The king of War – บทที่ 39 มารยาทในการไปมาหาสู่

บทที่ 39 มารยาทในการไปมาหาสู่

บทที่ 39 มารยาทในการไปมาหาสู่

การกระทำของฉินซี ทำให้บรรดาผู้ชมที่อยู่โดยรอบตกใจไปตามๆ กัน

หวังเจี้ยนทั้งโมโหทั้งอับอาย เขาสารภาพรักต่อหน้าคนมากมาย ถูกปฏิเสธก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ยังถูกไอ้พวกยาจกที่ถือดอกไม้ป่าแย่งไปนี่สิ

หลังจากมองตามเงาแผ่นหลังของหยางเฉินกับฉินซีที่เดินออกไปด้วยกันแล้ว หวังเจี้ยนก็ขว้างดอกกุหลาบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ตะโกนออกมาทั้งดวงตาแดงก่ำว่า “หยางเฉิน ฉันไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่!”

ขณะที่หยางเฉินกำลังขับรถ ฉินซีซึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับก็ยังถือดอกไม้ป่าดอกนั้นเอาไว้ในมือ แววตาแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เป็นอะไรไปเหรอครับ” ทันใดนั้นหยางเฉินก็กล่าวถามขึ้นมา

ตอนนี้เองฉินซีจึงดึงสติกลับมาได้ เธอส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พวกเราไปรับเสี้ยวเสี้ยวกันเถอะ!”

“ครับ!” หยางเฉินก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี

ทว่ากลับยังคงเป็นกังวลเล็กน้อย เห็นๆ อยู่ว่าฉินซีมีเรื่องในใจ แต่เธอก็ยังไม่ยินยอมที่จะพูดออกมา

ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงเรียนอนุบาลหลานเทียนแล้ว

ตอนที่เสี้ยวเสี้ยวเห็นว่าคุณพ่อกับคุณแม่มารับเธอด้วยกันก็ดีใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตัวจะยังคงอยู่ภายในโรงเรียน ทว่าเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็นำออกมาก่อนแล้ว “คุณพ่อคะ! คุณแม่คะ! หนูอยู่นี่!”

“พวกเธอเห็นหรือยัง นั่นคือคุณพ่อกับคุณแม่ของฉันยังไงล่ะ พวกเขามารับฉันแล้ว!”

ขณะที่กำลังส่งเสียงทักทายคุณพ่อกับคุณแม่ เด็กน้อยก็โอ้อวดเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆด้วยความตื่นเต้นดีใจไปพลาง

ตอนนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนอนุบาลเพิ่งเลิกและกำลังจะให้ผู้ปกครองมารับเด็กๆ กลับพอดี บรรดาคุณครูกำลังขานชื่อเด็กๆ จากนั้นก็ให้ผู้ปกครองมาพาตัวไป

หยางเฉินที่กำลังต่ออยู่ในแถวผู้ปกครองเห็นลูกสาวของตนเองมีความสุขขนาดนี้ ในหัวใจก็ปรากฏความรู้สึกผิดขึ้นมาหลายส่วน

ตอนที่คุณครูกำลังเรียกชื่อของเสี้ยวเสี้ยว หยางเฉินยังไม่ทันจะได้เดินไปหา เด็กหญิงก็ตะโกนเรียกคุณพ่ออย่างดีใจแล้ววิ่งตรงมาหาเขาทันที

หยางเฉินอุ้มเสี้ยวเสี้ยวขึ้นมาแล้วหมุนตัวไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็พูดทั้งรอยยิ้มว่า “คิดถึงคุณพ่อไหมคะ”

“คิดถึงค่ะ!” เด็กหญิงกอดคอผู้เป็นพ่อเอาไว้ จากนั้นก็หัวเราะพลางพูดออกมา

แต่คล้ายเธอจะสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของผู้เป็นแม่ผิดปกติไป จึงรีบกล่าวเสริมทันที “คิดถึงคุณพ่อแล้วก็คิดถึงคุณแม่ด้วยค่ะ”

ไม่รู้ว่าฉินซีกำลังคิดอะไรอยู่ สติถึงได้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้ยินคำพูดของเสี้ยวเสี้ยวเลยสักนิดเดียว

เด็กหญิงมองผู้เป็นพ่ออย่างน้อยใจ

“เสี่ยวซี เสี้ยวเสี้ยวบอกว่าคิดถึงคุณน่ะ” หยางเฉินกล่าวเตือนฉินซีอีกครั้ง

ฉินซีจึงสามารถดึงสติกลับมาได้ แล้วรีบยื่นมือไปรับลูกสาวของตัวเองมาทันที พยายามบังคับตัวเองให้ฝืนยิ้ม “คุณแม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกันค่ะ!”

“คุณแม่คะ วันนี้คุณครูชมหนูด้วย บอกว่าภาพครอบครัวสุขสันต์ที่หนูวาดดีมากเลย”

“เสี้ยวเสี้ยวเก่งมาก!”

“คุณพ่อคะ มานี่เร็ว จับมือคุณแม่เอาไว้สิคะ”

ทั้งสามคนพูดคุยกันพลางออกไปจากโรงเรียนอนุบาล

ทว่าอารมณ์ของฉินซีก็ยังคงผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เธอเผลอใจลอยไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

“เสี้ยวเสี้ยวคะ ไว้คืนนี้คุณพ่อจะวิดีโอคอลมาหาหนูนะ!” เมื่อถึงเวลาต้องแยกจาก สีหน้าของเสี้ยวเสี้ยวก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ หยางเฉินจึงต้องรีบบอกว่าจะวิดีโอคอลมา เด็กหญิงถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาสักหน่อย

“หยางเฉินคะ คืนนี้ฉันมีธุระน่ะ อาจจะกลับบ้านดึก คงไม่ได้วิดีโอคอลกันแล้ว” ฉินซีรีบพูดออกมา

หยางเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าดึกขนาดนั้นแล้วฉินซียังจะไปไหนอีก

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม” หยางเฉินกล่าวถาม

ฉินซีส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!”

“โอเคครับ ถ้าต้องการอะไรจำไว้ว่าสามารถติดต่อผมได้ทันทีนะ” หยางเฉินพูดออกมา

หลังจากแยกกับฉินซีแล้ว หยางเฉินก็กลับไปบนท้องถนน จากนั้นก็กดโทรศัพท์ “ตรวจสอบมาว่าวันนี้ฉินซีพบเจอเรื่องยุ่งยากอะไรในบริษัทมาหรือเปล่า”

“ครับท่านประธานกรรมการ!”

ทันทีที่หยางเฉินเพิ่งจะถึงบ้าน ลั่วปิงก็โทรศัพท์เข้ามา

หลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัทแล้ว หยางเฉินก็โมโหอย่างมาก

ตั้งแต่ที่เขากลับมาเจียงโจว มีหลายต่อหลายครั้งที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ และทุกครั้งจะต้องเป็นเพราะฉินซีกับลูกสาวของเขา

“ยายโง่คนนี้นี่ ไม่รู้จริงๆ หรือว่าทุกอย่างของฉันล้วนเป็นของเธอ ทำไมถึงยังปล่อยให้คนอื่นรังแกอยู่ได้” หยางเฉินรู้สึกโมโหไม่น้อย

พูดจบเขาก็หันหัวรถกลับ

ทันทีที่การซานเหอกรุ๊ปถูกหยางเฉินเทคโอเวอร์มา เขาก็ทำการกำจัดคนของตระกูลฉินออกไปจนหมด ทว่าเพื่อการเติบโตของบริษัทแล้ว จึงไม่อาจไล่คนทั้งหมดออกไปได้ ยังคงเหลือพนักงานเอาไว้อีกเป็นจำนวนมาก

ตอนที่ฉินซีเป็นประธานกรรมการบริหาร เธอเข้มงวดกับบริษัทเป็นอย่างมาก ล่วงเกินคนเอาไว้ไม่น้อย วันนี้เมื่อยังยืนกรานจะเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานระดับล่าง เพียงคิดก็รู้ได้ทันทีเลยว่าจะต้องพบกับการขัดแข้งขัดขามากมายแน่ๆ

วันนี้หัวหน้าตัวเล็กๆของแผนกหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลฉินซีโดยตรง ได้ส่งมอบภาระหน้าที่อันหนักอึ้งแก่เธอที่เดิมไม่ใช่ผู้ซึ่งควรทำให้สำเร็จเป็นคนจัดการ

และงานนั้นก็คือการให้เธอไปเจรจาความร่วมมือกับประธานของต้าเย่กรุ๊ปอย่างสงโป๋เหริน

บังเอิญว่าต้าเย่กรุ๊ปเป็นกิจการของตระกูลสง และสงโป๋เหรินก็ยังเป็นพ่อของสงเหว่ยพอดี

สถานที่ที่ฉินซีต้องออกไปเจรจาก็คือบริษัทการบันเทิงโป๋เหริน ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลสงเช่นกัน

หยางเฉินไม่รู้ว่าในนั้นจะมีปัจจัยของตัวเองอยู่หรือเปล่า แต่ที่แน่ชัดก็คือ เขาไม่มีทางจะร่วมมือกับตระกูลสง

ณ บริษัทการบันเทิงโป๋เหริน ฉินซีที่แต่งกายด้วยชุดทำงานก้าวลงมาจากรถแท็กซี่ จากนั้นก็เหยียบรองเท้าส้นสูงเดินตรงเข้าไปข้างใน

ฉินซีไม่เคยเข้าคลับไนท์มาก่อน ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องการเจรจาความร่วมมือ กลางค่ำกลางคืนเธอไม่มีทางมาที่แบบนี้คนเดียวแน่

“สวัสดีค่ะ ฉันคือฉินซีจากซานเหอกรุ๊ป ประธานสงของพวกคุณเชิญให้ฉันมาเจรจาธุรกิจที่นี่” หลังจากฉินซีเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ก็ตรงไปสอบถามกับพนักงานประชาสัมพันธ์สาวสวยทันที

“ประธานสงรอคุณอยู่แล้วค่ะ ฉันจะนำทางไปนะคะ” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์คนนั้นส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมืออาชีพ

ตอนแรกฉินซีคิดว่าบริษัทการบันเทิงโป๋เหรินแห่งนี้จะมีห้องทำงาน ใครจะไปรู้ว่ากลับถูกพามายังห้องส่วนตัวที่ชั้นบนสุด

“ประธานสงคะ คุณฉินมาแล้วค่ะ” พนักงานประชาสัมพันธ์เคาะประตู

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานยาวจรดพื้น

ในตอนนี้เองเขาก็หันกลับมา สงโป๋เหรินสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสูทตะวันตก รูปร่างค่อนข้างท้วม หน้าท้องดันเสื้อเชิ้ตออกมา แววตาแฝงไปด้วยความชั่วร้ายหลายส่วน

สงโป๋เหรินเคยได้ยินเพียงชื่อของฉินซี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า เขาแอบรู้สึกประหลาดใจ สมแล้วที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเจียงโจว รูปร่างหน้าตาล่มเมืองอย่างที่คิดไว้จริงๆ

“คุณฉินงามล่มเมืองอย่างที่คนเขาร่ำลือกันจริงๆ ” สงโป๋เหรินเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อน

ฉินซียกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของสงโป๋เหริน “ประธานสงชมเกินไปแล้ว”

สงโป๋เหรินไม่ได้ปล่อยมือ ทั้งยังคงจ้องมองฉินซีพลางยิ้มตาหยี “ที่ผมพูดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด สาวงามแบบคุณฉินนี้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบ”

คำพูดนี้ค่อนข้างเปิดเผยมากเกินไปแล้ว ฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะออกแรงส่วนหนึ่งดึงมือของตัวเองกลับมา

เธอรู้สึกได้แล้วว่าการร่วมมือครั้งนี้คงไม่ง่ายแน่

ถ้าไม่ใช่เพื่อซานเหอกรุ๊ป จากการกระทำเมื่อกี้นี้ของสงโป๋เหรินนั้น เธอคงหมุนตัวออกไปนานแล้ว

“ประธานสงคะ พวกเรามาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อนดีกว่า ฉันรู้สึกว่าซานเหอกรุ๊ปในปัจจุบันมีแนวโน้มการพัฒนาที่ดีเยี่ยมทีเดียว เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเองก็ยังเป็นฝ่ายที่กระตือรือร้นมาขอความร่วมมือด้วย ซานเหอกรุ๊ปในอนาคตจะต้องมีเส้นทางที่สดใสเป็นอย่างมาก”

ฉินซียอดเยี่ยมมาก เธอพูดถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายผู้ร่วมมืออย่างซานเหอกรุ๊ปออกมาก่อน จากนั้นก็คิดจะเตือนสงโป๋เหรินว่า ถ้าหากพลาดโอกาสร่วมมือครั้งนี้ไป แล้วอยากจะร่วมมือกันใหม่ เกรงว่าคงยากมาก

แต่เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วสงโป๋เหรินไม่ได้คิดจะร่วมมือกับซานเหอกรุ๊ปเลยสักนิด เขาคิดเพียงแต่จะแก้แค้นเท่านั้น

“ความหมายของคุณฉินก็คือ การร่วมมือกับซานเหอกรุ๊ป ถือเป็นเกียรติของพวกเราสินะ” สงโป๋เหรินพูดพลางยิ้มตาหยี

ฉินซีไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของสงโป๋เหรินหมายถึงอะไรกันแน่ เธอจึงไม่ได้ตอบรับ และเฝ้ารอประโยคถัดไปของเขา

สงโป๋เหรินหยิบไวน์หรูสองแก้วบนโต๊ะชาขึ้นมา จากนั้นก็ส่งแก้วหนึ่งให้ฉินซี เธอกำลังคิดที่จะปฏิเสธ แต่สงโป๋เหรินกลับพูดว่า “ในเมื่อคุณฉินพูดขนาดนี้แล้ว หากผมยังคงปฏิเสธการร่วมมืออีก นั่นก็แปลว่าไม่รู้ผิดชอบชั่วดีแล้ว ให้ผมแสดงความเคารพคุณสักหน่อย อวยพรล่วงหน้าให้การร่วมมือของพวกเราประสบแต่ความสุข”

ฉินซีคิดไม่ถึงเลยว่าการเจรจาความร่วมมือจะสำเร็จได้อย่างราบรื่นขนาดนี้ จึงรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป

ในตอนนั้นเองเธอจึงผ่อนคลายความระมัดระวังลง จากนั้นก็รับแก้วทรงสูงนั้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณประธานสงแล้ว”

หลังจากจิบไปเล็กน้อยก็วางแก้วลง

หลังจากประธานสงวางแก้วลงแล้วเขาก็เอนกายไปข้างหลัง ปรับท่าทางสบายๆ “ได้ยินมาว่าสามีของคุณฉินคือหยางเฉินสินะครับ”

ฉินซีตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้ถามเรื่องของหยางเฉินออกมา แต่เธอก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วถามต่อว่า “ประธานสงรู้จักสามีของฉันด้วยเหรอคะ”

สงโป๋เหรินยิ้ม “แน่นอนว่าต้องรู้จักอยู่แล้ว อีกทั้งความสัมพันธ์ก็ไม่ใช่แค่ผิวเผินด้วย!”

ตอนที่ฉินยีเกือบถูกสงเหว่ยทำให้อับอายอยู่ที่นี่วันนั้น ฉินซีก็ไม่ได้รู้จักชื่อของสงเหว่ย เธอย่อมไม่รู้แน่นอนว่าสองคนนี้เป็นพ่อลูกกัน

“ไม่ทราบว่ารู้จักกันได้ยังไงหรอคะ” เมื่อพูดถึงหยางเฉิน ฉินซีก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

สงโป๋เหรินเผยรอยยิ้มประหลาดที่มุมปาก “ไม่รู้ว่าคุณฉินเคยได้ยินข่าวของแมนชั่นอีเห้าเมื่อหลายวันก่อนนี้หรือเปล่า”

ฉินซีรู้สึกสับสนเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอย่อมรู้เรื่องนี้ ข่าวฉินเฟยมีความสัมพันธ์กับชนรุ่นหลังของตระกูลสง

ตระกูลสง!

สงโป๋เหริน!

ทันใดนั้นในห้วงความคิดของฉินซีก็สามารถนำตระกูลสงกับสงโป๋เหรินมาเชื่อมโยงกันได้อย่างรวดเร็ว แล้วคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในแมนชั่นอีเห้าวันนั้น ดูเหมือนว่าเธอพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว

วันนี้ตอนหัวหน้ามอบหมายงานมาให้เธอ เธอคิดเพียงว่าทำเพื่อเจรจาความร่วมมือระหว่างซานเหอกรุ๊ปกับต้าเย่กรุ๊ป แต่กลับไม่เคยรับรู้ถึงความสัมพันธ์เบื้องหลังของต้าเย่กรุ๊ป

ตอนนี้จึงตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ

“ดูเหมือนว่าคุณฉินเองก็จะรู้เรื่องนั้นดี ที่สามีของคุณทำให้ลูกชายไม่ได้เรื่องของผมกลายเป็นตัวตลกของทั้งเจียงโจว”

ไม่รอให้ฉินซีได้ตอบกลับ สงโป๋เหรินก็พูดออกมาเอง ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเคย เรากลับไม่ได้ดูโกรธเลยสักนิด จากนั้นก็พูดต่อว่า “คุณฉินครับ คุณว่า ถ้าผมทำให้คุณกลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจของเจียงโจวบ้าง ก็นับว่าเป็นมารยาทในการไปมาหาสู่กันใช่ไหม”

สีหน้าของฉินซีเปลี่ยนไปอย่างมากทันที เธอลุกขึ้นยืน

ถึงตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่า สงโป๋เหรินไม่ได้คิดจะเจรจาความร่วมมือเลยสักนิด เป้าหมายของเขาก็คือตนเองต่างหาก

เพียงแต่ตอนที่เธอเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกว่าสมองพล่าเบลอไปหมด ท้องฟ้าก็หมุนไม่หยุด

“คุณ คุณวางกับดักฉัน” ฉินซีกล่าวออกมาอย่างโมโห

The king of War

The king of War

Status: Ongoing

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท