The king of War – บทที่ 249การรวมตัวของตระกูลเศรษฐี

บทที่ 249การรวมตัวของตระกูลเศรษฐี

“ผมพูดไว้แล้ว ว่าถ้าผมอยู่ ใครก็อย่าหวังว่าจะพาตัวคุณหยางไปได้!”

ลั่วปิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “อีกอย่าง ลำพังแค่คำพูดของผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งก็เอามาเป็นหลักฐานได้แล้วเหรอครับ? เอาอย่างนี้มั้ย เดี๋ยวผมก็หาผู้หญิงสักคนมาบอกว่าการตายของหลานชายคุณ เป็นฝีมือของตระกูลหยวน แล้วคุณจะกล้าไปเอาเรื่องตระกูลหยวนรึเปล่าครับ?”

“ถ้าคุณยังดึงดันที่จะทำร้ายคุณหยาง ผมก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตระกูลเฉินต้องถึงการล่มสลายแล้ว”

ในเมื่อหยางเฉินไม่พูดอะไร งั้นก็แสดงว่าได้มอบหมายทุกอย่างให้ตัวเองจัดการแล้ว ถ้าสุดท้ายแล้วถ้าเขายันไว้ไม่ได้จริงๆ หยางเฉินก็ต้องออกหน้าแน่นอน

พอคิดได้แบบนั้น ลั่วปิงก็ไม่ได้รู้สึกกังวลเลยสักนิด

“ลั่วปิง ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง สั่งให้คนของคุณหยุดเดี๋ยวนี้!”

ในตอนนั้นเอง ในที่สุดมู่ตงเฟิงก็ได้พูดออกมา พร้อมกับแววตาที่ข่มขู่ “ส่งตัวหมอนั่นออกมาให้ดีๆ ไม่อย่างนั้น แกตาย!”

คนที่เป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลมู่ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้นออกมา และยังกล้าฆ่าลั่วปิงด้วย

“ฮ่าฮ่า!”

จู่ๆ ลั่วปิงก็หัวเราะออกมา พร้อมกับสีหน้าที่ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด “ในเมื่อตระกูลมู่ก็ดึงดันที่จะยื่นขาเข้ามายุ่ง ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองโจวเฉิงก็จะไม่มีธุรกิจใดๆ ของตระกูลมู่อีก!”

ลั่วปิงในตอนนี้ กำลังทำตัวทรงอำนาจอย่างถึงที่สุด การต่อกรกับตระกูลเฉินทุกคนยังพอรับได้ แต่มาตอนนี้ กลับกล้าข่มขู่มู่ตงเฟิงต่อหน้าทุกคน ทีนี้ก็ทำเอาทุกคนถึงกับช็อกไปเลย

จากนั้น ลั่วปิงก็ได้กดโทรออกไปอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ได้ยินเขาพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมต้องการให้ธุรกิจทุกอย่างของตระกูลมู่ที่อยู่ในเมืองโจวเฉิงสาบสูญไปให้หมด!”

การโทรในครั้งนี้ของเขา ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้น เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าจะทำให้กิจก่รของตระกูลเฉินต้องล่มสลาย มาตอนนี้ก็บอกว่าจะทำให้กิจการของตระกูลมู่สาบสูญไปจากเมืองโจวเฉิง

“นี่เขาบ้าไปแล้วรึไง?”

“ถึงกับกล้าข่มขู่ตระกูลมหาเศรษฐีของเมืองเอก นั่นเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลมู่ มู่ตงเฟิงเลยนะ!”

“เพื่อลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านแค่คนเดียว กับการที่เขาทำแบบนี้ มันคุ้มแล้วจริงๆ เหรอ?”

“เขาแค่กำลังพูดจะใหญ่โตเท่านั้นแหละ คิดว่าธุรกิจของตระกูลเฉินจะล่มสลายง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอ? แล้วไหนจะตระกูลมู่อีก ธุรกิจที่มีอยู่ในเมืองโจวเฉิงนั้นได้มั่นคงไปนานแล้ว การที่จะทำให้ธุรกิจของตระกูลมู่หายไป เขาคิดว่าแค่พูดมันก็สามารถทำได้แล้วรึไง?”

……

เสียงผู้คนพูดคุยกันเริ่มดังขึ้น

หยางเฉินยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ราวกับกำลังนั่งดูเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองอยู่ข้างๆ

แต่ว่า มุมปากของเขากลับปรากฏรอยยิ้มบางๆ ออกมา และแววตายังดูชื่นใจด้วย

ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นบททดสอบและประสบการณ์ให้ลั่วปิงเลยแล้วกัน ยังไงเขาก็เคยรับปากลั่วปิงแล้วว่าหลังจากสถานการณ์ที่เมืองโจวเฉิงมั่นคง ก็จะส่งตัวลั่วปิงให้เขาไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

ถ้าแค่ปัญหาเล็กที่เมืองโจวเฉิงยังจัดการไม่ได้ แล้วในเมืองเยนตูที่คนดีคนชั่วปะปนกันทั่ว ลั่วปิงจะอยู่รอดได้ยังไง?

ความยิ่งใหญ่และองอาจของลั่วปิงนั้นทำให้ทุกคนถึงกับช็อก

แม้แต่เฉินซิงไห่ก็ยังรู้สึกงงเลย มู่ตงเฟิงเป็นใคร เขานั้นรู้ดี ลั่วปิงกลับกล้าข่มขู่มู่ตงเฟิงต่อหน้าทุกคนแบบนี้

“พูดจาใหญ่โตนักนะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าภายในวันนี้ แกจะทำให้ธุรกิจของตระกูลมู่หายไปจากเมืองโจวเฉิงได้ยังไง?”

มู่ตงเฟิงโกรธจนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง

ลั่วปิงได้ทำให้เขาโกรธแล้วจริงๆ ถ้าวันนี้ไม่ได้ฆ่าลั่วปิง มู่ตงเฟิงผู้นี้ก็เสียชาติเกิดแล้ว

“พี่ใหญ่ ลูกเขยคนนี้ของพี่ เหมือนจะตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรแล้ว”

“จู่ๆ ก็มีคนใหญ่คนโตมาเยอะขนาดนี้ แล้วเขาจะมีสิทธิ์พูดอะไรอีกล่ะ?”

“ผมเห็นเหมือนเขาจะตัวสั่นมาโดยตลอดเลย ไม่แน่อาจจะตกใจกลัวจนฉี่ราดไปแล้วก็ได้”

โจวอวี้เจี๋ยกับโจวอวี้หรงและคนอื่นๆ ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกปาก

“งานแต่งของเสี่ยวข่ายในครั้งนี้ มันไม่ควรเชิญบ้านแกมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เป็นไง ลูกเขยที่ไม่เอาไหนของแกดันไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตตั้งหลายคนแบบนั้น งานแต่งของเสี่ยวข่ายต้องโดนชะงักเลย!”

คุณท่านตระกูลโจวก็หันไปตวาดใส่โจวยู่ชุ่ยเหมือนกัน “ถ้าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ช่วงเวลาที่แสนมงคลของเสี่ยวข่ายถูกขัดจังหวะละก็ คอยดูว่าฉันจะจัดการกับพวกแกยังไง!”

เพราะก่อนหน้านี้ลั่วปิงเป็นคนไปพูดคุยกับฉินยีด้วยตยเอง ขอร้องโจวยู่ชุ่ยให้ไปหาฉินยี คนตระกูลโจวที่เคยพูดเข้าขางตระกูลโจว ตอนนี้กลับเอาปัญหาทุกอย่างมากองอยู่บนหัวโจวยู่ชุ่ยแล้ว

โจวยู่ชุ่ยรู้สึกโกรธมากที่มีเวลาได้ใจแค่แปบเดียว ก็ถูกหยางเฉินทำลายไปแล้ว

ตอนนี้คนในบ้านสามีคงจะเกลียดครอบครัวของเธอจนเข้าไส้ไปแล้ว

ในตอนที่คนในตระกูลโจวกำลังกล่าวโทษหยางเฉินอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเงาของคนอีกหลายคนปรากฏตัวขึ้นอย่างเร่งรีบ

ทุกคนต่างสวมใส่ชุดสูทที่มียี่ห้อ ราศีไม่ธรรมดา แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนใหญ่คนโต

“ประธานบริษัทไห่เต๋อ หวงจง มาเยี่ยมเจ้าบ้านมู่ครับ!”

“ประธานฉินซื่อกรุ๊ป จางซวย มาเยี่ยมเจ้าบ้านมู่ครับ!”

“ผู้นำตระกูลเหวิน เหวินตื๋อเซิง มาเยี่ยมเจ้าบ้านมู่ครับ!”

……

น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความนับถือดังกังวานอยู่ในห้องจัดเลี้ยงครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากที่หวงจงและคนอื่นๆ ได้รายงานตัวตามลำดับแล้ว ในห้องจัดเลี้ยงก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมาทันที

เจ็ดแปดคนที่ว่ามา ต่างก็เป็นผู้นำในแต่ละเขตของเมืองโจวเฉิงทั้งนั้น ทุกคนต่างก็มีตระกูลระดับหนึ่งคอยหนุนหลังอยู่

ถึงแม้ตระกูลพวกนี้จะเทียบกับตระกูลเฉินและตระกูลหยวนไม่ได้ แต่นอกเหนือสองตระกูลที่สูงที่สุดแล้ว พวกนี้ก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจที่สุด

ตอนนี้พวกเขาต่างมาที่นี่ด้วยตนเอง จุดประสงค์ก็เพื่อมาเยี่ยมมู่ตงเฟิงเท่านั้น

มู่ตงเฟิงยิ้มออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักใครเลย แต่การที่พวกเขามาเยี่ยมเขาตอนนี้ มันก็เป็นการให้เกียรติเขามากๆ แล้ว

“เมื่อกี้แกบอกว่า ภายในวันนี้ จะทำให้กิจการทุกอย่างของตระกูลมู่หายไปจากเมืองโจวเฉิงสินะ?”

มู่ตงเฟิงมองลั่วปิงด้วยสายตาที่เยาะเย้ย ก่อนจะพูดไปว่า “ตอนนี้ แกยังมีความมั่นใจมากพอ ที่จะพูดมันออกมาอีกครั้งรึเปล่า?”

“ทำไม? กล้าพูดจาใหญ่โตว่าจะทำให้ธุรกิจของตระกูลมู่หายไปจากเมืองโจงเฉิงอย่างนั้นเหรอ?”

“นี่คุณมันอยู่มานานเกิดไปแล้วใช่มั้ย?”

“คิดว่าต้าเหอกรุ๊ปกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของเมืองโจวเฉิงแล้วจริงๆ ใช่มั้ย?”

“มีพวกเราอยู่ ดูสิว่าจะมีใครกล้าทำอะไรธุรกิจของตระกูลมู่มั้ย?”

พวกหมาเศรษฐีที่เพิ่งเข้ามาเยี่ยมมู่ตงเฟิง ต่างก็โกรธแล้ว ต่างก็พากันตะคอกใส่ลั่วปิง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เพิ่มความกล้าให้พวกเขาอีกสิบเท่า ก็ไม่มีทางกล้าพูดกับลั่วปิงแบบนี้เด็ดขาด

เมื่อกี้พอได้รับรายงานจากตระกูลเฉิน ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ พวกเขาก็รู้หน้าที่ที่ตัวเองต้องทำแล้ว

นั่นก็คือการร่วมมือกันเพื่อขับไล่ต้าเหอกรุ๊ปให้ออกจากเมืองโจวเฉิงไป

ถ้ามีแค่ตระกูลเฉิน พวกเขาก็ยังไม่กล้ามา แต่ตอนนี้แม้แต่มู่ตงเฟิงก็อยู่ด้วย แล้วยังมีอะไรให้พวกเขาต้องกลัวอีก?

ลั่วปิงสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ กวาดตามองคนพวกนั้นด้วยสายตาที่เรียบเฉย “ถ้าพวกคุณคิดจะเข้ามายุ่งด้วย งั้นก็หายไปจากเมืองโจวเฉิงพร้อมๆ กันเลยแล้วกัน!”

ที่เขาบอกว่าหายไปนั้น มันก็หมายถึงตระกูลกับกิจการของคนพวกนี้นั่นแหละ

“เชี่ย! ไอ้หมอนี่มันไม่ได้บ้า แต่มันซื่อบื้อต่างหาก!”

“นี่มันผู้นำของแต่ละเขตเลยนะ เขายังกล้าข่มขู่ แบบนี้มันรนหาที่ตายชัดๆ!”

“หลังจากวันนี้ เกรงว่าคนที่ต้องหายไปจริงๆ ก็น่าจะเป็นต้าเหอกรุ๊ปแล้ว!”

ผู้คนรอบๆ ต่างก็มองลั่วปิงราวกับมองดูคนโง่อยู่

และในตอนนั้นเอง ก็ได้มีคนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

“ซูเฉิงอู่แห่งตระกูลซูเจียงโจว พาลูกสาวคนโตซูซาน มาขอขมาผู้นำเฉินครับ!”

แล้วเห็นซูเฉิงอู่จูงมือซูซานรีบเดินมาข้างหน้า โค้งคำนับให้เฉินซิงไห่เบาๆ

ตระกูลซูกับตระกูลเฉินนั้นรู้จักกันมาอย่างช้านาน พ่อของซูเฉิงอู่นั้นเป็นรุ่นเดียวกับเฉินซิงไห่ ถึงแม้ทั้งสองตระกูลจะมีอำนาจที่พอๆ กัน แต่ถ้าจะนับกันจริงๆ ซูเฉิงอู่ก็ยังถือว่าเป็นอาวุโสน้อยกว่าอยู่ดี

“โอ้วพระเจ้า! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย? แม้แต่เศรษฐีอันดับหนึ่งของเจียวโจวก็มาด้วยเหรอ?”

“ซูเฉิงอู่บอกว่าพาลูกสาวมาขอขมา แล้วมันเป็นเรื่องอะไรอีกเนี่ย?”

“ตระกูลเฉินนั้นยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วเหรอ? แม้แต่ผู้นำเศรษฐีของเจียวโจว ยังต้องโค้งคำนับให้เลย?”

……

หลังจากที่ซูเฉิงอู่แสดงตัวแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก จนทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที!

ทุกคนในตระกูลโจวนั้นยิ่งตกใจมากกว่าใคร

The king of War

The king of War

Status: Ongoing

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท