เจียงสื้อสื้อลงมาด้านล่าง นึกถึงรอยแผลเป็นบนร่างกายเสี่ยวเป่าแล้ว นัยน์ตาก็แสบร้อน เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว
เมื่อเห็นพ่อจิ้น แม่จิ้นแล้วยังมีจิ้นเฟิงเฉินนั่งพูดคุยธุระกันอยู่ในห้องรับแขก ฝีเท้าก็ชะงัก เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป
“คุณพ่อ คุณแม่”
เธอนั่งลงข้างกายจิ้นเฟิงเฉิน
“เป็นอะไรไปหรือ” แม่จิ้นสังเกตเห็นว่าเธอผิดปกติ จึงถามด้วยความเป็นห่วง
เจียงสื้อสื้อหันหน้าไปมองจิ้นเฟิงเฉิน ก็เห็นว่าเขามองมาทางตัวเองด้วยความเป็นห่วง
เธอกัดริมฝีปาก “หนูเห็นว่าบนร่างกายเสี่ยวเป่ามีรอยแผลเยอะมาก”
“รอยแผล?” พ่อจิ้นกับแม่จิ้นสบตากันแวบหนึ่ง แม่จิ้นถามว่า “รอยแผลอะไรหรือ?”
“เป็นรอยฟกช้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยแผลถูกคนต่อย” เจียงสื้อสื้อก้มหน้า สองมือประสานกัน “ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าบนร่างกายของเด็กเล็กๆคนหนึ่งจะมีบาดแผลมากขนาดนี้”
“แม่จะไปดู” แม่จิ้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่คะ คุณแม่อย่าไปเลยค่ะ” เจียงสื้อสื้อดึงมือเธอเอาไว้
“ทำไม?” แม่จิ้นมองเธออย่างสงสัย
“คุณแม่ไป เขาก็จะไม่พูดความจริงหรอกค่ะ” เจียงสื้อสื้อถอนหายใจ
“ไม่ใช่ เขาบอกว่าบาดแผลบนร่างเขาได้มาอย่างไรไหม” แม่จิ้นถาม
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “เขาพูดว่าเขาหกล้มแล้วได้รับบาดเจ็บเอง แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่การหกล้ม”
“ลูกคิดว่าเสี่ยวเป่ากำลังพูดโกหก” พ่อจิ้นเอ่ยถาม
เจียงสื้อสื้อก้มหน้า ไม่ได้ตอบคำถาม
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วเป็นปม โอบไหล่เธอเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าคิดมากเกินไป อีกครู่หนึ่งผมจะไปคุยกับเสี่ยวเป่า”
“ฉันไม่ได้คิดมากเกินไปนะคะ ฉันเจ็บปวดค่ะ พวกคุณล้วนไม่รู้ว่าตอนที่ฉันเห็นรอยแผลเป็นพวกนั้น……”
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของฉันประสบพบเจอกับเรื่องอะไรมากันแน่ หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ฉัน……”
พูดไปพูดมา เจียงสื้อสื้อก็หันหน้าไปเช็ดน้ำตา
แม่จิ้นตบมือเธอเบาๆ เอ่ยปลอบใจว่า “สื้อสื้อ แม่เข้าใจความรู้สึกของหนูนะ ก่อนหน้านี้เฟิงเฉินกับเฟิงเหราสองคนก็มักจะมีรอยแผลต่างๆบนร่างกาย และยังชอบปิดบังแม่ด้วย พวกเขาแค่กลัวว่าฉันที่เป็นแม่จะเป็นห่วง เสี่ยวเป่าจะต้องรู้สึกแบบนี้แน่นอนเช่นกัน”
เจียงสื้อสื้อสูดจมูก “เขายังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง หนูยังหวังว่าเขามีเรื่องอะไรจะสามารถบอกหนูได้ ไม่ใช่แบกรับมันเอาไว้คนเดียว”
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็เหลือบตามองไปที่ชั้นสอง นัยน์ตาเข้มขึ้น ดูท่าเขาจะต้องไปคุยกับเสี่ยวเป่าดีๆเสียแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินโอบเจียงสื้อสื้อขึ้นไปที่ชั้นบน
“คุณกลับห้องเถอะ ผมจะไปคุยกับเสี่ยวเป่า” จิ้นเฟิงเฉินเอ่ย
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ค่ะ”
บางทีคงจะมีบางเรื่องที่ระหว่างพวกเขาพ่อลูกจะพูดคุยกันได้ง่ายกว่า
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้าไปในห้องของเสี่ยวเป่า
“เสี่ยวเป่า ไปที่ห้องหนังสือกับแด๊ดดี้หน่อย”
ในใจเสี่ยวเป่าพอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร เขาเดินตามอยู่ด้านหลังจิ้นเฟิงเฉินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างว่าง่าย
จิ้นเฟิงเฉินหมุนตัวกลับมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ ถกแขนเสื้อขึ้นไป
เป็นอย่างที่เจียงสื้อสื้อพูด ล้วนเป็นรอยฟกช้ำจริงๆ
สายตาของจิ้นเฟิงเฉินเข้มขึ้น และถอดเสื้อตัวบนของเสี่ยวเป่าออก ผิวขาวเนียนเต็มไปด้วยรอยบาดแผลลึกตื้น
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เขาถามเสียงเข้ม สีหน้าเฉียบขาด
“เป็น…เป็นบาดแผลที่ได้จากการหกล้มครับ” เสี่ยวเป่าตอบกลับเสียงเบา
“เสี่ยวเป่า ลูกไม่พูดความจริงกับหม่ามี๊ และจะไม่พูดความจริงกับแด๊ดดี้เช่นกันใช่ไหม”
เสี่ยวเป่าก้มหน้า ไม่พูดอะไร
จิ้นเฟิงเฉินยื่นเสื้อผ้าให้เขา “สวมเสีย”
เสี่ยวเป่ารับมา สวมเสื้อให้เรียบร้อยอย่างเชื่อฟัง
จิ้นเฟิงเฉินหมุนตัวกลับไป หันหลังให้เขา น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นภายในห้อง “เสี่ยวเป่า ลูกรู้ว่าหม่ามี๊ห่วงลูกมากใช่ไหม”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “รู้ครับ”
“ในเมื่อรู้แล้วทำไมถึงพูดโกหก” จิ้นเฟิงเฉินหันหน้ามามองเขา
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้เชื่อผมไหม” เสี่ยวเป่าไม่ตอบแต่ถามกลับ
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้ว “ทำไมถึงถามแบบนี้”
“เพราะว่าเรื่องของผม ผมจะจัดการมันให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง” เสี่ยวเป่าเชิดใบหน้าเล็กๆขึ้น มองมาที่เขาด้วยสายตาสงบนิ่ง
อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า เสี่ยวเป่าเหมือนกับตัวเองมากเกินไปแล้ว
นัยน์ตาจิ้นเฟิงเฉินอ่อนโยนลง กระทั่งน้ำเสียงก็ผ่อนลงเช่นกัน “เสี่ยวเป่า ลูกเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง มีเรื่องอะไรก็สามารถบอกแด๊ดดี้กับหม่ามี๊ได้”
“แด๊ดดี้ ผมสามารถจัดการเองได้ครับ” เสียงของเสี่ยวเป่าเจือไปด้วยความแน่วแน่
จิ้นเฟิงเฉินมองเขาครู่หนึ่งเงียบๆ ลูบศีรษะเล็กๆของเขา “ได้ แด๊ดดี้เชื่อลูก”
เสี่ยวเป่าเม้มริมฝีปากยิ้ม “ขอบคุณครับแด๊ดดี้”
“แต่ว่า……” จิ้นเฟิงเฉินทำสีหน้าเข้มงวด “ถ้าหากว่าลูกจัดการไม่ไหว จะต้องบอกแด๊ดดี้นะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ครับ”
เจียงสื้อสื้ออาบน้ำเสร็จออกมา จิ้นเฟิงเฉินก็เดินเข้ามาพอดี
เธอรีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างคะ เสี่ยวเป่าพูดอะไรบ้างไหม”
“ไม่มี”
เจียงสื้อสื้อยิ่งเป็นกังวลมากกว่าเดิม “เสี่ยวเป่าพบเจอกับเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย คุณว่า เขาจะถูกคนรังแกตอนอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่าคะ”
“คุณอย่าเพิ่งเครียดไป” มือทั้งสองข้างของจิ้นเฟิงเฉินกดลงที่ไหล่เธอ มองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ เอ่ยปลอบประโลมเสียงเบาว่า “แม้ว่าเสี่ยวเป่าจะอายุยังน้อย แต่เขาก็มีความคิดของตัวเอง”
“ฉันรู้ว่าเขามีความคิดของตัวเอง ทว่าถึงจะมีความคิดแต่พบเจอเรื่องราวก็ควรจะบอกพ่อกับแม่สิคะ”
เจียงสื้อสื้อยิ่งคิด ในใจก็ยิ่งไม่สงบ
“ไม่ได้ คืนวันนี้ฉันต้องถามให้ชัดเจน” เอ่ยจบ เธอก็จะเดินออกไปข้างนอก
“สื้อสื้อ” จิ้นเฟิงเฉินดึงเธอเอาไว้ ยิ้มอย่างจนปัญญา “แม้ว่าตอนนี้คุณจะบีบคั้นถามเขา เขาก็จะไม่บอกความจริงกับคุณ”
“อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีคะ พวกเราทำได้เพียงแค่มองลูกชายของตัวเองถูกรังแกอย่างนั้นหรือคะ” เจียงสื้อสื้อร้อนใจจนร้องไห้ออกมา ตำหนิตนเองว่า “ฉันที่เป็นหม่ามี๊นั้นล้มเหลวจริงๆ ถึงวันนี้เพิ่งจะพบว่าบนร่างกายของลูกชายมีบาดแผล”
“สื้อสื้อ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ” จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอ ถอนหายใจ “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง”
เจียงสื้อสื้อแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
กลางดึก เมื่อทุกคนหลับหมดแล้ว
เจียงสื้อสื้อก็แอบลุกขึ้นมา ลงจากเตียง สวมรองเท้าแตะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
เธอลงไปหยิบกล่องยาที่ชั้นล่างก่อน หลังจากนั้นก็ไปที่ห้องของเสี่ยวเป่า
ภายในห้องมืดสลัว มีเพียงแค่โคมไฟข้างหัวเตียงที่เปิดอยู่ดวงหนึ่ง
เธอเดินเข้าไป มองเสี่ยวเป่าที่นอนหลับอยู่บนเตียง ในใจก็มีความรู้สึกมายมากประดังเข้ามา
เด็กคนนี้รู้ความเป็นพิเศษตั้งแต่ยังเล็ก รู้ความเสียจนทำให้คนสงสาร
เธอยื่นมือไปลูบใบหน้าเยาว์วัยรูปไข่ของเขา ถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง บางครั้งเธอก็หวังว่าเขาจะเป็นเหมือนกับเถียนเถียน ที่พบเจอเรื่องไม่เป็นธรรมก็ร้องไห้โฮออกมา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็สงสารยิ่งกว่าเดิม
เธอม้วนแขนเสื้อเขา หยิบยาขี้ผึ้งออกมาแล้วทาลงบนตำแหน่งในร่างกายที่มีรอยแผลอย่างเบามือ
รอจนทายาเสร็จแล้ว เธอก็นั่งอยู่ที่หัวเตียงครู่หนึ่ง ถึงได้เดินออกมาจากห้องเงียบๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
เธอสะดุ้งตกใจ
“ทำไมคุณถึงตื่นขึ้นมาแล้วล่ะคะ” เธอเดินเข้าไป ถามเสียงเบา
“ตื่นมาแล้วไม่เห็นคุณ” จิ้นเฟิงเฉินเห็นกล่องยาในมือเธอ สายตาก็อ่อนโยนลง “ช่วยทายาให้เสี่ยวเป่า?”
“อืม” เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “แม้ว่าจะมีบางแห่งที่เป็นแผลเก่า แต่ก็ยังต้องทายาสักหน่อยถึงจะหายเร็วขึ้น”
“เสี่ยวเป่ารู้ว่าคุณรักเขาขนาดนี้ ในใจคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ” จิ้นเฟิงเฉินมองไปทางห้องของเสี่ยวเป่า “พรุ่งนี้ผมจะให้ผู้ช่วยตามเสี่ยวเป่าไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”