ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 1387 ประธานจิ้นคะ ใส่ใจเวลางานหน่อยสิคะ!

บทที่ 1387 ประธานจิ้นคะ ใส่ใจเวลางานหน่อยสิคะ!

เจียงสื้อสื้อตื่นขึ้นมา ในสภาพรอบด้านที่มืดสลัว

จากนั้นเธอจึงประคองร่างกายที่อ่อนแรงของตัวเองขึ้นมานั่ง เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เร่าร้อนเหล่านั้น รอยยิ้มที่มีความสุขและหวานซึ้งก็เอ่อล้นจากปากของเธอ

และความรู้สึกที่พึงพอใจก็เต็มไปทั่วทั้งห้องหัวใจ

เธอก้มหน้าไปดูเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้น รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น

เขายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ที่เมื่อทำอย่างงั้นกันเสร็จเขาก็จะช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย และช่วยสวมเสื้อผ้าให้เธอ

เธอเปิดผ้าห่มออก และเมื่อเท้าของเธอสัมผัสลงกับพื้น ขาของเธอก็อ่อนแรง แล้วเกือบจะล้มลงกับพื้น

อาจเป็นเพราะหยุดทำอย่างนั้นนานเกินไป และเขาก็ทำอย่างงั้นกับเธอติดต่อกันหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเหนื่อยจนเผลอหลับไป เกรงว่ามันคงจะยังไม่จบลงเร็วขนาดนี้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกร้อนที่แก้มขึ้นมา เธอจึงรีบกุมมันไว้ แล้วพูดด่าตัวเองอย่างเบาว่า “เจียงสื้อสื้อเอ๊ยนี่เธอกำลังคิดอะไรของเธอน่ะ? รู้สึกอายบ้างไหมนั่น?”

เมื่อเธอสวมรองเท้า และเดินไปเปิดประตู

แสงไฟจากภายนอกก็ส่องเข้ามา แล้วส่องสว่างทั่วทั้งห้องรับรอง

จิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน ก้มหน้าอ่านแฟ้มเอกสาร แล้วแสงไฟก็ส่องลงมาที่ข้างใบหน้าของเขา ทำให้โครงร่างตัวเขาดูลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ผู้ชายของเธอนั้นหล่อมากจริงๆ

เจียงสื้อสื้อเอียงหน้า ด้วยสายตาที่จ้องไปที่ข้างใบหน้าที่หล่อเหลานั้นของเขาอย่างแน่นหนา และไม่อาจละสายตาไปได้

อาจเป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ จิ้นเฟิงเฉินจึงหันหน้ากลับมาทันที

จากนั้นทั้งสองก็สบตากันอย่างไม่คาดคิด

หัวใจของเจียงสื้อสื้อสั่นสะท้าน จากนั้นเธอก็รีบละสายตาออกไปทันที แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าว่ากำลังพัดลมให้ตัวเองแทน “ฉันเพิ่งตื่น รู้สึกว่ามันร้อนๆ น่ะ”

เธอหัวเราะแหะๆ เพื่อปกปิดความตื่นตระหนกภายในของเธอ

จากนั้นรอยยิ้มอ่อนๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา เธอคงจะร้อนจริงๆ สินะ ร้อนจนใบหน้าที่เดิมทีขาวเนียนสะอาดนั้นของเธอแดงขึ้นมา

“มานี่สิ” จิ้นเฟิงเฉินพูด

เจียงสื้อสื้อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้เขา

ทันทีที่มาถึงข้างๆ เขา แขนที่เรียวยาวของเขาก็โอบเอวเธอขึ้นมาทันที

แล้วตามมาด้วยเสียงที่ร้องตกใจออกมาเบาๆ ของเธอ เขาจึงอุ้มเธอนั่งบนตักของเขา

และครู่เดียวจมูกของเธอก็เต็มไปด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่นของเขา

หัวใจของเจียงสื้อสื้อก็เต้น “ตุ๊บๆ” อย่างแรง

เธอแอบด่าตัวเองว่ากระจอกจริงๆ เลยเรา

เป็นสามีภรรยากันแล้ว ทำไมถึงทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงที่กำลังมีความรักด้วยนะ?

“เหนื่อยไหม?”

น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบแห้งนั้นทำไมถึงดูเซ็กซี่และล่อใจคนแปลกๆ นะ

เจียงสื้อสื้อพูด “ค่ะ” เบาๆ

เมื่อเห็นท่าทีที่เขินอายของเธอ มุมปากจิ้นเฟิงเฉินก็ยกยิ้ม

เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มที่ปากนั้นพอดี จากนั้นก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอายอย่างอดไม่ได้ “หัวเราะอะไรเหรอ?”

“ไม่ได้มีอะไรนี่นา แค่รู้สึกว่าคุณน่ารักมากแค่นั้นเอง”

แก้มของเจียงสื้อสื้อที่เดิมทีแดงอยู่แล้วนั้น กลายเป็นว่ายิ่งแดงขึ้นมาอีก จากนั้นเธอจึงกระโดดลงจากตักของเขา แล้วทำหน้าบึ้งพร้อมกับพูดว่า “ประธานจิ้นคะ ใส่ใจเวลางานหน่อยสิคะ!”

จากนั้นเธอจึงหันหลังกลับมานั่งที่นั่งของตัวเอง

จิ้นเฟิงเฉินมองมาที่เธอ แล้วเผลอหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

ที่บอกว่าเธอน่ารักนั้น ก็เพราะเธอน่ารักด้วยจริงๆ

……

เมื่อเลิกงานในตอนเย็น ในขณะที่เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน ทันใดนั้นก็เกิดปัญหากับโครงการหนึ่ง ดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินจะต้องอยู่จัดการต่อ

“สื้อสื้อ คุณกลับบ้านก่อนนะ” จิ้นเฟิงเฉินพูด

เจียงสื้อสื้อส่ายหัว “ไม่เอา ฉันจะอยู่รอคุณดีกว่า”

ไม่กี่วันมานี้พวกเขาทั้งสองต่างอยู่ตัวติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วอยู่ๆ จะให้เธอกลับบ้านก่อนคนเดียว มันรู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ

เธอต่อต้านและปฏิเสธอย่างจริงจัง

“สื้อสื้อ เชื่อฟังนะ” จิ้นเฟิงเฉินพูดเกลี้ยกล่อมเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำงานล่วงเวลาดึกแค่ไหน และวันนี้เธอก็เหนื่อยมากแล้วด้วย ถ้ายังทำงานล่วงเวลากับเขาอีก ก็เกรงว่าร่างกายของเธอจะรับไม่ไหว

“ไม่เอา ฉันจะอยู่รอคุณ” เมื่อเจียงสื้อสื้อเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมานั้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้เลย

“สื้อสื้อ…” จิ้นเฟิงเฉินจึงทำได้แค่จนปัญญาแล้วก็จนปัญญา

ในขณะนั้น จิ้นเฟิงเหราก็ผลักเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา โดยสามารถสังเกตได้ถึงว่าบรรยากาศมันดูผิดปกติเล็กน้อย จากนั้นจึงถามอย่างระมัดระวังไปว่า “พวกพี่กำลังทะเลาะกันอยู่เหรอ?”

จากนั้นสายตาที่คมกริบก็มองมา เขาจึงลูบจมูกตัวเอง แล้วปิดปากไปอย่างอึดอัดใจ

“จะกลับบ้านหรือยัง?” จิ้นเฟิงเฉินเอ่ยปากถาม

จิ้นเฟิงเหราพยักหน้า “กลับครับ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ตอบเขา แต่กลับก้มหน้าลง แล้วพูดกับเจียงสื้อสื้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณกลับไปกับเฟิงเหราก่อนนะ ผมรีบกลับบ้านทันทีที่ทำงานเสร็จนะ”

“แต่…” เจียงสื้อสื้อยังอยากรอเขา

แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ ก็ถูกเขาส่งเสียงขัดจังหวะเบาๆ “สื้อสื้อ เชื่อฟังสิ กลับไปพักผ่อนก่อน ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นห่วงเอานะ”

เจียงสื้อสื้อรู้ว่าเขากลัวว่าเธอจะเหนื่อย จนทนไม่ไหว

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำท่าทีประนีประนอม “ได้ค่ะ งั้นคุณอย่าทำงานดึกไปนะ ดูแลตัวเองด้วย”

จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ครับ”

จากนั้น เขาก็มองไปที่จิ้นเฟิงเหราอีกครั้ง “ต้องส่งพี่สะใภ้กลับบ้านอย่างปลอดภัยนะ”

จิ้นเฟิงเหรารู้สึกว่าเขากังวลมากเกินไป “พี่ พี่ยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ?”

“ไม่ไว้ใจ” จิ้นเฟิงเฉินตอบตามความจริง

จิ้นเฟิงเหราแทบจะกระอักเลือดออกมา เขาจึงจับหน้าผากตัวเองไว้พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “เป็นพี่น้องกันมาตั้งยี่สิบกว่าปี ไม่นึกว่าพี่จะไม่เชื่อใจผม”

เมื่อมองท่าทีที่ถอนหายใจแล้วส่ายหัว เจียงสื้อสื้อก็หัวเราะออกมา “เอาล่ะ ไม่ต้องแสดงแล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่ชายของเธอน่ะเชื่อหรือไม่เชื่อใจเธอ”

จิ้นเฟิงเฉินก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน “แน่นอนว่าผมรู้”

“งั้นไม่จำเป็นต้องรู้แล้วล่ะ” เจียงสื้อสื้อเอียงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดกับจิ้นเฟิงเฉินไปว่า “งั้นฉันกลับกับเฟิงเหราก่อนนะ ส่วนคุณก็กลับเช้าๆ หน่อยล่ะ”

“ครับ” จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอ แล้วมองดูเธอกับจิ้นเฟิงเหราจากไป จนเงาของพวกเขาหายไปจากมุมโค้ง

……

หลังจากขึ้นรถ จิ้นเฟิงเหราก็อดไม่ได้อีกต่อไป “พี่สะใภ้ครับ พี่กับพี่ชายผมอายุกี่ปีกันแล้ว ทำไมยังทำตัวติดกันอีกเหรอครับ?”

“อิจฉาเหรอ?” เจียงสื้อสื้อคาดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย พร้อมกับถามไปด้วย

“ผมอิจฉาอะไรกันล่ะ ผมแค่รู้สึกว่ามันน่าขนลุกเกินไป” เมื่อนึกถึงการกระทำต่างๆ ของพวกเขา จิ้นเฟิงเหราก็ตกใจ

เจียงสื้อสื้อโค้งมุมปากขึ้น “พี่รู้ว่าเธอน่ะอิจฉา อย่าปิดบังพี่เลย”

จากนั้นจิ้นเฟิงเฉินแสร้งทำเสียง “เชอะ” อย่างดูถูกไปทีหนึ่ง “พูดอย่างกับว่าใครบางคนไม่มีแฟน”

“หรือว่าเธอกับหวั่นหวั่นไม่ทำตัวติดกันตลอดเวลาอย่างนี้นะ” เจียงสื้อสื้อแซวเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ผม…พวกเราทำแต่ทำแบบลับๆ ในห้องเท่านั้น”

เจียงสื้อสื้อเผลอหัวเราะออกมา “เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบขับรถเถอะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเหราก็สตาร์ทรถ แล้วขับออกจากลานจอดรถไป

ในระหว่างทาง จิ้นเฟิงเหราเป็นคนชวนคุยทุกอย่าง ทำให้เจียงสื้อสื้อจนปัญญา “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่า หวั่นหวั่นรักเธอได้ยังไง”

“เพราะความรักไง” เมื่อพูดถึงส้งหวั่นชีง สีหน้าของจิ้นเฟิงเหราก็อ่อนโยนลง

“นี่เธอกำลังอวดพี่อยู่งั้นเหรอ?” เจียงสื้อสื้อหันไปมองเขา

จิ้นเฟิงเหราปฏิเสธทันที “ผมกล้าอวดพี่สะใภ้ที่ไหนกันเล่า พี่กับพี่ชายผมอยู่ตัวติดกันขนาดนั้น”

เจียงสื้อสื้อเผลอหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัว

จิ้นเฟิงเหราอ้าปากและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นจากหางตาว่ามีรถคันหนึ่งกำลังตามหลังพวกเขามาติดๆ จากกระจกหลัง

มีคนกำลังลอบติดตามพวกเรางั้นเหรอ?

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา จิ้นเฟิงเหราก็เลี้ยวซ้ายตรงหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

จากนั้นก็เหลือบมองกระจกหลังอีกครั้ง

ปรากฏว่ารถคันนั้นก็เลี้ยวซ้ายตามด้วยเหมือนกัน

เจียงสื้อสื้อไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เธอจึงเหลือบมองที่ถนนนอกหน้าต่าง พร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น “เฟิงเหรา เธอกำลังจะไปไหนน่ะ หรือเธอมาผิดทาง?”

เธอหันไปมองจิ้นเฟิงเหรา แต่กลับพบว่าสีหน้าเขาดูเคร่งขรึมแปลกๆ

ยังไม่ทันได้พูดคำว่า “เกิดอะไรขึ้น” จบ ก็ได้ยินเสียงของเขาพูดว่า “พี่สะใภ้ นั่งนิ่งๆ ผมจะเร่งให้เร็วขึ้น”

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท