เสี่ยวเป่าถือสมุดแบบฝึกหัดเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเรียกพ่อตัวเองเสียงใสว่า: “แด๊ดดี้”
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้น พอเห็นลูกชายตัวเองมา แววตาและน้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที: “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ผมมีโจทย์ข้อหนึ่งที่ทำไม่เป็น แด๊ดดี้ช่วยสอนผมหน่อยได้ไหมครับ?”
เสี่ยวเป่ากลัวว่าจะรบกวนการทำงานของเขา
“ได้อยู่แล้วครับ” จิ้นเฟิงเฉินยื่นมือไปหาเขา “ให้แด๊ดดี้ดูหน่อยนะ”
เสี่ยวเป่าดีใจมาก รีบเปิดสมุดแบบฝึกหัดบนโต๊ะ แล้วชี้ข้อที่ไม่เป็น พูดว่า: “ข้อนี้ผมทำไม่เป็นน่ะครับ”
จิ้นเฟิงเฉินกวาดตามองโจทย์ปัญหาพวกนี้ หยิบดินสอขึ้นมาแล้วเขียนพรวดอย่างเร็ว
เสี่ยวเป่ามองดูอย่างตั้งใจ
เสี่ยงสื้อสื้อเดินเข้ามา เห็นสีหน้าสองพ่อลูกที่ตั้งใจมาก ภายใต้แสงที่สาดส่องลงมาบนใบหน้าที่คล้ายกันของพวกเขา เธอก็อดไม่ได้อมยิ้มอย่างพอใจ
สองพ่อลูกนี้ ขนาดสีหน้าที่แสดงออกมายังเหมือนกันเลย
เธอเดินย่องเข้าไปเบาๆ และเห็นบนกระดาษคิดเลขที่มีตัวเลขอยู่เต็มไปหมด เธอก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที
เธอรู้จักทุกตัวเลขเลย แต่พอรวมกันแล้ว เธอก็ไม่รู้จักแล้วล่ะ
เห็นเสี่ยวเป่าตั้งใจมาก เจียงสื้อสื้อเลยอดไม่ได้ถามไปว่า: “เสี่ยวเป่า ลูกเข้าใจเหรอ?”
เสี่ยวเป่าได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตากลมโตใสกริ๊งคล้ายลูกองุ่น “ครับ! เข้าใจครับ”
“จริงเหรอ?”
แม้จะรู้ว่าเขาฉลาดมาก แต่สามารถเข้าใจกระบวนการแก้ไขโจทย์ปัญหาของจิ้นเฟิงเฉินได้ เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ประหลาดใจ
“เสร็จแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินแก้ไขโจทย์ปัญหาเสร็จ ก็หันหน้าไปมองเสี่ยวเป่า กระตุกยิ้มเล็กน้อย “มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจไหม?”
เสี่ยวเป่าชี้ไปที่สูตรการคิดหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเล แล้วพูดว่า: “ไม่เข้าใจตรงนี้ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินอธิบายช้าๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “เข้าใจหรือยัง?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
จิ้นเฟิงเฉินเปิดดูโจทย์ข้ออื่น เห็นว่าทำไปแล้วเกือบครึ่ง และคำตอบก็ยังถูกทั้งหมดด้วย
“ทำเองหมดเลยเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ครับ”
“ทำไมถึงอยากทำโจทย์คณิตศาสตร์โอลิมปิกล่ะ?”
“เพราะอาทิตย์หน้าผมจะเข้าแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกครับ”
ได้ยินคำตอบที่แน่วแน่ขนาดนี้ เจียงสื้อสื้อก็ถามอย่างแปลกใจว่า: “เมื่อกี้ลูกบอกหม่ามี๊ว่าเบื่อถึงได้ทำโจทย์พวกนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ครับ เพราะเบื่อ” เสี่ยวเป่าพูด “ผมเบื่อถึงได้เข้าร่วมการแข่งขันครับ”
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้หัวเราะออกมา “ถ้าคุณครูเขาได้ยินลูกพูดแบบนี้ คงจะผิดหวังน่าดู”
คนแบบไหนที่เบื่อจนต้องไปเข้าแข่งขัน
“โจทย์ส่วนใหญ่ผมทำเป็นทั้งหมด ก็เลยเบื่อน่ะครับ” เสี่ยวเป่าพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ลูกสามารถเลือกโจทย์ที่ยากกว่านี้ได้นะ” จิ้นเฟิงเฉินแนะนำ
“ผมก็กำลังคิดแบบนี้อยู่ครับ” เสี่ยวเป่าปิดสมุดแบบฝึกหัด เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างได้ใจว่า “แต่ว่า เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องทำโจทย์ที่ยากมากหรอกครับ”
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ
มั่นใจในตัวเองขั้นสุดทั้งสองคน
เสี่ยวเป่าเดินกลับห้องไปทำโจทย์คณิตศาสตร์โอลิมปิกต่อ เจียงสื้อสื้อก็มองไปที่จิ้นเฟิงเฉิน แล้วพูดว่า: “เสี่ยวเป่าสืบทอดไอคิวจากนาย ฉลาดมากเกินไปแล้ว”
แม้ตอนที่เธอเรียนหนังสือจะไม่ได้ขี้เกียจมาก แต่เทียบกับพวกเขาแล้ว ก็เหมือนกับยักษ์เล็กเจอยักษ์ใหญ่ เทียบกันไม่ติดเลย
“เธอก็ไม่โง่นี่” จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อเธอ
“ฉันไม่โง่อยู่แล้ว” เจียงสื้อสื้อมองค้อนเขาอย่างไม่พอใจ “ถ้าฉันโง่ล่ะก็ นายจะมาชอบฉันได้ยังไง?”
“คนที่ฉันต้องการคือเธอ” จิ้นเฟิงเฉินกวักมือ เรียกเธอเดินเข้ามา
เจียงสื้อสื้อก็เดินไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง
เพิ่งเดินใกล้เขา เธอก็ถูกโอบเอวไว้แน่น และวินาทีต่อมา เธอก็ล้มลงไปนั่งบนตักเขา
กลิ่นหอมเอกลักษณ์ที่ชวนหลงใหลอบอวลอยู่รอบกายเธอ
ใบหน้าเนียนนุ่มนั้นแดงระเรื่อขึ้นมา หัวใจเต้นตึกตักรัวๆ
จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอไว้แน่น กระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จำไว้ว่า ฉันรักเธอ ไม่เกี่ยวกับความฉลาดของเธอ”
“ฉันรู้แล้ว”
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นจุ๊บไปที่ริมฝีปากนุ่มของเขาเบาๆ เธอสบตาเขาแล้วอมยิ้มพูดว่า “ฉันก็รักนายนะ”
ดวงตามืดมนนั้นมีเปล่งประกายขึ้นมา จิ้นเฟิงเฉินจับหัวเธอไว้ แล้วประทับริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่นุ่มละมุนของเธอ
ริมฝีปากพวกเขาเกี่ยวพันกันแน่น
เจียงสื้อสื้อหลับตาลง รับรู้ถึงทุกๆลมหายใจของเขาที่รดมายังใบหน้า
นานมาก จิ้นเฟิงเฉินก็ถูกผละออกจากริมฝีปากเธออย่างเสียดาย พวกเขาหัวชนกัน แล้วเขาก็พูดเสียงเบาว่า: “ช่วงนี้ พวกเราออกไปเที่ยวกับลูกดีไหม”
น้ำเสียงของเขาทั้งแหบและทุ้มต่ำ มีความน่าหลงใหลเซ็กซี่เบาๆ
เจียงสื้อสื้อรู้สึกคันหูหยิกๆ เธอก็ตอบไปว่า “ได้สิ”
จากนั้น เธอก็กระโดดลงจากตักของเขา “ฉันไปดูลูกๆก่อนนะ”
ว่าแล้ว ก็รีบวิ่งออกมาห้องหนังสืออย่างเร็ว เขามองดูแผ่นหลังของเธอ ก็อดไม่ได้กระตุกยิ้ม
……
ปัญหาในบริษัทแก้ไขได้แล้ว หมอกควันมรสุมที่ครอบงำตระกูลจิ้นอยู่นั้นก็ได้หายไปสักที
“เฟิงเฉิน เฟิงเหราไม่ได้กลับมากินข้าวเช้าที่บ้านหลายวันแล้ว”
นานๆทีจะได้เห็นลูกชายสองคนนั่งกินข้าวเช้าอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา แม่จิ้นก็ดูจะดีใจมาก
จิ้นเฟิงเหราดื่มนมหนึ่งคำ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า: “แม่ครับ มีความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้พร้อมหน้ากันอีกครั้งหรือเปล่าครับ?”
การเปรียบเปรยของเขาทำเอาแม่จิ้นหัวเราะเสียงดัง “แม่ยังรู้สึกว่าไม่พบกันวันเดียวเหมือนไม่ได้พบกันเป็นปีเลย”
ว่าแล้ว เธอก็คีบไข่ดาวไปไว้ในจานอาหารของจิ้นเฟิงเฉิน “กินเยอะๆนะ ช่วงนี้ลูกงานยุ่งจนผอมไปเลย”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มให้กับเธอ ไม่ได้พูดอะไร
แต่จิ้นเฟิงเหรากลับบ่นขึ้นมาว่า “แม่ครับ ของผมล่ะ?”
“เอ้านี่” แม่จิ้นคีบไข่ดาวให้เขา “ช่วงนี้ลูกก็ลำบากเหมือนกันนะ”
“ไม่ลำบากครับ ไม่ลำบากเลยสักนิด” จิ้นเฟิงเหราเคี้ยวไข่ดาวเต็มปาก เคี้ยวไปด้วยพูดไปด้วยว่า: “ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจิ้น เป็นสิ่งที่ผมสมควรทำอยู่แล้วครับ”
“ในเมื่อได้ลากพัก ก็อยู่กับหวั่นหวั่นดีๆล่ะ” แม่จิ้นพูด “ช่วงนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ลูกจะต้องดูแลเธอดีๆนะ”
พอพูดถึงส้งหวั่นชีง จิ้นเฟิงเหราก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม “แม่ครับ ผมรู้แล้วล่ะครับ”
จิ้นเฟิงเฉินดื่มนมคำสุดท้ายเสร็จ ก็เอาผ้ามาเช็ดปาก ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “แม่ครับ ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
“พี่ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย ก็โทรหาผมได้เลยนะ” จิ้นเฟิงเหราหันหน้าไปตะโกนบอกเขา
“อยู่ดูแลหวั่นหวั่นที่บ้านดีๆก็พอแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินพูดโดยไม่หันหน้าไปมองด้วยซ้ำ
จิ้นเฟิงเหราเบะปาก พึมพำว่า: “ไม่ไปทำงานแล้วรู้สึกแปลกๆจัง”
แม่จิ้นได้ยินแล้ว ก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา “ลูกนี่จริงๆเลย มีชะตาที่ต้องทำงานหนัก”
จิ้นเฟิงเหราหัวเราะ
……
จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งถึงบริษัท ก็เห็นกู้เนี่ยนรีบมารายงานอย่างเร็ว
“ประธานหลินกับคริสมินร่วมงานกับครับ”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลง กระตุกมุมปากแล้วพูดประชดว่า “ร่วมงานกันจริงสินะ?”