ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 1410 ผมคนเดียวก็สามารถจัดการคุณได้แล้ว

บทที่ 1410 ผมคนเดียวก็สามารถจัดการคุณได้แล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง รถคันหนึ่งก็ขับมาจอดนิ่งที่ด้านหน้าเขา

หน้าต่างรถค่อยๆลดลง เผยให้เห็นใบหน้าของเจียงสื้อสื้อที่ยิ้มหวานออกมา

“หม่ามี๊!” เสี่ยวเป่าร้องเรียกอย่างมีความสุข

“วันนี้หม่ามี๊จะส่งลูกไปโรงเรียน” เจียงสื้อสื้อเอ่ย

“ครับ!”

เสี่ยวเป่าได้ยินว่าเธอจะส่งตัวเองไปโรงเรียนก็ดีใจจนเปิดประตูขึ้นรถทันทีอย่างไร้ซึ่งความสงสัย

ระหว่างทาง เจียงสื้อสื้อถามสถานการณ์ตอนที่เขาอยู่โรงเรียนด้วยความเป็นห่วง

“ล้วนดีหมดครับ”

คำตอบของเสี่ยวเป่าดูกำกวม เจียงสื้อสื้อก็ไม่ได้ถามต่อ แต่แสดงท่าทางเอ่ยกำชับตามอารมณ์ว่า “ถ้าหากว่าพบเจอเรื่องยุ่งยากอะไรที่โรงเรียนจะต้องบอกแด๊ดดี้กับหม่ามี๊นะลูก รู้ไหม”

“รู้แล้วครับ” เสี่ยวเป่าตอบเร็วมาก

เจียงสื้อสื้อยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรอีก

เธอมองถนนด้านหน้า ก้นบึ้งนัยน์ตาก็มีความกังวลอย่างเลือนราง

เมื่อถึงโรงเรียน เจียงสื้อสื้อก็นั่งมองเสี่ยวเป่าเดินเข้าไปในโรงเรียนอยู่ในรถ จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างของเขาแล้วถึงได้สตาร์ทรถขับจากไป

หลายวันติดต่อกันนี้ล้วนเป็นเจียงสื้อสื้อที่ไปส่งเสี่ยวเป่าที่โรงเรียนด้วยตัวเอง กู้เนี่ยนก็จับตามองทุกความเคลื่อนไหวของเสี่ยวเป่าที่โรงเรียนตลอดเช่นกัน

แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ

วันนี้เป็นวันศุกร์ เพราะเจียงสื้อสื้อมีงานเยอะจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ จึงให้คนขับรถไปรับเสี่ยวเป่า

ประจวบกับวันนี้เป็นวันที่เสี่ยวเป่าเรียนไวโอลิน

คุณครูที่สอนไวโอลินเสี่ยวเป่า ซ่านเวย เคยมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ได้รับรางวัลใหญ่ระดับนานาชาติมานับไม่ถ้วน

บางทีอาจจะเป็นเพราะสวรรค์อิจฉาคนมากความสามารถ ตอนที่เขาอายุสามสิบกว่าปีก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งหนึ่ง โชคไม่ดีที่มือได้รับบาดเจ็บจึงทำให้เขาไม่สามารถสีไวโอลินได้อีก

แต่อาศัยความเป็นอัจฉริยะของเขาในการสอนนักเรียนยังคงมีมากเพียงพอ

ตอนนี้เสี่ยวเป่าเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของเขา

ซ่านเวยอาศัยอยู่ที่วิลล่าชานเมืองหลังหนึ่ง หลังจากคนรับรถมาส่งเสี่ยวเป่าแล้วก็จากไป

เสี่ยวเป่ายืนอยู่นอกวิลล่า เงยหน้ามองบานประตูที่ปิดสนิท มือเล็กที่ร่วงอยู่ข้างกายนั้นกำแน่นอย่างช้าๆ

กู้เนี่ยนที่แอบอยู่ในมุมอับเห็นเขาแล้วก็ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาโหดเหี้ยมกัน?

ไม่เหมือนกับสีหน้าท่าทางที่เด็กคนหนึ่งควรจะมีเลยแม้แต่น้อย

กู้เนี่ยนมองตามสายตาเขาไปทางวิลล่า คิ้วก็ขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเดิม หรือว่าที่แห่งนี้จะมีอะไรที่ทำให้เขาไม่ชอบ?

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวเป่าก็ก้าวเท้าเดินไปกดกริ่งประตู

ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เขาเดินเข้าไปข้างใน

กู้เนี่ยนมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าข้างวิลล่ามีหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานอยู่บานหนึ่ง เขาลอบเข้าไปด้านในโดยที่ไม่มีใครรู้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็นั่งหมอบอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง มองเข้าไปในบ้านผ่านบานหน้าต่าง

ชายหนุ่มมีสีหน้าท่าทางอ่อนโยน ให้ความรู้สึกไม่ค่อยสบายนักแก่ผู้คน

เขาเดินเข้ามาหาเสี่ยวเป่า มุมปากยกขึ้น “ฉันนึกว่าหนูจะไม่กล้ามาแล้วเสียอีก”

เสี่ยวเป่ายืดหลังตรง เดินไปด้านหน้าเขาทีละก้าวๆอย่างช้าๆ ดวงตาที่ไร้คลื่นความรู้สึกใดๆคู่หนึ่งจ้องมองไปที่ชายหนุ่มเขม็ง มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา

“มีอะไรที่ไม่กล้ากันครับ”

รอบตัวเสี่ยวเป่าแผ่กลิ่นอายทรงพลังที่ทำให้ผู้คนไม่อาจมองผ่านได้ ไม่เหมือนกับเด็กคนหนึ่งเลยสิ้นเชิง

กู้เนี่ยนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

นี่ยังเป็นเสี่ยวเป่าที่เขารู้จักอยู่หรือไม่

แม้จะรู้ว่าเสี่ยวเป่าเหมือนกับคุณชายมาก แต่ก็เป็นเพราะเขายังเป็นเด็ก จึงไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาก็สามารถแผ่กลิ่นอายทรงพลังเหมือนกับคุณชายได้

ต่อหน้าผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเป่าไร้ซึ่งความเกรงกลัวและเต็มไปด้วยความมั่นใจ ก้นบึ้งนัยน์ตาของชายหนุ่มมีประกายความชื่นชมพาดผ่าน หัวเราะเสียงดังออกมา “ไม่เลว! ฉันชอบนักเรียนแบบหนูนี่แหละ แต่ว่า…….”

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน “หนูน่าจะไม่ได้บอกเรื่องที่ฉันตีหนูให้กับพ่อแม่ของหนูรู้สินะ”

“ผมคนเดียวก็สามารถจัดการคุณได้แล้ว” เสี่ยวเป่าขึงตาเย็นเยียบใส่เขา

“ดีมาก ฉันชอบคนมีเงินแบบพวกหนูเนี่ยแหละ หยิ่งยโสและอวดดี ยอมหักไม่ยอมงอ!” ชายหนุ่มลุกขึ้น เดินเข้ามาใกล้เสี่ยวเป่าทีละก้าวๆ

ในขณะที่เหลือระยะห่างจากเสี่ยวเป่าอีกสองก้าว ชายหนุ่มก็หยุดลง ก้มหน้าจ้องเขา มุมปากแย้มรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา “หวังว่าอีกครู่หนึ่ง หนูจะยังมีท่าทางเข้มแข็งแบบนี้อยู่นะ!”

เสี่ยวเป่าขึงตามองกลับอย่างไม่ยอมอ่อนให้ “คุณวางใจเถอะ จะต้องมีแน่นอน”

เอ่ยจบ เสี่ยวเป่าก็ปลดกระเป๋าหนังสือโยนไปไว้อีกด้าน ตั้งกระบวนท่าออกมา บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว

ชายหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าทะมึนอยู่ครู่หนึ่ง และลงมือกะทันหัน

การเคลื่อนไหวทั้งรวดเร็วทั้งรุนแรง!

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสี่ยวเป่าตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว หลบได้ คนก็คงถูกโจมตีจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว

เสี่ยวเป่าราวกับอสูรตัวน้อยที่ถูกแตะเกล็ดย้อน คำรามเสียงดังแล้วพุ่งตัวไปทางชายหนุ่ม ใช้กระบวนท่าที่เขาได้เรียนมาทั้งหมดออกมาอย่างสุดความสามารถ

ร่างกายสูงใหญ่นั้นเป็นจุดเด่น ชายหนุ่มหลบกระบวนท่าโจมตีของเขาได้อย่างสบายๆ

“หรือว่าหนูมีเพียงแค่กระบวนท่าเหล่านี้เท่านั้นหรือ” ชายหนุ่มส่งเสียงเย้ยหยัน

ประกายโหดเหี้ยมพาดผ่านนัยน์ตาเสี่ยวเป่าไป การเคลื่อนไหวก็ยิ่งรวดเร็ว แม่นยำและรุนแรง

หลายครั้งล้วนโจมตีถูกชายหนุ่ม

ชายหนุ่มครางออกมาอย่างเจ็บปวด เขาไม่รู้สึกโมโห กลับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับเด็กน้อยที่หาของเล่นที่ตัวเองชื่นชอบเจออย่างไรอย่างนั้น

“มา เข้ามาอีก! ให้ฉันได้ดูอีกสิว่าหนูเก่งมากขนาดไหน!” ชายหนุ่มออกหมัดติดกัน แต่ละหมัดล้วนโจมตีถูกร่างกายของเสี่ยวเป่า

ความแตกต่างระหว่างส่วนสูงของผู้ใหญ่และเด็ก ความแตกต่างระหว่างพละกำลัง เสี่ยวเป่าถูกโจมตีจนลงไปกองกับพื้นหลายครั้ง

แต่ทุกครั้งเขาก็ลุกขึ้นมา โจมตีชายหนุ่มใหม่โดยไม่ยอมแพ้

“ฉันว่าหนูยอมแพ้เถอะ หนูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันเลยแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มจงใจเอ่ยกระตุ้นเสี่ยวเป่า

ใบหน้าเยาว์วัยของเสี่ยวเป่าตึงขึ้นมาทันที แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยมาก เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้

สุดท้าย เขาก็ถูกชายหนุ่มโจมตีจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง

เขาใช้มือและเท้าเตรียมตัวจะลุกขึ้น ชายหนุ่มก็เดินตรงเข้ามาเหยียบลงบนแผ่นหลังของเขา

“จุ๊ๆๆ หนูมันก็แค่นี้เท่านั้นแหละ เมื่อครู่ยังพูดจาใหญ่โต!” ชายหนุ่มจ้องมองเขาอย่างดูถูก

เสี่ยวเป่าดิ้นรน “ให้ผมลุกขึ้น! ให้ผมลุกขึ้นนะ! ผมยังไม่ยอมแพ้!”

ชายหนุ่มออกแรงบนฝ่าเท้า เสี่ยวเป่าก็เจ็บจนร้องออกมาทันที

กู้เนี่ยนเห็นภาพเบื้องหน้านี้แล้ว สีหน้าก็แย่เป็นอย่างมาก อยากจะบุกเข้าไปก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบโทรศัพท์หาจิ้นเฟิงเฉินทันที

เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เขาก็เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “คุณชาย คุณชายน้อยถูกคนต่อยแล้ว ผมจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเขาไหมครับ”

“อยู่ที่ไหน” จิ้นเฟิงเฉินที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสายโทรศัพท์เอ่ยถาม

กู้เนี่ยนรีบบอกตำแหน่งตัวเองกับเขา

จิ้นเฟิงเฉินประหลาดใจมาก “นี่ไม่ใช่ที่พักของคุณครูสอนไวโอลินหรอกหรือ”

“คุณชาย คุณครูคนนี้ไม่ใช่คนดี”

ประโยคเดียวอธิบายเรื่องทั้งหมดได้ชัดเจน

“รอฉัน”

เอ่ยจบแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็ตัดสายโทรศัพท์แล้วรีบเดินออกไปข้างนอก

เจียงสื้อสื้อที่กำลังพูดคุยธุระกับเลขาคนอื่น เห็นเขาออกมาจากห้องทำงาน อีกทั้งยังมีสีหน้าไม่น่ามองเป็นอย่างมาก

เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไปหา ถามตามสัญชาตญาณว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสี่ยวเป่าใช่ไหมคะ”

“สื้อสื้อ คุณอยู่ที่บริษัท ผมไปครู่เดียวก็จะกลับมา”

“ฉันจะไปกับคุณค่ะ” เจียงสื้อสื้อเอ่ย

จิ้นเฟิงเฉินรู้ว่าตัวเองพูดสู้เธอไม่ได้ จึงรับคำแล้วพาเธอออกไปด้วยกัน

รถยนต์ขับอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังชานเมืองด้วยความเร็วสูง เจียงสื้อสื้อประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันอย่างกระสับกระส่าย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ” เจียงสื้อสื้อหันหน้าไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ

“ถึงแล้วก็รู้เอง”

จิ้นเฟิงเฉินขับรถเร็วมาก ทั้งยังฝ่าไฟแดงไปหลายครั้ง

เอี๊ยด……

ล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นจนเกิดเสียงแสบแก้วหู รถจอดอยู่ด้านนอกวิลล่า

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท