คำพูดของโจวอวี้หรง ทำให้ฉินซีมีสีหน้าเคร่งขรึม
ถ้าเป็นเมื่อวาน เธออาจจะไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ แต่การกระทำของเจิ้งเหม่ยหลิงเมื่อคืน ทำให้เธอผิดหวังกับครอบครัวนี้มาก
ตั้งแต่พวกเธอมาถึงตระกูลโจวตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งงานแต่งวันนี้ โจวอวี้หรงยังคงดูถูกพวกเธอต่อหน้าทุกคน
ทั้งหมดนี้ ทำให้ฉินซีทนไม่ไหว
“คุณน้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินว่าสามีของหนูเป็นคนยังไง ถึงเขาจะเกาะผู้หญิงกินจริงๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้าเหรอคะ”
ฉินซีพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ จากนั้นจึงพูดว่า “ถ้าหนูจำไม่ผิด สี่ปีที่แล้ว น้ายืมเงินหนูไปสามแสนไม่ใช่เหรอคะ”
“แถมลับหลังพวกเรา แม่ยังให้น้ายืมเงินไปอีกสองแสน”
“ตอนนี้ก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว น้ายังไม่คืนให้เราสักบาท หนูว่ากำไลหยกที่น้าใส่ น่าจะประมาณห้าหมื่นสินะ น่าจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินนิ ควรจะคืนเงินห้าแสนให้เราได้แล้วมั้งคะ แน่นอนว่าเห็นแก่ที่เป็นญาติกัน หนูจะไม่พูดถึงเรื่องดอกเบี้ย”
คำพูดที่โจวอวี้หรงพุ่งเป้าไปที่หยางเฉินกับฉินยี เรียกความสนใจจากทุกคน
ตอนนี้ฉินซีเลียนแบบท่าทีของโจวอวี้หรง โดยจงใจพูดเสียงดัง ทันใดนั้น ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ทุกคนล้วนได้ยินเสียงของเธอ
ใครก็ไม่คิดว่าฉินซีจะทวงหนี้โจวอวี้หรงในสถานการณ์แบบนี้
ปกติแล้ว ฉินซีในสายตาคนตระกูลโจว เป็นผู้หญิงที่มีนิสัยอ่อนโยน เงินที่ถูกยืมไป เธอไม่เคยเป็นฝ่ายขอคืน
วันนี้ในวันมงคลของตระกูลโจว แถมรอบๆ ยังเต็มไปด้วยแขก
ฉินซีมาทวงหนี้ในตอนนี้ นี่เป็นการไม่ไว้หน้าโจวอวี้หรงสักนิด
ขนาดหยางเฉินยังคิดไม่ถึง แต่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของฉินซี เขาก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
“เธอพูดอะไรน่ะ”
โจวอวี้หรงพูดออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เธอพูดอย่างโมโหว่า “ฉันเอาเงินสามแสนจากเธอตั้งแต่ตอนไหน เคยยืมเงินจากแม่เธอตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ”
“เสี่ยวซี วันนี้เป็นวันดีของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ เห็นแก่หน้าลุงเถอะ อย่าก่อเรื่องเลย”
ไม่รู้โจวอวี้เจี๋ยเดินมาข้างฉินซีตั้งแต่ตอนไหน เขาพูดกับเธอเสียงเบา
ฉินซีไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณลุง ถ้าคุณลุงไม่พูด หนูเกือบลืมคุณลุงไปแล้ว คฤหาสน์สองหลังในตระกูลโจว สร้างจากเงินของแม่หนู คฤหาสน์หลังที่คุณตาคุณยายอยู่ ถือว่าเป็นความกตัญญูจากพวกเรา แต่หลังที่คุณลุงอยู่ สร้างจากเงินร้อยกว่าล้าน ตอนนี้ชีวิตของคุณลุงช่างราบรื่น ขับรถคันละหกเจ็ดแสน เงินหนึ่งล้านคงไม่เท่าไร จะคืนพวกเราเลยไหมคะ”
คำพูดที่น่าตกใจออกมา!
ฉินซีเพิ่งทวงหนี้จากโจวอวี้หรง ตอนนี้เธอหันมาทวงหนี้โจวอวี้เจี๋ยต่อ ตอนนี้ทำให้คนในตระกูลโจวอึ้งมาก
นี่ใช่ฉินซีที่ยอมก้มหัวให้คนอื่นโดยไม่บ่นอะไรสักคำหรือเปล่า
“ไร้สาระ!”
“คฤหาสน์สองหลังนั้น เป็นเงินที่ฉันใช้เงินสร้าง เกี่ยวอะไรกับแม่ของเธอ”
“โจวยู่ชุ่ย เธอยังไม่ออกมาอธิบายอีกเหรอ!”
โจวอวี้เจี๋ยหงุดหงิดจนโมโห เขาตวาดใส่โจวยู่ชุ่ย
เรื่องนี้ฉินต้าหย่งพูดขึ้นในตระกูล ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนนั้นยังแค่คนในตระกูล
แต่วันนี้กลับโดนฉินซีแฉ ต่อหน้าของเพื่อนสนิทที่มาร่วมงาน
นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายในตระกูลโจว
“เสี่ยวซี อย่าก่อเรื่อง!”
โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฉินซีแสยะยิ้มให้ตัวเอง “ทำไมเหรอ คุณไม่มีความกล้าแม้แต่จะยอมรับความผิดของตัวเองเลยหรือ”
“ถือว่าแม่ขอเถอะ ให้งานแต่งสิ้นสุดลงก่อน เราค่อยมาปรึกษากันเรื่องนี้ โอเคไหม”
โจวยู่ชุ่ยพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน แต่ลึกๆ ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ลับหลังพวกเรา คุณทำเรื่องเลวๆ ตั้งเยอะแยะ ยังกล้ามาขอร้องพวกเราอีกเหรอ”
ฉินยีพูดด้วยความโมโห
โจวยู่ชุ่ยเงียบ ถ้าเธอยังไม่ถึงเป้าหมาย ยังไงเธอก็ต้องอดทนเอาไว้
“แม่ผิดไปแล้ว แม่รับปากพวกเธอสองคน รอให้งานแต่งสิ้นสุดลง เราจะไปคุยกับคุณลุงกับคุณน้าของพวกเธอ”
โจวยู่ชุ่ยพูดเสียงเบา ดวงตาของเธอแดงก่ำ “พวกเธอดูสิ รอบๆ มีแต่แขกที่กำลังมองอยู่ วันนี้เป็นงานแต่งของลูกพี่ลูกน้องพวกเธอ ถ้าพวกเธอยังก่อเรื่องแบบนี้ มันจะดีหรือ”
ดวงตาของฉินซีแดงก่ำ ถ้าเธอไม่โดนบีบบังคับจนถึงขนาดนี้ เธอจะข่มขู่คนอื่นไปทำไม
เธอกวาดตามองรอบๆ เห็นความดูถูกและเย้ยหยันจากใบหน้าของทุกคน
ในที่สุด เธอก็ใจอ่อน “ได้ เราค่อยคุยกัน ตอนงานแต่งจบเรียบร้อย!”
“พี่……”
ฉินยีกำลังจะพูดเกลี้ยกล่อม จู่ๆ หยางเฉินพูดขึ้นว่า “เสี่ยวยี ค่อยว่ากันเถอะ!”
สำหรับฉินยี คำพูดของหยางเฉินได้ผลกว่าใครทั้งนั้น เธอสะกดกลั้นคำที่จะพูดออกมา
ในใจของหยางเฉินรู้สึกเศร้าและเวทนา เดิมทีเขาคิดว่าการแต่งตัวดี จะทำให้ฉินซีกู้หน้ากลับมาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลโจว ก็ยังคงไม่เลิกดูถูกเขา
“ก็ได้ ฉันเชื่อพี่เขย!”
ฉินยีพูดประชดออกมาว่า “เกิดเป็นมนุษย์ อย่าทำตัวเป็นคนหนีหนี้เหมือนใครบางคน”
“คนต่ำ เธอว่าใครเป็นคนหนีหนี้ไม่ทราบ”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินยี โจวอวี้หรงโมโหขึ้นมาทันที เธอกระทืบเท้าลุกขึ้นยืน และตวาดใส่ฉินยี
“น้าว่าใครเป็นคนต่ำไม่ทราบ”
ฉินยีไม่กลัวแม้แต่น้อย เธอสบตาและพูดว่า “เห็นแก่ที่น้าเป็นผู้อาวุโส หนูจะไม่ถือสา น้าอย่ามาทำเกินไป!”
“เธอยังเห็นฉันเป็นผู้อาวุโสเหรอ”
โจวอวี้หรงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอคิดว่าตัวเองเก่งมากหรือไง ถ้าไม่ขายตัว เธอจะได้เป็นผู้จัดการใหญ่ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเหรอ”
“โจวอวี้หรง เธอพูดอะไรออกมา”
ฉินยีมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดไม่ถึงว่าน้าของตัวเอง จะพูดแบบนี้กับเธอ
“ทำไม กล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ ไม่เชื่อก็ถามคนที่นี่สิ ยัยเด็กที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัย มีสิทธิ์อะไรที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป”
โจวอวี้หรงดูถูกฉินยีต่อหน้าทุกคน
ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง ฉินยีมองสายตาของพวกเขา ก็รู้เลยว่า พวกเขาเชื่อคำพูดของโจวอวี้หรง
“ยังมีนังต่ำนี่อีกคน บ้าเงินจนบ้าไปแล้วหรือไง ฉันติดหนี้ครอบครัวเธอห้าแสนงั้นหรือ ทำไมเธอถึงไม่พูดว่าห้าล้านไปเลยล่ะ”
โจวอวี้หรงด่าฉินยีจบ เธอก็หันไปด่าฉินซีต่อ
สีหน้าของหยางเฉินเย็นชาลงเรื่อยๆ ดูถูกเขาได้ แต่อย่ามาดูถูกภรรยาของเขา!
ถึงแม้ฉินซีจะโมโห แต่เธอยังไม่พูดอะไรออกมา รอให้โจวอวี้หรงพูดจบ
เมื่อโจวอวี้หรงพูดจบ ฉินซีจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดพอหรือยัง ถ้าพูดพอแล้ว งั้นเรามาคุยกันตอนนี้เลย เรื่องที่คุณติดหนี้แล้วไม่ยอมจ่าย!”
เมื่อพูดจบ ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดทำงาน เดินเข้ามาข้างฉินซี เธอมองมายังโจวอวี้หรง “สวัสดีค่ะ ฉันคือหวังจิง จากสำนักงานกฎหมายเฉินซี สำนักงานกฎหมายของฉัน ได้รับการมอบหมายจากคุณฉินซี ให้จัดการเรื่องการค้างชำระเงินของคุณโจวอวี้หรง โดยการแจ้งเรื่องเป็นหนังสือทางด้านกฎหมาย”
จากนั้นทนายจึงพูดพฤติกรรมที่โจวอวี้หรงไม่คืนเงิน และผลที่ต้องรับผิดชอบออกมาทั้งหมด
ตอนนี้โจวอวี้หรงตระหนักได้ว่า ฉินซีเอาจริงกับเธอแล้ว
“คุณน้าคิดว่าการที่ไม่ยอมรับ จะหลุดพ้นได้เหรอ อย่าลืมสิคะ ตอนที่หนูให้น้ายืมเงิน น้าเซ็นสัญญาการกู้ยืม นอกจากนี้ ยังมีบัตรที่แม่โอนเงินให้น้า บัตรนั่นหนูเป็นคนจัดการ บันทึกการโอนเงินก็ยังอยู่”
ฉินซีพูดด้วยสีหน้าเฉยชา