียงสื้อสื้อก็ใจตื่นตั้งแต่เช้า เพราะอยากเตรียมอาหารเช้าให้จิ้นเฟิงเฉินด้วยตัวเอง
เธอเตรียมแซนวิชที่จิ้นเฟิงเฉินชอบ และไข่เจียว
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้าไปในห้องครัว และเมื่อเขาเห็นอาหารเช้าที่เขาชอบทาน เขาก็ยกมุมปากขึ้นอย่างตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
“คุณตื่นแล้วเหรอ” เจียงสื้อสื้อหยิบขวดนมขวดหนึ่งออกมาจากห้องครัว เขาก็เห็น ใบหน้าที่สวยงามซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสของเธอ
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้าไป จับไหล่ของเธอไว้ แล้วก้มหน้าลงจูบที่หน้าผากของเธอ
“ลำบากคุณแล้วนะ”
เสียงที่ทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นข้างๆ หูของเธอ
เจียงสื้อสื้อรู้สึกราวกับว่าหัวใจทั้งดวงของเธอถูกเติมเต็ม “รีบนั่งลงก่อนสิ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนมที่พึ่งอุ่นเสร็จจะเย็นลงนะ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม พร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง จากนั้นก็ทานอาหารเช้าอย่างช้าๆ
เจียงสื้อสื้อนั่งตรงข้ามเขา และจ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เปลือกตาของจิ้นเฟิงเฉินก็เปิดออก แล้วมองเข้าไปในดวงตาที่คาดหวังของเธอ จากนั้นเขาก็ยกมุมปากขึ้น “แน่นอนว่าอร่อยสิ”
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มเหมือนกับเด็กน้อยที่ได้รับลูกกวาด ที่คิ้วโค้งงอ และดวงตาที่สดใส
ซึ่งเธอตื่นเต้นอย่างมาก
และสายตาของจิ้นเฟิงเฉินมืดครึ้มไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดอย่างลึกซึ้งว่า “อย่ามองผมแบบนั้นสิ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวผมจะทำงานไม่ได้นะ”
“เอ๊ะ?” เจียงสื้อสื้อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเลย
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะ “ไม่มีอะไรหรอก”
เขาก้มหน้าลง แล้วหยิบแซนวิชขึ้นมากัดไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เคี้ยว
เจียงสื้อสื้อเพิ่งจะมารู้สึกและตอบสนองกลับกับิ่งที่เขาได้พูดไปเมื่อครู่นี้ จากนั้นใบหน้าที่ขาวสะอาดของเธอก็แดงขึ้นมาในทันที และแม้แต่ลำคอของเธอก็แดงขึ้นเป็นเลือดฝาดอ่อนๆ เช่นกัน
เขาพูดอะไรแต่เช้ากันเนี่ย!
เพื่อซ่อนความเขินอายของเธอ เธอจึงหยิบนมขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง
แต่เธอรีบดื่มเกินไป เธอจึงสำลักโดยไม่ได้ตั้งใจ
แค๊กๆ!
เธอไอไปสองสามครั้งก่อนที่จะคลายลง
“ไม่ใช่ว่าคุณไม่ค่อยชอบดื่มนมหรอกเหรอ?”
จิ้นเฟิงเฉินตบหลังเธอไปด้วย พร้อมกับถามเธอไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฉัน……” เจียงสื้อสื้ออยากจะพูดว่าไม่เป็นไร แม้ว่าเธอจะไม่ชอบมันเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เพียงแต่ เมื่อกำลังจะพูดออกไปอยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติขึ้นมา
เธอค่อยๆ เบิกตากว้าง “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะจำได้ว่าฉันไม่ค่อยชอบดื่มนม?”
ด้วยคำถามนี้ จิ้นเฟิงเฉินจึงค่อยตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อครู่นี้