บทที่ 4-6 ขอโทษลู่เฉินทันที
ฟ่านหมิงงั้นหรอ
ลู่เฉินจำคำขู่ของฟ่านหมิงที่โรงพยาบาลเมื่อวานนี้ได้ดี เขายิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะลาออกเองหรือถูกไล่ออกก็มีค่าเท่ากัน
ลู่เฉินเดินมาที่ศูนย์การรักษาความปลอดภัย หยูไห่พูดขึ้นกับเขาว่า “ลู่เฉิน คุณขอลางานบ่อยในช่วงนี้ ซึ่งทำให้แผนการทำงานของฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเราต้องสะดุดลง ฉันได้คุยกับผู้บริหารเสี้ยแล้ว เราคงต้องเลิกจ้างคุณ”
“หืม? ถ้างั้นก็จ่ายค่ามัดจำมา” ลู่เฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“คุณถูกไล่ออกแล้วนะ จะให้เราจ่ายค่ามัดจำให้คุณได้ยังไง? อีกอย่างคุณต่างหากที่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เรา” หยูไห่ยิ้มเบาๆ เขาคิดจะทำให้ลู่เฉินยุ่งยากลำบากใจ ดวงตาของเขาก็แสดงออกมาถึงความดูถูก
เด็กน้อยเอ๋ย แกไปขัดขาใครไม่ขัด ดันมาทำให้ผู้อำนวยการฟ่านไม่พอใจซะได้ เขาเป็นผู้มีอำนาจในบริษัทนี้ การที่จะไล่ลู่เฉินออก ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยด้วยซ้ำไป
ลู่เฉินมองไปที่หยูไห่ด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “โอเค งั้นผมคงต้องไปหาผู้บริหารเสี้ยสักหน่อย”
เขาหัวเราะเยาะและออกจากศูนย์รักษาความปลอดภัยไป
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับมรดกสมบัติของตระกูล แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจเงินเล็กน้อยแบบนี้ ที่สำคัญนี่เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับมัน
หยูไห่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของลู่เฉิน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาฟ่านหมิง
“ผู้อำนวยการฟ่านครับ ลู่เฉินกำลังไปหาผู้บริหารเสี้ย ถ้าเราไม่รีบคืนเงินมัดจำให้เขา น่าจะเป็นเรื่องหรือเปล่าครับ?” หยูไห่พูดอย่างกังวล
“ไม่ต้องกังวลไป ฉันได้บอกผู้บริหารเสี้ยไปแล้ว เขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ผู้บริหารเสี้ยจะหยิบยกมาใส่ใจได้ยังไง?”
ฟ่านหมิงวางสายโทรศัพท์ลงหลังจากพูดจบ และยิ้มเยาะที่มุมปาก
ลู่เฉินหนอลู่เฉิน แกมันขยะชัดๆ ! แกมีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้หญิงกับฉันได้?
การไล่แกออกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น รอให้ฉันหาหลักฐานได้ว่าแกกู้เงินนอกระบบที่ไหน แกคงตายไม่ดีแน่
สิบนาทีต่อมา ณ ห้องทำงานของผู้บริหารเสี้ย
เสี้ยจุนเงยหน้าขึ้นมองลู่เฉินที่บุกเข้าไปในห้องทำงานของเขาและขมวดคิ้ว “คุณเป็นใคร?มาทำอะไร?”
“ท่านผู้บริหารเสี้ย เขาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชื่อว่าลู่เฉิน เขายืนยันที่จะพบคุณให้ได้เลยค่ะ ” เลขารีบเข้ามาอธิบาย
เธอมองไปที่ลู่เฉินด้วยความโกรธ เธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไม่สุภาพเช่นนี้เลย เมื่อเธอไม่ยอมให้เขาเข้ามา ลู่เฉินก็ผลักเธอออกไป
“ลู่เฉิน จากแผนกรักษาความปลอดภัยงั้นเหรอ……” เสี้ยจุนพยักหน้า จำได้ว่าฟ่านหมิงเหมือนจะบอกเขาเมื่อเช้าว่าคนชื่อลู่เฉินจะถูกไล่ออก
“ใช่ ผมเอง” ลู่เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเสี้ยจุนและมองเขา
“พวกคุณไล่ผมออก แต่ทำไมคุณไม่จ่ายเงินเดือนให้ผมล่ะ เงินมัดจำก็ไม่คืนให้ คุณช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”
เสี้ยจุนขมวดคิ้วและพูดว่า “ผมได้รับรู้เรื่องการไล่คุณออกแล้ว เพราะคุณลางานบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล บริษัทของเราไม่สามารถจ่ายเงินให้คุณได้อย่างแน่นอนและนี่เป็นกฎของบริษัทด้วย”
ฟ่านหมิงมาบอกเขาเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และเขาก็ควรให้ความเคารพการตัดสินใจของฟ่านหมิงบ้าง
ยังไงฟ่านหมิงก็เป็นคนสำคัญของบริษัท เขาเป็นคนที่มีความสามารถสูง ในแต่ละปีสามารถทำยอดสั่งซื้อทางธุรกิจให้บริษัทจำนวนมาก
ส่วนลู่เฉินเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วแน่นอนว่าฟ่านหมิงต้องสำคัญกว่าแน่นอน
“กฎของบริษัทเหรอ? ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย กฎที่เอารัดเอาเปรียบพนักงานแบบนี้มันใช้ได้เหรอ?” ลู่เฉินรู้สึกโกรธ เขาได้รับมรดกของครอบครัวมากมาย ในตอนนี้เขาไม่สนใจเงินเดือนเล็กน้อยแบบนี้อีกต่อไป แต่ที่เขาไม่พอใจมันเป็นเพราะเรื่องของความถูกต้อง
บริษัทมีกฏข้อนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และอีกอย่างเขาไม่ได้ขาดงานโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งที่เขาขอลาก็ได้รับการอนุมัติแล้ว
เสี้ยจุนกำลังรวมหัวกับฟ่านหมิงกลั่นแกล้งเขา คงเห็นเขาเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาคนหนึ่งใช่ไหม?
“ผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้นะ ถ้าผมบอกว่ามีก็คือมี เอาเป็นว่าถ้าคุณมีความสามารถเป็นผู้บริหารได้ ถึงเวลาคุณก็ตั้งกฏขึ้นมาเองสิ”เสี้ยจุนมองไปที่ลู่เฉินอย่างตลก เนื่องจากเขาเข้าข้างฟ่านหมิง จึงไม่สนใจว่าลู่เฉินจะพูดอะไร
ก็แค่ประกอบเล็กๆ คนนึง มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไร?
“คุณแน่ใจนะว่าจะยึดเงินประกันของผม” ลู่เฉินหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
เมื่อวันก่อน ถ้าเขาถูกรังแกแบบนี้ก็คงไม่มีทางสู้
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
“ถ้าคุณจะคิดแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็สามารถโทรเรียกตำรวจให้มาดำเนินคดีได้นะ เอาละ คุณไม่ใช่พนักงานของบริษัทเราอีกต่อไป ตอนนี้คุณออกไปได้แล้ว” เสี้ยจุนยักไหล่และพูดกับลู่เฉิน
“ผู้บริหารเสี้ย คุณเป็นคนที่หยิ่งพอสมควร” ลู่เฉินยิ้มและยกนิ้วให้เสี้ยจุน บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยถูกใครดูถูกแบบนี้มาก่อน
ถูกต้อง! เสี้ยจุนกำลังดูถูกเขา
แม้แต่เทพเจ้ายังไม่อาจละความโลภโกรธหลง ลู่เฉินเป็นเพียงคนธรรมดาๆ เขาจะไม่ทนกับคำสบประมาทเช่นนี้อีก จะไม่มีใครสามารถมาดูถูกและคดโกงเอารัดเอาเปรียบเขาได้อีกต่อไป
ลู่เฉินมองไปที่เสี้ยจุนจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาลู่จง
“ลุงจงครับ บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียมีมูลค่าทางการตลาดประมาณหนึ่งถึงสองพันล้าน ตามปกติแล้วจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการล้มละลาย? ” ลู่เฉินถาม
“ครึ่งวันครับคุณชาย” ลู่จงยิ้ม
“ขอบคุณครับ ผมต้องการเห็นพวกเขาล้มละลายภายในวันนี้” ลู่เฉินพูดและวางสายโทรศัพท์
เขามองไปที่เสี้ยจุนและพูดเพียงเบาๆ ว่า “ไม่มีใครในโลกนี้กล้าโกงเงินของผมโดยไม่มีเหตุผล ถ้าผมไม่ยินยอม แม้แต่สตางค์เดียวก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ”
ลู่เฉินพูดจบก็ลุกเดินจากไป
เสี้ยจุนหัวเราะเยาะ เขาไม่สนใจคำขู่ที่ไร้สาระของลู่เฉิน
ถ้าลู่เฉินมีความสามารถที่จะทำให้บริษัทของเขาล้มละลายได้ จะมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ได้อย่างไร?
…
ลู่เฉินระงับความโกรธเอาไว้และออกจากห้องทำงานของเสี้ยจุนไปทันที เขากำลังจะไปที่จะไปโรงพยาบาล
วันนี้หลินอี้จุนมีนัดคุยธุรกิจ ดังนั้นลู่เฉินจึงไปดูลูกสาวที่โรงพยาบาล
ทันทีที่ลู่เฉินเดินไปถึงแผนกต้อนรับที่ชั้นหนึ่งของบริษัท เขาก็เห็นฟ่านหมิงและคนอื่นๆ ที่แผนกต้อนรับดูเหมือนกำลังยืนรอเขาอย่างตั้งใจ
ใช่แล้ว! ฟ่านหมิงจงใจรออยู่ที่นี่เพื่อทำให้ลู่เฉินต้องอับอาย
ลู่เฉินหักหน้าเขาเมื่อวาน วันนี้กลับถูกไล่ออก เขาจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
“อ้าว ลู่เฉินไม่ใช่หรือ? ผมได้ยินมาว่าคุณจะไปพบผู้บริหารเสี้ยไม่ใช่เหรอ เขาคงจะให้ความช่วยเหลือคุณซินะ” ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินแล้วพูดอย่างประชดประชัน
หยูไห่และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกหลายคนก็หัวเราะสนุกสนาน
พวกเขาล้วนเป็นทหารผ่านศึก มีประสบการณ์มากมายแต่กลับมาพ่ายแพ้ให้กับคนที่ไม่เคยผ่านการฝึกอบรมอย่างลู่เฉิน ทำให้พวกเขาค่อนข้างไม่พอใจลู่เฉิน
เมื่อได้ยินว่าลู่เฉินไม่เพียงแต่ถูกไล่ออก แต่เขายังไม่ได้รับเงินเดือนกับเงินประกันด้วย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ก็สะใจมาก
ลู่เฉินมองไปที่ฟ่านหมิงอย่างใจเย็นและพ่นควันบุหรี่ออกมาพูดว่า “แสดงต่อไปสิ!”
ถ้าฟ่านหมิงสนุกกับเกมนี้ เขาก็จะเล่นด้วยสักหน่อย
อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ตองเจียก็ประกาศล้มละลาย ดูสิว่าเขายังจะสนุกสนานได้อีกไหม!
เมื่อได้ยินคำพูดถากถางของลู่เฉินแบบนั้น ท่าทีของฟ่านหมิงก็เปลี่ยนไปทันที สิ่งที่เขาต้องการเห็นในตอนนี้ก็คือลู่เฉินสิ้นหวังและมาขอโทษเขา
“ลู่เฉิน แกมันก็เป็นได้แค่ขยะ จะมาวางท่าอะไรต่อหน้าฉัน?” ฟ่านหมิงพูดขึ้น
“นั่นสิลู่เฉิน แกเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ คนนึง ผู้อำนวยการฟ่านมีทั้งอำนาจและเงินทอง แกมีคุณสมบัติอะไรมาเทียบกับเขาได้ ผมขอเตือนนะว่าอย่าทำให้เขาโมโหเลย ขอโทษผู้อำนวยการฟ่านซะเถอะ ไม่อย่างนั้นบางทีแกอาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอนในยวี่โจวแล้วก็ได้” ฟังดูเหมือนหยูไห่จะพยายามเกลี้ยกล่อมลู่เฉิน แต่ใครๆ ก็เข้าใจว่ามันเต็มไปด้วยการข่มเหง
ลู่เฉินยิ้มกว้าง “ก็แค่ผู้อำนวยการฝ่ายขายตัวเล็กๆ คิดว่าจะสามารถขัดขวางผมได้หรือ?หยูไห่คุณกำลังเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังหรือไง? ”
การแสดงออกของหยูไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่คาดหวังว่าลู่เฉินจะพูดออกมาได้อย่างเย็นชาโดยไม่รู้สึกอะไร
ฟ่านหมิงยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง “หึ! แม้ว่าฉันจะเป็นแค่ผู้อำนวยการฝ่ายขายธรรมดาๆ แต่ฉันก็ไล่แกออกจากบริษัทได้ด้วยประโยคเดียวและคุณไม่ได้รับเงินเดือนและเงินมัดจำแม้แต่สตางค์เดียว!”
“ลู่เฉิน ฉันจะบอกความจริงให้ฟังนะ เรื่องที่ให้แกออกไปก็คือแผนของฉันเอง ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแกจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน ถ้าแกเก่งมากก็ไปหาวิธีเอาเงินเดือนกับเงินประกันที่ผู้บริหารเสี้ยดูสิ หรือไม่ให้ผู้บริหารเสี้ยให้คุณอยู่ต่อสิ ”
“ฟ่านหมิง แกนี่มันอวดดีจริงๆ !”
ในขณะนั้นเอง เสียงที่สง่าผ่าเผยก็ดังขึ้นและทุกคนก็หันกลับไปมองพร้อมๆ กัน ผู้บริหารเสี้ยกำลังเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยอาการรีบร้อน
เมื่อเห็นว่าผู้บริหารเสี้ยมีสีหน้าไม่ดีนัก ฟ่านหมิงและคนอื่นๆ ก็เริ่มใจคอไม่ดี
“ผู้บริหารเสี้ย จะไปไหนเหรอครับ” ฟ่านหมิงพูดด้วยความนอบน้อม
“หึ! ” เสี้ยจุนมองไปที่ฟ่านหมิงด้วยความโกรธและพูดว่า “ฉันขอถามแกหน่อย ลู่เฉินทำงานได้ดีมาตลอดทำไมคุณถึงขับไล่เขาออกไปจากบริษัท และอีกอย่างคุณมันก็แค่ผู้อำนวยการฝ่ายขาย มีคุณสมบัติอะไรที่จะไล่เขาออก? ใครให้สิทธิคุณ?”
“ใช้อำนาจในทางมิชอบไล่พนักงานดีๆ ของบริษัทโดยไม่มีเหตุผล ฟ่านหมิง เว้นแต่คุณจะขอโทษลู่เฉินและได้รับการให้อภัยจากเขาไม่อย่างนั้นผมจะให้คุณออกจากบริษัททันที! “เสี้ยจุนตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาน
“คะ….ครับ? ” ฟ่านหมิงตัวสั่น เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เมื่อเห็นผู้บริหารเสี้ยไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้ ขาของเขาก็เริ่มสั่น
หยูไห่และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่น ๆ ก็ดูตะลึงไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้เสี้ยจุนก็สนับสนุนให้ลู่เฉินออกจากบริษัทไม่ใช่เหรอ?
นี่มันหมายความว่าอะไร?
ลู่เฉินมองไปที่เสี้ยจุนที่กำลังหัวหมุน และฟ่านหมิงที่กำลังลนลาน จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา