ในวันหมั้น ณ ห้องจัดเลี้ยงชั้นสามของโรงแรมเคลิเร่ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงาม ดอกกุหลาบสีขาว โคมระย้าคริสตัลสว่างไสว มองดูแล้วราวกับภาพมายาแห่งความฝันมากเป็นพิเศษ
เหลียงซินเวยที่อยู่ในห้องรับรองชั้นบนตอนนี้นั้นตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะกระเด็นหลุดออกมา
“เธอเหงื่อออกแล้ว” เจียงสื้อสื้อดึงกระดาษทิชชู่มาช่วยซับเหงื่อบนหน้าผากให้เธอ “อย่าตื่นเต้น ไม่อย่างนั้นเครื่องสำอางจะเปื้อนแล้ว”
เหลียงซินเวยฝืนยิ้มเล็กน้อย พลางถามว่า “พี่สื้อสื้อ พี่ว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีอาการตื่นเต้นตอนแต่งงานไหมคะ”
“ตื่นเต้นแน่นอน” เจียงสื้อสื้อได้ยินคำถามนี้แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เรื่องใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้หญิง จะต้องตื่นเต้นแน่นอน แต่ขอเพียงแค่นึกถึงว่าสามารถดูแลกันและกันกับคนที่ตัวเองรักไปชั่วชีวิต ก็จะมีความสุขมากกว่า”
“แต่ว่าพวกเราเพียงแค่หมั้นกัน ฉันก็ตื่นเต้นแบบนี้แล้ว อย่างนั้นตอนที่แต่งงาน ฉันจะไม่เป็นลมไปแล้วหรือคะ” เหลียงซินเวยล้อเล่น
“คิดมากไปแล้ว” เจียงสื้อสื้อช่วยเธอจัดแต่งเครื่องประดับศีรษะ มองไปที่เธอแล้วเอ่ยยิ้มๆว่า “วันนี้เธอสวยขนาดนี้ ต้องมีความมั่นใจในตัวเองหน่อย ไม่ต้องตื่นเต้นแล้ว”
เหลียงซินเวยสูดลมหายใจลึก และพยักหน้า “ค่ะ”
ช่วงเวลากลางคืนประมาณหนึ่งทุ่ม แขกก็ทยอยมาถึงกันแล้ว
ฟางเถิงกับซ่างหยิงยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าประตู บนใบหน้าของทั้งสองคนล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี
แต่ในตอนที่เห็นคนตระกูลเย่ รอยยิ้มของทั้งสองคนก็แข็งค้างทันที
“ทำไม? ไม่ยินดีต้อนรับพวกเราหรือ” แม่เย่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนยากจะเข้าใจ
ฟางเถิงกับซ่างหยิงที่ได้ยินก็รีบแย้มรอยยิ้มทันควัน “ยินดี ยินดีต้อนรับแน่นอน”
แม่เย่มองเข้าไปในห้องจัดงานเลี้ยง ก็เห็นว่าตกแต่งประดับประดาอย่างยิ่งใหญ่ แววตาจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ปากก็เอ่ยอย่างไร้ความปรานี “โอ้โฮ มือเติบขนาดนี้ ดูท่าพวกคุณจะพึงพอใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้มากนะ”
ฟางเถิงยิ้มกระอักกระอ่วน “ยู่เชินชอบ พวกเราก็ชอบด้วยแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่เย่ก็หน้าตึงทันที “ความหมายในคำพูดของคุณก็คือ พวกคุณไม่ชอบเสี่ยวอี้อย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันชอบเสี่ยวอี้มาก เพียงแต่ว่า…”
ซ่างหยิงอยากจะอธิบายให้ชัดเจน แต่ตอนนี้เองที่ฟางเถิงดึงมือเธอเอาไว้ ส่งสัญญาณบอกเธอว่าอย่าพูดอีกเลย
“พวกคุณมาเข้าร่วมงานได้ ผมกับอะหยิงล้วนดีใจมาก รีบเข้าไปนั่งด้านในเถอะ” ฟางเถิงเอ่ย
แม้ว่าจะไม่พอใจที่ตระกูลฟางยกเลิกสัญญาหมั้นหมายโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำในตอนแรก ทำร้ายลูกสาวของพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นคู่ค้าทางธุรกิจด้วยกัน แม่เย่จึงไม่กล้าโวยวายจนน่าเกลียดเกินไป
รอจนพ่อเย่แม่เย่เข้าไปแล้ว ซ่างหยิงก็ถอนหายใจยาว “ฉันนึกว่าพวกเขาจะไม่มาร่วมงานเสียอีกนะคะ”
“มาก็มาแล้ว อย่าคิดมากเกินไป” ฟางเถิงปลอบใจประโยคหนึ่ง
ซ่างหยิงพยักหน้า “อืม”
วันสิริมงคลเช่นนี้ เธอคงจะไม่ให้การมาถึงของพ่อเย่แม่เย่ส่งผลกระทบต่อสภาพอารมณ์อย่างแน่นอน
รอจนแขกผู้มีเกียรตินั่งประจำที่แล้ว งานหมั้นก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
เมื่อประตูห้องจัดเลี้ยงเปิดออก เสียงเพลงก็ดังขึ้น เหลียงซินเวยสวมชุดพิธีการสีขาวคล้องแขนฟางยู่เชิน ทั้งสองคนเดินบนพรมสีแดง
และกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนในทันที เหลียงซินเวยตื่นเต้นเสียจนกระชับมือที่คล้องแขนฟางยู่เชินแน่น
“ไม่ต้องตื่นเต้น มีผมอยู่”
เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนของฟางยู่เชินดังขึ้นข้างหู เหลียงซินเวยหันหน้าไปสบสายตากับเขาที่มองมาพอดี
ฟางยู่เชินยกมุมปาก “ผมอยู่ข้างๆคุณ ไม่ต้องตื่นเต้น”
เสียงอ่อนโยนของเขานั้นเหมือนกับมีประสิทธิผลอะไรที่น่าอัศจรรย์ ทำให้ใจของเธอสงบลงอย่างช้าๆ
เหล่าแขกผู้มีเกียรติเห็นพวกเขาสบตากันลึกซึ้ง ก็พากันทอดถอนใจว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขานั้นดีมากจริงๆ
ส่วนพ่อเย่กับแม่เย่ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งล้วนมีสีหน้าทะมึน
เมื่อได้รู้ว่าฟางยู่เชินจะหมั้นกับเหลียงซินเวย ลูกสาวของพวกเขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง หลายวันมานี้ก็ไม่ค่อยได้กินอาหาร
ไม่เต็มใจจริงๆ
เจียงสื้อสื้อมองฟางยู่เชินกับเหลียงซินเวยที่เดินมาจากอีกด้านหนึ่งของพรมแดงอย่างช้าๆแล้ว หางตาก็ชื้นอย่างอดไม่ได้
ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเธอกับเฟิงเฉินนั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นเธอหวังเป็นพิเศษว่าความรู้สึกของคนข้างกายตัวเองจะสามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น
“ทำไมหรือ” จิ้นเฟิงเฉินสังเกตเห็นตาแดงระเรื่อของเธอ ก็ถามด้วยความเป็นห่วง
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่ตื้นตันใจมากไปหน่อย”
จิ้นเฟิงเฉินจับมือของเธอ สิบนิ้วสอดประสานกัน มุมปากก็เจือไปด้วยรอยยิ้มที่รักและทะนุถนอม
หลายปีมาแล้ว เธอก็ยังคงอ่อนไหวต่อความรู้สึกเช่นเคย
พิธีหมั้นดำเนินไปตามระเบียบแบบแผน มีขั้นตอนหนึ่งที่ฟางยู่เชินอุ้มช่อดอกกุหลาบเอาไว้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเงยหน้ามองไปที่เหลียงซินเวยนิ่งๆอย่างลึกซึ้ง
“เวยเวย ผมรักคุณ แต่งงานกับผมได้ไหม”
เหลียงซินเวยยิ้ม ตื้นตันใจเสียจนน้ำตาเอ่อล้นออกจากหน่วยตา
เหลียงซินเวยยกมือปาดน้ำตา หลังจากนั้นก็พยักหน้าอย่างแรง “ค่ะ”
ฟางยู่เชินดีใจ หยิบกล่องผ้ากำมะหยี่ออกมาจากช่อดอกกุหลาบกล่องหนึ่ง เมื่อเปิดออก ด้านในก็มีแหวนเพชรอยู่วงหนึ่ง
เขาหยิบออกมา โยนกล่องทิ้งไป ยกมือของเธอขึ้นมา สวมแหวนเข้าไปในนิ้วกลางของเธอ
จากนั้นก็จับมือเธอเอาไว้แล้วลุกขึ้น เอ่ยยิ้มๆว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว คุณวางใจเถอะ ชั่วชีวิตนี้ของผม ฟางยู่เชินเป็นของคุณ”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เหล่าแขกผู้มีเกียรติล้วนหัวเราะ
“พูดอะไรกันคะ” เหลียงซินเวยทุบแผงอกเข้าด้วยความเขินอาย
ฟางยู่เชินจับเอาไว้ ถือโอกาสดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน ก้มหน้าจุมพิตลงบนริมฝีปากแดงเธอ
ทั้งห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างอบอุ่น
เจียงสื้อสื้อพิงไหล่จิ้นเฟิงเฉิน ยิ้มหวานขณะมองไปทางสองคนที่จุมพิตกันอยู่บนเวที
เมื่อพิธีหมั้นจบลง ฟางยู่เชินก็จูงเหลียงซินเวยมาหาเจียงสื้อสื้อ
“สื้อสื้อ ขอบคุณนะ”
คำ “ขอบคุณ” ที่มาอย่างกะทันหันทำให้เจียงสื้อสื้อมึนงงเล็กน้อย “ทำไมหรือคะ”
ฟางยู่เชินมองไปที่เหลียงซินเวย พลางเอ่ยยิ้มๆว่า “ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะเธอ พี่ก็คงจะไม่รู้จักเวยเวย และคงจะไม่ได้คบกัน”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เจียงสื้อสื้อหุบยิ้ม “นี่คือโชคชะตาของพวกพี่ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”
“พี่สื้อสื้อ พรุ่งนี้พี่จะกลับเมืองจิ่นหรือคะ” เหลียงซินเวยถาม
“อืม ทำไมหรือ”
“พวกเราไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ จึงอยากจะดื่มกาแฟสักแก้วและพูดคุยกับพี่สักหน่อยค่ะ”
เดิมเพื่อนของเธอก็น้อย เพื่อนที่ดีขนาดนี้เหมือนกับเจียงสื้อสื้อยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
เจียงสื้อสื้อยิ้มด้วยท่าทางละอายใจ “ขอโทษด้วย ช่วงนี้เวลาไม่เอื้ออำนวย รอหลังจากนี้มีโอกาส ฉันจะต้องมาเยี่ยมพวกเธอที่เมืองหลวงแน่นอน”
ฟางยู่เชินมองไปทางจิ้นเฟิงเฉิน คิ้วขมวดเล็กน้อย “ต้องการความช่วยเหลือไหมครับ”
ก่อนหน้านี้ที่ซ่างกวนหยวนตายไป ก็สร้างความโกลาหลไม่น้อย ส่งผลกระทบต่อจิ้นกรุ๊ปเช่นกัน เขานึกว่าที่เจียงสื้อสื้อพูดว่าไม่เอื้ออำนวยเพราะเรื่องนี้
“ไม่ต้องหรอก” จิ้นเฟิงเฉินปฏิเสธความหวังดีของเขา “ถ้าหากว่าต้องการล่ะก็ ผมจะติดต่อคุณ”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ได้ ตระกูลฟางเป็นบ้านฝ่ายหญิงของสื้อสื้อ มีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือก็เอ่ยออกมาได้เลย”
“ขอบคุณนะคะพี่ชาย” เจียงสื้อสื้อตื้นตันใจมาก
ฟางยู่เชินเหลือบมองเธอแล้วแสร้งทำท่าทางไม่พอใจ “ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เกรงใจขนาดนี้ทำไมกัน”
เจียงสื้อสื้อยิ้ม “ใช่แล้ว เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
เธอมองไปทางเหลียงซินเวย “หลังจากนี้เธอก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วเช่นกัน”
เหลียงซินเวยจับมือฟางยู่เชินแน่น พยักหน้า “ค่ะ”
เมื่องานหมั้นจบลง จิ้นเฟิงเฉินก็พาคนในครอบครัวกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม วันรุ่งขึ้นก็กลับไปเมืองจิ่นตั้งแต่เช้า