บทที่113 หอนี้ฉันมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วพวกเธอกลับไม่รู้จักฉัน
เพียงแค่เมื่อบุรินทร์และเขมินท์เห็นพิมมี่ที่เมื่อสองวันก่อนยังดูไม่มีความสุข อยู่ๆก็แต่งตัวสดใสเพื่อจะออกจากบ้าน ทั้งสองคนที่เป็นห่วงอย่างมากเมื่อตอนแรก ต่างมองหน้ากัน
เขมินท์ลุกขึ้น เรียกหาพิมมี่ที่เดินไปถึงประตูแล้ว พูด“พิมมี่ ลูกกำลังจะไปไหน? ให้พ่อไปส่งเถอะ!”
ครั้งที่แล้ว พิมมี่ถูกวิษณุส์รังแกมา
เธออยากจะไปคุยให้รู้เรื่องสักหน่อย แต่พิมมี่หักห้ามเธอไว้พร้อมบอกว่า ความแค้นนี้จะชำระด้วยตัวเอง
แต่สองสามวันต่อมา เธอคิดถึงคำพูดของพิมมี่ ก็เริ่มรู้สึกประหม่าใจ
ต้องรู้ว่าถึงแม้ว่าวันนี้วิษณุส์ จะไม่ใช่ประธานของบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคุณชายที่สองของตระกูลปัญญาพนต์และก็เป็นรองประธานตระกูลปัญญาพนต์เหมือนกัน
สถานะตำแหน่งของเขาในเมืองนี้ และไม่ใช่คนที่คนทั่วไปจะยั่วยุปลุกปั่นได้ ต่อให้พวกเขาทั้งตระกูลวรชัยลภัสอยากต้องการที่จะจัดการวิษณุส์ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
บวกเพิ่มกับลูกสาวของเขา พวกเขาเองก็เข้าใจ ที่อยู่ดีๆเธอบอกออกปากว่าจะจัดการวิษณุส์ด้วยตัวเองแบบนี้ ก็เกรงว่าจะมีเรื่องลับในใจเรื่องอื่นอีก
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ให้คนที่บริษัทไปส่งหนูก็พอ ”สำหรับความห่วงใยของเขมินท์ พิมมี่รู้สึกรำคาญอย่างมาก
ช่วงเวลาที่เธอเร่งรีบตอนนี้ ไม่มีเวลามากมายที่จะมาอธิบายกับคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย
“แต่……”ต่อให้เขมินท์ดูออก ว่าพิมมี่อารมณ์ไม่ดีแล้ว
แต่ถึงยังไงเธอก็ยังเป็นห่วง พิมมี่ออกไปแบบนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร
แต่ประโยคนี้เธอยังพูดไม่ทันจบ พิมมี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เปิดประตูออก
หลังจากนั้นก็รำคาญอย่างมาก ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเขมินท์“โอ้ยแม่ แม่หยุดกวนหนูได้แล้วโอเคไหม?หนูไม่ใช่เด็กเล็กแล้วนะ หนูรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ ”
“ขอร้องล่ะเลิกเป็นห่วงหนูได้แล้ว ให้หนูเป็นอิสระหน่อย!”
พูดจบ พิมมี่ที่รู้สึกรีบร้อนอย่างมาก ก็ออกจากประตูไป
เพราะความโกรธ เธอจึงปิดประตูกระแทกอย่างแรง
ตามด้วยเสียงดังปั้ง เขมินท์ได้แต่เห็นประตูด้านหน้าตัวเองที่ถูกปิดลง และลูกสาวของเธอที่โกรธแล้วเดินดิ่งออกไป
สิ่งนี้ทำให้เขมินท์มีแต่ความตะลึงตกใจ คำพูดจากปากออกมาด้วยความเสียใจ“เด็กคนนี้ ไม่รู้ไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้อะไรมาจากไหน ”
“ไม่ใช่ถูกรังแกอีกแล้วหรอก ถึงได้หมกอยู่บ้านนานขนาดนี้ รู้จักเก่งกับคนในบ้าน ไม่รู้จริงๆว่าตรงไหนเหมือนฉัน ”
กลับกันที่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นพิมมี่โมโหโวยวายอย่างนี้ บุรินทร์ไม่ชอบอย่างมาก
เขาเองรู้สึกนึกถึง เมื่อตอนที่นาราอยู่บ้านอย่างรู้เรื่องและเชื่อฟัง
นึกถึงวันนั้นที่เขาขอร้องให้ช่วยพิมมี่ ตอนที่ไปที่เจหงส์ คำพูดของนาราทุกคำ บุรินทร์รู้สึก เจ็บปวดแน่นที่ใจ
เขารู้ว่าคำที่พูดไปวันนั้นตัวเองได้พ่นไฟออกไป ทำให้นาราเสียใจ
ดูแล้วเขาคงต้องหาโอกาสเหมาะสักครั้ง ไปที่เจหงส์เพื่อขอโทษเด็กคนนี้
ถึงยังไงเขาก็เลี้ยงเธอมาจนโต พ่อลูกไม่แค้นข้ามวันกันหรอก ตามนิสัยของนาราเอง ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อย
แต่เมื่อเห็นพิมมี่ปิดประตูกระแทกแล้วเดินออกไปแบบ บุรินทร์กลับนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ท่าทางเหมือนไม่เป็นห่วงเป็นใย
เขมินท์รู้สึกโกรธ อดไม่ได้จึงด่าออกมา“บุรินทร์ ลูกสาววิ่งออกไปแล้วน่ะเห็นไหม?เธอจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า คุณจะไม่สนใจเลยสักนิดเหรอ?”
“หรือว่าในใจของคุณ สนใจแต่ลูกสาวนอกสมรสคนนั้นใช่ไหม?นี่คุณเห็นหัวฉันสองแม่ลูกไหมเนี่ย?”
เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว หลังจากที่บุรินทร์นำนารากลับมาที่ตระกูลวรชัยลภัส เขมินท์ก็เปลี่ยนไปเป็นคนตรงหน้า
ชินแล้วกับการที่เธอไร้สาระเหตุผลอย่างนี้ ไม่ว่าเขมินท์จะก่อความวุ่นวายยังไง
บุรินทร์ที่เบื่อเซ็งอยู่ในใจ ก็ขี้เกียจจะทะเลาะกับเธอเหมือนกัน เพียงแค่มองไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป
ทำให้เขมินท์ที่โกรธจนสุดขีด เหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ห้องโถง
ส่วนพิมมี่ที่ออกจากตระกูลวรชัยลภัสไปแล้ว ก็ให้คนขับรถของตระกูลวรชัยลภัส
ไปที่เขตที่อยู่ที่วิษณุส์อยู่ คอนโดหรู
เพราะเมื่อก่อนพิมมี่อยู่ที่คอนโดหรูนี้เป็นประจำ อาศัยอยู่ร่วมกันกับวิษณุส์
ดังนั้นเธอกับยามรักษาความปลอดภัยที่หน้าประตู พิมมี่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปในคอนโดอย่างสบายๆ
ตอนที่เธอจะเคาะประตูใหญ่ของคอนโดวิษณุส์นั้น คนรับใช้สองคนก็ปรากฏตัวขึ้นมาพอดีจึงทำให้เธอตกใจ
หลังจากที่คณพศขึ้นแท่นกลายเป็นประธานบริษัท วิษณุส์ก็จะเมาอาละวาดอยู่ที่บ้านทุกวัน
และคนที่เขากล่นด่าอยู่ทุกวันนอกจากคณพศแล้ว ก็คือคนที่เมื่อก่อนที่พวกเขาคิดว่าจะมาเป็นสะใภ้สองของตระกูลปัญญาพนต์คนนี้นี่แหละ
ดังนั้นเมื่อตอนนี้เห็นว่า คนที่ปากกำลังด่าอยู่นั้นปรากฏตัวออกมาพอดี พวกเขาก็ต้องแปลกใจอย่างแน่นอน
“ทำไม พวกเธอไม่รู้จักฉันแล้วหรือไง?”ถูกคนรับใช้มองแบบนี้ ก็เรียกอารมณ์โมโหของพิมมี่ ก็พูดดังลั่นอย่างเสียอารมณ์
เมื่อก่อนตอนที่เธออยู่กับวิษณุส์ คนรับใช้รากหญ้าพวกเมื่อก่อนปฏิบัติกับเธออย่างดีเหมาะสม
วันนี้เธอไม่ได้มานาน คนใช้พวกนี้ก็พลิกหน้าฟ้าแล้วเหรอ?
เมื่อได้ยินพิมมี่ต่อว่า คนรับใช้ที่เกือบจะนิ่งอึ้งไป ก็ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
รีบก้มหน้าลง แล้วขอโทษเธอ พูด“ขอโทษค่ะคุณพิมมี่ ”
ไม่ว่าพิมมี่กับวิษณุส์จะทะเลาะกันรุนแรงยังไง แต่ถึงยังไงเธอก็เคยเป็นผู้หญิงของวิษณุส์
ใช่ว่าคนรับใช้พวกนี้ จะเดินผ่านหน้าตาเฉย
แต่เห็นได้ว่าคนรับใช้พวกนี้ ก็รู้จักที่จะขอโทษเธอ
พิมมี่จึงเหลือบมองคนรับใช้พวกนี้อย่างหยิ่งยโส หลังจากนั้นจึงพูดต่อ“วิษณุส์ล่ะ?ฉันต้องการพบเขา!”
เวลาที่คณพศให้เธอ มีเพียงแค่นิดเดียว
เธอเสียเวลามากไม่ได้ รีบจัดการให้ไวจะเป็นการดีกว่า
“นี่……”ไม่คิดเลยว่าพิมมี่ที่จู่ๆก็มา แล้วบอกว่าต้องการพบวิษณุส์
คนใช้คนนั้นก็รู้สึกกลุ้มใจ ก้มหน้าลง แล้วพูด“ขอโทษค่ะคุณพิมมี่ คุณคงต้องรอสักครู่นะคะ พวกเราต้องไปรายงานคุณชายสองก่อนค่ะ ”
ก่อนหน้านี้วิษณุส์เคยพูดไว้อย่างชัดเจน ว่าหากพิมมี่มาอีก ให้ไล่ออกไปได้เลย
เห็นพิมมี่ประจัญบานมาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าไล่เธอออกไป
จึงต้องการไปถาม ความต้องการของวิษณุส์
“พวกเธอจะไปถาม ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?คอนโดนี้ฉันมาตั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว พวกเธอหลับหูหลับตา ไม่รู้จักว่าฉันเป็นใครแล้วเหรอ?”คิดไม่ถึงว่าเธอแค่มาเจอวิษณุส์ จะถูกคนรับใช้มาขวางที่หน้าประตู
เมื่อครู่ยังคิดว่าคนรับใช้พวกนี้ มีสายตากระแทกเข้าสายตาของพิมมี่ สีหน้าก็เคร่งขรึมลงทันที
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวิษณุส์ เปลี่ยนแปลกไปละก็
เกรงว่าจะตบหน้าคนใช้พวกนี้ แล้วไปตบที่หน้าวิษณุส์
เธอกางมือ ตบสาดเข้าหน้าคนใช้ตรงหน้าฉาดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว กล้าขวางทางพิมมี่อย่างเธอก็ตายซะ!
และกับท่าทางที่ของพิมมี่ที่ทำให้คนกลัวนี้ คนใช้คนนั้นก็ไม่กล้ามองเหมือนกัน
เพียงแต่ก้มหน้า พูดน้ำเสียงสั่น“ขอโทษค่ะคุณพิมมี่ นี่เป็นความต้องการของคุณชาย พวกเราเองก็ต้องทำตาม ”