บทที่ 35 เตรียมลาจาก
ขณะที่สายตาของทุกคนยังคงตกตะลึง กษาปณ์เข็นรถวีลแชร์เดินมาที่ลิฟต์ “เสกข์”
“ครับ ท่านประธาน”
เสกข์ในชุดสูท เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ต่อไปคุณต้องอยู่กับเจ้าสาม อธิบายเรื่องต่างๆ ภายในบริษัท นับจากนี้คุณคือผู้ช่วยของเจ้าสาม”
“ครับ” เสกข์รีบรับปาก เขาเงยหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วมองไปที่คณพศ “คุณชายสาม ผมชื่อเสกข์ครับ คุณเรียกผมว่าเสกข์ก็ได้ครับ”
คณพศพยักหน้ารับทราบ แล้วทั้ง 3 คนก็เดินเข้าไปในลิฟต์ตรงขึ้นไปชั้นบน
คนที่ยังอยู่ในห้องจัดเลี้ยง ต่างก็มองประตูลิฟต์ที่เพิ่งปิดไป
กษาปณ์พอได้ฟังว่าคุณชายสาม จะกลับไปทำงานที่บริษัทก็ดีใจซะยกใหญ่ ยกภาระหน้าที่ของตนเองให้หลานชายคนนี้ แบบนี้ไม่เพียงแสดงว่าชอบคุณชายสาม แต่ยังหวังในตัวคุณชายสามอีกด้วย
วิษณุกำมือแน่น ดวงตาของเขาแสดงถึงรอยร้าว ดี ดีจริง ไม่เพียงแต่ให้คนง่อยเปลี้ยไปดูแลบริษัท ยังให้เจ้าเสกข์ไปช่วยเหลืออีกด้วย
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาหัวเราะแบบเย็นๆ เขาเองก็อยากเห็นคนพิการแบบนั้นจะมาแย่งชิงอะไรกับเขาได้ เมื่อไรที่เข้าบริษัทจะทำให้เขารู้และต้องยอมถอยไปเอง
ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพยักหน้าเล็กน้อย “ทุกคนตามสบาย ฉันมีเรื่องที่ต้องออกไปจัดการซักหน่อย
เขาก้าวออกจากลานคฤหาสน์ เงยหน้ามองไปที่ห้องหนังสือ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวทันที
ใต้ชั้นวางองุ่นด้านนอกคฤหาสน์ บุรินทร์และนารายืนอยู่ที่นั่น บุรินทร์มองไปรอบๆ รีบเดินไปที่ข้างๆ นารา มือทั้งสองจับที่ไหล่ของเธอ “นารา สบายดีไหม พ่อขอโทษ ลูกอยู่บนเกาะสบายดีไหม? คุณชายสามรังแกอะไรลูกหรือเปล่า?”
นาราเงยหน้ามองบุรินทร์ ดวงตาเอ่ยล้นด้วยน้ำตา “พ่อคะ หนูสบายดีคะ แต่พวกเขารู้แล้วว่าหนูไม่ใช่พี่ พ่อคะอย่าหลอกคุณปู่อีกเลย พูดความจริงเถอะคะ”
“ว่าไงนะ? พวกเขารู้แล้วหรือว่าลูกไม่ใช่พิมมี่? แล้วก็ไม่ได้ทำร้ายหนู?” บุรินทร์เบิกตากว้างมองลูกสาวตัวเอง
นาราพยักหน้ารับ “พ่อ หนูแต่งงานกับคุณคณพศแทนพี่ก็ผิดอยู่แล้ว ตระกูลปัญญาพนต์จะเอาเรื่องหนูก็เป็นเรื่องปกติ ยัไงหนูก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลวรชัยลภัส หนูหวังแต่เพียงให้พ่อพูดความจริงกับคุณปู่ บางทีคุณปู่อาจจะปล่อยพวกเราไป อีกอย่างพี่ก็อาจจะได้แต่งงานกับคุณชายรอง”
“นาราลูกพูดถูก พ่อจะไปหาคุณกษาปณ์เพื่ออธิบายความจริง ให้พิมมี่ได้แต่งงานกับคุณชายรอง พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่นารา ลูกถูกเอาเปรียบมากเกินไป” บุรินนทร์พูดด้วยความรู้สึกผิด
นาราส่ายหน้า “หนูไม่ได้รู้สึกถูกเอาเปรียบเลยคะ หนูรู้สึกว่าคุณชายสามก็เป็นคนดี ถึงแม้นิสัยเขาออกจะดูแปลกๆ นิดหน่อย แต่เขาเป็นคนที่มีจิตใจดี มีเมตตา ตอนที่เขารู้ว่าหนูไม่ใช่พี่พิมมี่ ก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรหนู แต่ยังช่วยหนูปิดบังความจริงไว้ หนูตั้งใจจะดูแลเขาจนกว่าเขาจะเดินได้”
บุรินทร์มองลูกสาวด้วยสายตาที่แน่วแน่ เขารู้สึกในทันทีเลยว่านาราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ได้ นารา ในเมื่อเป็นแบบนี้พ่อจะไปสารภาพกับคุณกษาปณ์ บ้านเราทำผิด ไม่ว่าตระกูลปัญญาพนต์จะลงโทษอย่างไร พวกเราก็จะรับโทษนั้น”
บุรินทร์พูดจบก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ยืนอีกด้านของรัมพร ฟังพ่อลูกคุยกัน พร้อมเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
บุรินทร์ความคิดของเธอไม่เลว ถ้าไม่ใช่เพราะหลานของเขาชอบพิมมี่ เธอก็คงทำให้ตระกูลวรชัยลภัสของเขาต้องสูญเสียเมืองธิตกลไปแล้ว
ห้องหนังสือชั้นสอง บุรินทร์กำลังจะเคาะประตู แต่ได้ยินเสียงกษาปณ์เสียก่อน “หลานรัก ถ้าหลานยอมไปทำงานที่บริษัท ปู่จะจัดการทุกอย่างเอง เดือนหน้าจะประชุมผู้ถือหุ้น ปู่จะประกาศว่าหลานคือประธานคนใหม่”
บุรินทร์ตกใจ เขาต้องการให้คณพศเป็นประธานบริษัท
งั้นวิษณุจะทำยังไง พิมมี่ต้องเป็นบ้าแน่
“คุณปู่ ผมเพิ่งจะกลับไปทำงาน ยังไม่ต้องรีบร้อนประกาศให้ผมเป็นประธานหรอกครับ อีกอย่างยังมีพี่รองอยู่อีกคนไม่ใช่หรือครับ?”
“หลานอย่าเอ่ยถึงพี่รองของหลานเลย เขาคิดอะไรอยู่ทำไมปู่จะไม่รู้?” กษาปณ์พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
บุรินทร์รีบหันหลังกลับ เดินลงไปทันที
สถานการณ์เช่นนี้ หากเอ่ยถึงเรื่องของพิมมี่กับกษาปณ์ก็เหมือนเติมน้ำมันลงในกองเพลิง
คืนนั้น คณพศพานาราออกจากคฤหาสน์ปัญญาพนต์
ตอนออกมา เขาพูดกับคณพศอีกครั้งว่า “หลานรัก หากหลานจะปกป้องผู้หญิงคนนี้ ปู่ไม่เห็นด้วยที่จะให้หลานอยู่ด้วยกัน ครั้งนี้ปู่ต้องการให้บุรินทร์ได้ชดใช้การกระทำของตัวเอง”
คณพศขมวดคิ้ว “คุณปู่ครับ ปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เองดีกว่าครับ คุณปู่วางใจเถอะครับ ผมรู้ว่าควรทำอย่างไร คุณปู่ดูแลสุขภาพให้ดี อย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ คานี้รบกวนจิตใจของคุณปู่เลย”
คณพศเป็นแก้วตาดวงใจของกษาปณ์ เพียงแค่เอ่ยปากคุณปู่ก็ทำให้หมด แม้เขาจะไม่พอใจ แต่เห็นแก่คณพศที่ยอมกลับไปทำงาน ก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับนาราและครอบครัววรชัวลภัส เขาเชื่อมั่นในตัวหลานชายคนนี้ เขาต้องจัดการเรื่องนี้ได้แน่น หันกลับไปมองหน้าหญิงสาวที่ระมัดระวังตัวยิ่ง ขณะนั้นในใจไม่ได้นึกอะไรเลย
กลับถึงบ้านตอนสามทุ่ม นาราพาคณพศไปส่งที่ห้องนอน ตัวเองก็เตรียมจะกลับไปห้องนอนตัวเองเพื่ออาบน้ำแล้วนอน
“ไปไหน?” เธอเพิ่งจะเดินถึงประตู คณพศก็เรียกเธอไว้
“อาบน้ำแล้วนอน คุณเองก็เหนื่อยมากแล้ว เข้านอนแต่เช้าเถอะ”
นารามองศีรษะด้านหลังของชายหนุ่ม เขานั่งบนรถวีลแชร์ข้างเตียงนอน
“เธอเตรียมจะไปจากฉันอีกหรือ?” ผ่านเรื่องเมื่อคืนวานแล้ว เขานึกว่านับจากวันนั้นเธอจะไปอาบน้ำพร้อมเขาแล้วเข้านอน
นึกไม่ถึงว่าเธอกลับมาก็พร้อมจะไปจากเขา
นารารีบเดินเข้ามา “ต่อหน้าคุณปู่ ฉันขอบคุณ ตอนนี้กลับมาแล้ว ฉันก็จะกลับไปห้องนอนของตัวเอง”
“เธอแน่ใจนะว่าจะไม่นอนกับฉัน?” คณพศเข็นรถวีลแชร์กลับมามองหน้าเธอ
นาราตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องที่เขาบังคับเธอในคืนวันนั้น สองสามวันนี้ในคฤหาสน์ตระกูลปัญญาพนต์ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย
ทันใดนั้นเธอมองเขาด้วยสายตาที่โหดร้าย “คุณคณพศ แม้ว่าต่อหน้าคุณปู่ คุณจะช่วยฉันแก้ไขปัญหา แต่เรื่องในคืนนั้นที่คุณทำกับฉัน ฉันไม่มีวันยกโทษให้คุณ เพราะอะไรคุณถึงทำแบบนี้กับฉัน?”
ในดวงตาของเธอเต็มไปน้ำตาใสๆ คืนนั้นเธอร้องขอความเมตตา แต่เขากลับไม่ปล่อยเธอ หลังจากนั้นเขายังไม่ยอมรับว่าคนที่ทำในคืนนั้นคือเขา เพิ่งรู้เมื่อคืนวานว่าเขาคือครั้งแรกของเธอจากปากเขา
คณพศเข็นรถวีลแชร์ไปข้างๆ เธอ เขายกมือขึ้นจับแขนของเธอ เธอรีบถอยออกทันที
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เข้ามานี่” เขาอยากให้เธออยู่ในอ้อมกอดเขา เขาถึงยอมให้เธออธิบาย
“ไม่”
นาราเดินจากไปพร้อมน้ำตา
“ฉันให้เวลาเธอสามนาทีในการอธิบาย” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ก้าวเท้าออกไป
“ถ้าเธออยากให้บุรินทร์ต้องเสียเมืองธิตกลไป เธอก็เดินออกไปซะ” เสียงทุ้มต่ำแสดงถึงความเย็นชา หันรถวีลแชร์กลับเข้าไปในห้อง
นาราได้ยินคำพูดของเขา ถึงกับขาแข็งก้าวเท้าไม่ออก
เธอหันกลับมา สองมือกำจนแน่นเป็นกำปั้น รู้ว่าเขาเอาพ่อของเธอมาขู่เธอได้
เธอหลับตา ตอนที่รอเธอลืมตา ชายหนุ่มก็ถึงห้องอาบน้ำแล้ว
เธอกัดฟันเดินเข้าไป ดึงชายหนุ่มที่เตรียมจะถอดเสื้อผ้า “นอกจากคุณจะคุกคามฉันและทำให้ฉันโกรธ คุณยังจะทำอะไรได้อีก? คนทุเรศ”
เธออยากร้องไห้ แต่น้ำตากลับไหลเข้าไปข้างในความอดทนหมดสิ้นแล้ว