บทที่ 83 เสียใจ
คลาดเคลื่อนเพียง 7 กรัมเท่านั้น!
พวกเขาทุกคนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
ให้ตายเถอะ!
เมื่อสักครู่ว่าศาสตราจารย์เจิ้งมีความแม่นยำอีกทั้งยังเป็นมือวางอันดับ 3 ของประเทศ ก็ความคลาดเคลื่อนได้ถึง 10 กรัมเป็นอย่างน้อย
แต่เจ้าหมอนี่กลับคลาดเคลื่อนเพียง 7 กรัม!
ความแตกต่างไม่ถึง 10 กรัมนี่เป็นทักษะความสามารถล้นฟ้าหรืออย่างไร!
หวงยาวจุนหยิบอัญมณีนั้นขึ้นมาและพิจารณาดู เขาค่อนข้างแน่ใจว่านี่คือหยกส้มโอ
แต่เขาก็ได้ทำตามขั้นตอน สุดท้ายหลังจากพิจารณาดูแล้วก็ยิ้มและหันไปทางเจิ้งซีเหอพูดว่า “อาจารย์เจิ้งครับ คุณก็ลองมาดูสิ”
ก่อนหน้านี้เขาพ่ายแพ้ให้กับเจิ้งซีเหอ แล้วเจิ้งซีเหอดูถูกเขาโดยสายตาหวงยาวจุนมีความรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ถึงแม้ลู่เฉินจะเป็นคนชนะเจิ้งซีเหอ แต่ลู่เฉินก็นับว่าเป็นคนยวี่โจวของพวกเขาเช่นกัน
บัดนี้ลู่เฉินเป็นตัวแทนของการพนันอัญมณีแห่งยวี่โจวนั่นเอง
ทำให้หวงยาวจุนรู้สึกสะใจยิ่งนัก
แน่นอนว่าความรู้สึกเหล่านี้มีเพียงหวงยาวจุนที่คิดแบบนี้
เนื่องจากคนอื่นๆนั้นเห็นแก่หน้าของตนและไม่กล้าพูดชมเชยว่าลู่เฉินนั้นมีความสามารถออกมา
เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาได้หัวเราะและดูถูกลู่เฉินไว้อย่างมาก
อีกทั้งยังเอ่ยอีกว่าลู่เฉินไม่ใช่คนยวี่โจว การกระทำของเขาไม่เกี่ยวกับคนยวี่โจวแม้แต่น้อย
“ไม่จำเป็น เขาชนะแล้ว” เจิ้งซีเหอส่ายหัว และยอมรับความพ่ายแพ้
ก่อนหน้านี้เขามีท่าทางที่หยิ่งผยองนั่น เกิดจากเขามีความเชื่อว่าลู่เฉินไม่สามารถชนะเขาได้อย่างแน่นอน
แต่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเยาะเย้ยถากถางลู่เฉิน
ในทางกลับกัน ณ วินาทีนี้เขายอมพ่ายแพ้ให้กับความสามารถในการพิจารณาอัญมณีของลู่เฉินจากใจจริง
เมื่อเจิ้งซีเหอพูดจบ โจวเจินเฟ่ยและพรรคพวกก็สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นซีดเผือด คล้ายกับตกลงมาจากสวรรค์สู่นรก
ส่วนทางด้านของจั่วชิงเฉิงและพรรคพวกกลับตบมือฮือฮากันขึ้นมา
ถึงแม้คนชนะจะเป็นลู่เฉิน แต่ ณ วินาทีนี้พวกเขากลับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ได้รังเกียจเดียดฉันท์ลู่เฉินเพียงใด
การกระทำเช่นนี้คล้ายกับตบหน้าโจวเจินเฟ่ยเข้าอย่างจัง!
จะให้พูดว่ายังไงดีนะ
สะใจจนบรรยายไม่ถูกเลย!
“ขอถามหน่อย คุณรู้ได้ยังไงว่าข้างในเป็นหยกส้มโอ” เจิ้งซีเหอถามลู่เฉินด้วยใบหน้าตกตะลึง
ถึงแม้จะเป็นหยกเนื้ออ่อนปานกลางจากตะวันตกจริง แต่ก็ยังแยกประเภทอีกหลายอย่าง แต่ชายหนุ่มผู้นี้เขาเพียงนำมันมาจับไว้ในมือก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่าคือประเภทไหน เทคนิคเช่นนี้ไม่ใช่เทคนิคที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ และเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ผมเดาเอานะครับ” ลู่เฉินหัวเราะ
แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เดา
ผู้เชี่ยวชาญอันดับ 1 ของประเทศก็คือหยุนลาวอาจารย์ของเขานั่นเอง เขาได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากหยุนลาวมาตั้งแต่เล็ก และเขาก็มีความสนใจในด้านของของสะสมและอัญมณีต่างๆมากมาย ดังนั้นความสามารถในการวิเคราะห์ของเขาไม่น้อยไปกว่าหยุนลาวเลย
ตามทั่วไปแล้วหยกที่มีความแข็งปริมาณเท่าเทียมกับกระจกจะเรียกกันว่าเป็นหยกแข็ง ส่วนความแข็งน้อยกว่ากระจกจะเรียกว่าเป็นหยกอ่อน
เขาใช้พลังงานจากภายในร่างกายส่งผ่านไปยังหินนั้นและสัมผัสออกมาว่ามีหยกอยู่ด้านในหรือไม่ หากมีหยกจริงความแข็งคืออะไร เขาต้องแยกแยะความแข็งและความอ่อนออกจากกันก่อนจึงตัดสินใจถึงประเภทได้ และคำนวณหาค่าที่สอดคล้องว่าเป็นประเภทใด
แน่นอนว่าวิธีนี้ไม่ง่ายเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าคนมีพลังจากภายในก็สามารถทำได้
แต่ต้องผ่านการทดสอบและทดลองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อีกทั้งยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหยกต่างๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เฉิน เจิ้งซีเหอก็รู้สึกไม่พอใจ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อ!
แต่ลู่เฉินไม่ยอมพูดออกมา เขาเองก็ไม่มีประโยชน์ที่จะซักถาม
ในใจคิดว่าอย่าให้ถึงเวลาที่พ่ายแพ้แก่เขาแล้วกัน มิฉะนั้นเขาจะเอาคืนทุกอย่างให้สาสม!
“เถ้าแก่โจว ผมมีความสามารถไม่เท่ากับเขา ในวันนี้ผมไม่ขอเป็นผู้ประเมินให้แก่คุณแล้ว ขอตัวก่อน” เจิ้งซีเหอทำความเคารพโจวเจินเฟ่ยและพรรคพวกจากนั้นเดินออกจากโรงแรมไป
เขาจะเอาหน้าที่ไหนอยู่ต่อ
โจวเจินเฟ่ยต้องการรั้งเขาไว้ เขาคิดว่าลู่เฉินเพียงแค่บังเอิญโชคดีเท่านั้นเขาจะต้องชนะกลับมาให้ได้
แต่เจิ้งซีเหอไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่โจวครับ คนจาก ที่ราบภาคกลางของคุณมีความสามารถเท่านี้หรือ?” จั่วชิงเฉิงหัวเราะเยาะออกมา ภายในใจเขาสะใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้เขาถูกโจวเจินเฟ่ยกดดันจนแทบกระอักเลือด
“เหอะๆ จั่วชิงเฉิงคุณดีใจอะไรไป คุณไม่ได้ชนะสักหน่อย” โจวเจินเฟ่ยพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้พวกคุณบอกว่าเขาไม่ใช่คนยวี่โจวไม่ใช่เหรอ ดีใจอะไรไป?”อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา
คำพูดของทั้งสองทำให้จั่วชิงเฉิงและบรรดาคนอื่นๆ สีหน้าซีดลง เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
ผิดหวังจริงๆ
หากพวกเขาเชื่อในฝีมือของลู่เฉินละก็ ตอนนี้พวกเขาคงดีใจได้อย่างออกหน้าออกตา
เมื่อพวกเขาคิดถึงการกระทำก่อนหน้านี้ แม้แต่จั่วชิงเฉิงเองก็รู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนักจึงไม่พูดอะไรอีก
“เจ้าหนู รอบที่แล้วก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้นแหละ เรามาพนันกันอีกรอบหนึ่ง” โจวเจินเฟ่ยมองมาทางลู่เฉินแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ก็ได้ แต่รอบนี้พวกคุณควรจะวางเงินเดิมพันเยอะหน่อยนะ รอบต่อไปผมคงจะเดิมพันด้วยเงินหนึ่งหมื่นล้าน” ลู่เฉินหัวเราะออกมา
หา!!!
โจวเจินเฟ่ยไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาให้ทนายความรีบเขียนสัญญาทันที
พนันทีละหมื่นล้าน!
พระเจ้า! ต่อให้พวกเขานำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลโจวออกมาวางเป็นเงินเดิมพันก็พนันได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อย ลู่เฉินก็เตรียมตัวเดินจากไป
แหล่งนำเข้าวัตถุดิบจากทั้งสองพื้นที่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเวลามากมายไปจัดการเรื่องราวพวกนี้ แต่เขาสามารถทำให้ตู้เฟยลืมตาอ้าปากจากตรงนี้ได้
ใช่แล้ว!เขาต้องการนำช่องทางการค้าอัญมณีทั้งสองแหล่งนี้มอบให้กับตู้เฟยดูแลรับผิดชอบ และให้เขามีทางแก้ตราบาปให้กับตัวเอง
“คุณลู่ครับ คุณลู่ รอแป๊บหนึ่ง” เมื่อเห็นลู่เฉินจะจากไปจั่วชิงเฉิงก็รีบตามขึ้นมา
ลู่เฉินขมวดคิ้วแล้วมองไปทางจั่วชิงเฉิง
“คืออย่างนี้นะครับ ช่องทางการค้าอัญมณีในมือของคุณตอนนี้ สนใจจะส่งต่อให้ผมไหม?” จั่วชิงเฉิงพูดอย่างเขินอาย
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งมีความตั้งใจจะส่งต่อให้ใคร” ลู่เฉินหัวเราะเบาๆ
จั่วชิงเฉิงทำตัวไม่ถูก หากเขาไม่ได้หนังสือสัญญาฉบับนี้กลับมาเขาต้องถูกตำหนิอย่างมากแน่นอน
“ผมให้ราคาพันล้าน ไม่สิ พันห้าร้อยล้านสำหรับการซื้อหนังสือสัญญาในมือคุณ” จั่วชิงเฉิงพูดออกมาจากใจจริง
เพียงแค่ราคากระดาษใบเดียวจำนวนเงิน พันห้าร้อยล้านเป็นราคาที่ยุติธรรมมากแล้วจริงๆ จั่วชิงเฉิงคาดว่าลู่เฉินน่าจะใจอ่อนบ้าง
ลู่เฉินเพียงแค่ยิ้มแล้วหันหลังจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิครับ” จั่วชิงเฉิงตะโกนตามหลังมา
ลู่เฉินไม่ได้มีทีท่าจะหันหลังกลับ
“คุณลู่ครับ พวกเราเป็นชาวยวี่โจวด้วยกันทั้งนั้น งานใหญ่ขนาดนี้คุณคนเดียวก็คงทำไม่ได้หรอก ให้พวกเราช่วยจัดการเป็นอย่างไรล่ะ?” ชายหัวโล้นก็วิ่งตามขึ้นมาพูดเช่นกัน
ลู่เฉินหันหลังกลับไปมองชายผู้นั้นแล้วเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เมื่อสักครู่ผมได้ยินกับตัวเองหรือเปล่านะ ว่าพวกคุณบอกว่าผมไม่ใช่คนยวี่โจวหรือว่าหูมีปัญหา?”
พวกเขาทั้งหลายดูถูกลู่เฉินก่อนหน้านี้ ทำให้อายจนต้องก้มหน้าลงไป
น่าเสียดายจริงๆ
หากรู้ว่าลู่เฉินเก่งขนาดนี้ ต่อให้ลู่เฉินบอกว่าไม่ใช่คนยวี่โจว พวกเขาก็ต้องทำให้ลู่เฉินเป็นคนยวี่โจวให้ได้
เมื่อมองตามเงาของลู่เฉินที่จากไป พวกเขาทั้งหลายรู้สึกไม่สบายใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรไปมากกว่านี้
เนื่องจากต่อจากนี้พวกเขาจะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากลู่เฉิน
การขัดใจลู่เฉินก็เท่ากับว่ามีปัญหากับเงินทองนั่นเอง
ตรงกันข้าม
พวกเขาทั้งหลายกำลังพยายามคิดว่าทำอย่างไรให้ลู่เฉินพอใจ
มีเพียงจั่วชิงเฉิงเท่านั้นที่หรี่ตาลงมองลู่เฉินด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“ผมอยากจะคอยดูจริงๆ ว่าเขาจะสามารถดำเนินการธุรกิจของทั้งสองเขตได้อย่างไร”
จั่วชิงเฉิงหัวเราะอยู่ในใจ เขาเชื่อว่าบ้านตระกูลโจวไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่
เมื่อถึงเวลา เขาร่วมมือกับบ้านตระกูลโจว เชื่อว่าลู่เฉินจะต้องยอมมอบหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับนั้นออกมาโดยดีแน่