บทที่ 47 เธออยากได้ผู้ชายคนนั้นคืน
นารารีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดขออภัย “งั้นคุณทำงานเถอะค่ะ ฉันจะไปนอนแล้ว” เธอรู้สึกว่าทุกครั้งที่นั่งบนตักของเขาก็จะลืมทุกอย่าง
ผู้ชายคนนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้คนสับสน ถึงแม้ว่าเขาจะนั่งรถเข็น ตราบใดที่ไม่อารมณ์เสียก็สามารถทำให้คนหลงใหลได้ง่ายๆ
เธอหน้าแดง เข้าไปในห้องนอนและปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับชุดนอน
เมื่อคณพศจัดการเรื่องธุรกิจของเขา มันเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว และจู่ๆเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากกษาปณ์
“เจ้าสาม แกกับผู้หญิงคนนั้นมาที่บ้านตระกูลปัญญาพนต์เถอะ ในเมื่อแกต้องการผู้หญิงคนนั้น ปู่ก็ไม่อยากพูดอะไร แล้วแต่แก” เสียงของกษาปณ์ที่ผ่านโทรศัพท์มายังคงอ่อนโยน
คณพศกำโทรศัพท์มือถือแล้วพูดเสียงอ่อน “ขอบคุณคุณปู่ ผมกับภรรยาไปอยู่ที่เจหงส์ก็ได้ครับ มันอยู่ใกล้กับบริษัท ดึกขนาดนี้คุณปู่ยังไม่นอนอีก รีบไปนอนเถอะครับ ผมไม่เป็นไรหรอกครับคุณวางใจเถอะ”
กษาปณ์พยักหน้า วางสายโทรศัพท์แล้วไปนั่งตรงหน้าต่างบานยาว มองออกไปยังความมืดมิดยามค่ำคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าสาม ฉันมอบบริษัทให้แก เพื่อให้แกเอาชนะความยากลำบาก เมื่อสักวันหนึ่งสามารถลุกขึ้นยืนได้ ปู่ก็คงนอนตายตาหลับ
สามวันต่อมา คณพศพานาราไปอยู่ที่คฤหาสน์เจหงส์ นอกจากลุงบีมกับป้าอ้าย ที่เหลือยังอยู่บนเกาะ ดูแลเกาะฟ้าและเพส
คฤหาสน์เจหงส์ของคณพศเป็นเด่นภูมิที่ช่วยซื้อให้เขาเมื่อสามปีก่อน มันได้รับการตกแต่งอย่างดี เด่นภูมิกับยชน์ซื้อวิลล่านี้เพื่อให้คณพศมาอยู่ที่เมืองธิตกล และพวกเขายังดูแลอย่างดีด้วย
แต่คณพศยึดมั่นที่จะอยู่บนเกาะ ไม่ได้วางแผนที่จะย้ายมาที่นี่ จนครั้งนี้ในที่สุดเขาก็มาอยู่เจหงส์ มันอยู่ใกล้กับบริษัท เดินทางโดยรถสามารถถึงได้ในเวลาห้านาที
ลุงบีมขับรถเข้าไปในเจหงส์ พนักงานรักษาความปลอดภัยทำการคำนับทันที เมื่อประตูเปิดพนักงานรักษาความปลอดภัยก็รีบเข้ามา “คุณชายสาม ยินดีต้อนรับสู่เจหงส์ครับ”
คณพศพยักหน้า รถหยุดลงช้าๆนอกวิลล่า
คฤหาสน์มีขนาดประมาณสี่หรือห้าร้อยเมตร มีสองชั้น มีสนามหน้าบ้านขนาดใหญ่ที่มีรถยนต์หรูจอดอยู่สองคัน
นาราเปิดประตูรถ นำรถเข็นมาและช่วยพยุงคณพศลงนั่ง ลุงบีมหยิบกระเป๋าเดินทางแล้วผลักเปิดประตูบ้าน
ป้าอ้ายเดินตามหลัง นารามองภาพนี้แล้วรู้สึกเหมือนลูกกับผู้ปกครอง
เธอยิ้มกว้าง คณพศจับมือเธอทันที “คุณภรรยายิ้มอะไร เธอชอบที่นี่เหรอ”
นาราเข็นเขาตามลุงบีมเข้าประตู “ฉันยิ้มเพราะมีความรู้สึกว่าเหมือนลูกกับผู้ปกครองค่ะ”
คณพศฟังคำพูดของเธอใบหน้าก็หมองลง ไหนลูกของเขา ไหนผู้ปกครองเขา สำหรับเขาภรรยาคนนี้ดีที่สุด
มองดวงตาและคิ้วของเธอที่ยกยิ้มจนโค้งลง ยกมือขึ้นจับคางของเธอ “ฉันมีแค่คุณภรรยาเท่านั้น ส่วนลูก ต้องรอจนกว่าเธอจะให้กำเนิด”
นารากลั้นยิ้ม เธอเข็นเขาไปที่โซฟา หันมองไปที่เฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
การตกแต่งภายในนั้นหรูหรา ทุกที่ปรากฏความอบอุ่น ไม่เหมือนเกาะฟ้าที่มืดครึ้ม ให้ความรู้สึกของการกดดัน
โซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เหมือนเตียง ตั้งอยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น มีลิฟต์และบันไดขึ้นไปชั้นบน
เพราะว่าคณพศนั่งรถเข็น ลิฟต์จะถูกติดตั้งในทุกๆที่ที่เขาอาศัย ห้องครัวก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่เอี่ยม
คณพศนั่งบนโซฟา มองหญิงสาวมองดูทุกอย่างในบ้านเงียบๆ แล้วเขาก็ตบมือลงที่นั่งข้างเขา
“มา มานั่งนี่”
นาราเดินเข้าไปหาเขา
“คุณภรรยา หลังจากนี้ที่นี่คือบ้านของเรา ชอบไหม”
“ชอบค่ะ” ตราบใดที่ยังมีที่พัก ไม่มีอะไรที่เธอไม่ชอบ
“ดี ชอบก็ดี ไม่กี่วันนี้ฉันจะจัดการเรื่องของบริษัทแล้วส่งเธอไปเรียน”
“……..” นาราตกใจมาก เร็วขนาดนี้เลยเหรอ!
“ทำไม ไม่อยากไปเรียนเหรอ” เขาโน้มตัวลงพูดกับเธอ
“อยากค่ะ…..” เธอจะไม่อยากได้ยังไง แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมให้เธอไปเรียนจริงๆ
“อืม ไปเรียนให้จบ เมื่อเธอเรียนจบแล้วอยากจะไปเรียนอะไรต่อก็เรียน ผู้หญิงของฉัน อยากทำอะไรก็ทำได้ตามที่ต้องการ แค่บอกฉันมา” ดวงตาเข้มของเขามองนาราอย่างตั้งใจ
ในเวลานี้ แสงแดดส่องผ่านประตูมายังใบหน้าเขา นารามองใบหน้าที่สวยงามของเขาและฟังคำพูดของเขา ‘ผู้หญิงของฉัน อยากทำอะไรก็ทำได้ตามที่ต้องการ’
เธอสติหลุดไปชั่วขณะ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีสำหรับเขา แต่ไม่ใช่ภรรยาของเขา ผู้ชายคนนี้ให้ความอ่อนโยนและให้อาการอกหักมาในเวลาเดียวกัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงสดใสเหนือศีรษะของเขา
นารายืนขึ้นและกดไหล่ของเขาเบาๆ “ฉันจะขึ้นไปดูห้องนอนและเก็บของนะคะ”
“ได้ ไปเถอะ” คณพศพยักหน้า
บนชั้นสองมีสามห้อง ห้องนอนใหญ่หนึ่งห้องห้องนอนเล็กหนึ่งห้องและห้องหนังสือหนึ่งห้อง นอกห้องหนังสือเห็นหน้าต่างบานยาว มองลงไปเป็นสระว่ายน้ำ
น้ำสีเขียวเต็มสระ กระเบื้องสีขาวที่ด้านล่างของสระว่ายน้ำสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ห้องนอนเป็นสีอบอุ่น เตียงเป็นผ้าห่มสีฟ้า นารานำเสื้อผ้าในกระเป๋าออกใส่ตู้เสื้อผ้า ใส่จัดเสื้อผ้าของเธอในห้องนอนอีกห้อง จากนั้นก็ลงไปข้างล่าง
เห็นคณพศกำลังคุยโทรศัพท์ เขาขมวดคิ้วนิ่งฟัง ใบหน้าเริ่มเย็นชาลงทุกที
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน คณพศก็สั่งรถให้ไปบริษัททันที
อีกคฤหาสน์หนึ่งในเมืองธิตกล วิษณุส์เตะโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ดัง ‘ปัง!’ สิ่งต่างๆที่อยู่บนโต๊ะตกกระจัดกระจายลงกับพื้น
มือของเขาถูกจับแน่น หนึ่งหมัดชกกำแพงด้านข้าง เลือดไหลออกจากหลังมือ สีหน้าเย็นชาของเขาเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่า
“คณพศ ฉันจะไม่ปล่อยให้แกประสบความสำเร็จ ที่นั่งตำแหน่งนั้นเป็นของฉัน ฉันจะคอยดูว่าแกจะนั่งได้กี่วัน!”
คนใช้แต่ละคนต่างหวาดกลัวแอบไปหลบอยู่ตามมุมไม่กล้าออกมา
ประตูห้องนั่งเล่นถูกเปิดออก พิมมี่เดินเข้าไป เห็นความวุ่นวายยุ่งเหยิง เธอค่อยๆเดินเข้าไป “วิษณุส์ คุณกำลังทำอะไรคะ”
เธอรู้มาสักพักแล้วว่าตำแหน่งประธานถูกคณพศฉกเอาไปในตอนที่เธอเห็นรูปของคณพศตามที่ต่างๆในเมืองธิตกล เธอตกใจจนพูดไม่ออก
ผู้ชายในรูปนั้นมีเสน่ห์มากกว่าวิษณุส์ ทั้งๆที่เขานั่งรถเข็นมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดึงดูดของเขาเลย และความหล่อเหลาที่กลบใบหน้าของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เผยให้เห็นความเลือดเย็นบางเบา
ภาพทุกภาพของเขาในรถเข็นนั้นน่าดึงดูดมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เขาเป็นประธานของบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ เป็นผู้ควบคุมความเป็นไปของบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ทั้งหมด และยิ่งเป็นหัวใจและเลือดเนื้อของกษาปณ์ด้วย
เธอเต้นเร่าๆอย่างบ้าคลั่งเมื่อเธอมองไปที่รูปของคณพศ ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ ถ้าวันหนึ่งเขาสามารถยืนขึ้นได้ ก็ช่างเป็นผู้ชายที่แสนมีเสน่ห์มากไปเสียทุกอย่าง
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถยืนขึ้นได้และต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต แต่เขาก็มีทั้งอำนาจและเงินทอง แต่งงานกับเขาก็น่าจะมีความสุข
จู่ๆเธอก็อยากได้ผู้ชายคนนั้นคืน แค่คิดว่าเธอกับผู้ชายคนนี้เป็นสามีภรรยากัน มุมปากของเธอก็ยกยิ้มเยาะทันที
ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือนปีศาจ ตอนนี้พิมมี่รู้สึกหลงใหลขึ้นมาแล้ว!
วิษณุส์เห็นพิมมี่เข้ามาก็เข้าจับมือเธอ “พิมมี่ คุณวางใจ ผมจะไม่ปล่อยให้ไอ้คนพิการนั่นนั่งที่นั่งนั้นนานเกินไป ที่นั่งนั่นเป็นของผม!”