The king of War – บทที่ 247 การตีกันของเทพเจ้า

บทที่ 247 การตีกันของเทพเจ้า

“มีใครที่พอจะบอกฉันได้บ้าง ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

นายท่านตระกูลโจวถามด้วยสีหน้าที่งุนงง

ทั้งที่วันนี้มันเป็นวันมงคลของตระกูลโจวแท้ๆ แล้วทำไมมันถึงดึงดูดผู้ทรงอำนาจระดับสูงแบบนี้มาตั้งสองฝ่าย?

ดูแล้ว ผู้ทรงอำนาจทั้งสองนี้ มาประชันหน้ากันเพราะหยางเฉินแน่ๆ

เวลานี้ งานแต่งก็ใกล้จะเริ่มแล้ว แต่ดูบรรยากาศในตอนนี้สิ มันใช่ความครื้นเครงอย่างที่งานแต่งควรจะเป็นรึเปล่า?

คนของตระกูลโจวต่างก็เป็นกังวลกันมาก

เจิ้งเหม่ยหลิงที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้กำลังกระวนกระวายใจมาก แววตามีแต่ความขัดขืน

“คิดว่าตระกูลเฉินของเรานั้นมันน่าเอาเปรียบมากเลยใช่มั้ย?”

เฉินซิงไห่โกรธมาก และพูดไปด้วยความโมโห “วันนี้ผมจะพาตัวเขากลับไป ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคนอย่างคุณมันจะขวางผมได้รึเปล่า?”

ทันทีที่พูดจบ เฉินซิงไห่ก็โบกมือ “เอาตัวหมอนั่นไป!”

“ในเมื่อผู้นำเฉินไม่ยอมฟัง งั้นก็อย่าโทษผมแล้วกัน!”

ลั่วปิงพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จากนั้นก็กดมือถือแล้วโทรออกไปต่อหน้าทุกคน “ลงมือ!”

เขาพูดออกมาแค่สองพยางค์ จากนั้นก็วางสายไป

หยางเฉินนั้นทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ

ถึงเขาจะไม่เข้าใจสองพยางค์ที่ลั่วปิงเพิ่งพูดไป แต่เขาก็รู้ดีว่าลั่วปิงต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังแน่นอน

บอดี้การ์ดสองคนของตระกูลเฉินตอนนี้ได้มาถึงข้างหยางเฉินแล้ว แต่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือ ทันใดนั้นเอง ชายฉกรรจ์หลายคนก็ได้เดินออกมา ยืนขวางอยู่ตรงหน้าของหยางเฉิน พร้อมกับจ้องมองบอดี้การ์ดของตระกูลเฉินด้วยสายตาที่หิวกระหาย

เฉินซิงไห่แววตาดูเคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าเพื่อหยางเฉินแล้ว ลั่วปิงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังแบบนี้

ห้องจัดเลี้ยงของงานเลี้ยงที่เคยรื่นเริง ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนอึดอัด

ในตอนนั้นเอง เสียงมือถือที่ไพเราะก็ดังขึ้น

สายตาของทุกคนต่างพากันมองไปยังเฉินซิงไห่ แล้วก็ได้เห็นมือถือของเขาที่รับไปแล้ว

ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที แล้วพูดด้วยความที่โมโหว่า “ว่ายังไงนะ?”

เฉินซิงไห่นั้นทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ตระกูลเฉินกับจิ่วเหอกรุ๊ปนั้นรวมงานกันมาเป็นเวลากว่าแปดปีเต็ม จู่ๆ มาบอกว่าจะยกเลิกสัญญาก็ยกเลิกเลยได้ยังไง?”

ตอนที่หยางเฉินได้ยินคำว่าจิ่วเหอกรุ๊ปนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที ว่าลั่วปิงนั้นไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน

ประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว ลั่วปิงนั้นได้ขอเบิกงบกับเขาไปก้อนหนึ่ง บอกว่าจะเอาไปซื้อกิจการเจ้าอื่นๆ ไว้สักหน่อย

และจิ่วเหอกรุ๊ปก็อยู่ในรายชื่อพวกนั้นด้วย

เดิมที หยางเฉินคิดว่าลั่วปิงทำเพื่อความก้าวหน้าของต้าเหอกรุ๊ปเท่านั้น แต่ดูแล้วตอนนี้ เขาน่าจะเตรียมการสำหรับเครืออข่ายธุรกิจในเมืองโจวเฉิงไว้ตั้งนานแล้ว

ไม่แน่ พวกบริษัทหัวแถวในเมืองโจวเฉิงอาจจะถูกเขาซื้อไว้หมดแล้วก็ได้

หยางเฉินนั้นรู้สึกสบายใจและเซอร์ไพรส์มาก ในตอนที่เพิ่งกลับเจียงโจวก็ไม่ต้องถูกไล่ออกจากเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเพราะความผิดพลาดอันน้อยนิดของลั่วปิง

หลายเดือนมานี้ ความทุ่มเทของลั่วปิงกับผลงานของเขานั้นมันโดดเด่นกว่าคนอื่นมาก และหยางเฉินเองก็มองเห็นมันเหมือนกัน

หลังจากที่เฉินซิงไห่ตะคอกใส่มือถือไปพักใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที

เมื่อกี้ลั่วปิงก็บอกแล้ว ว่าจะทำให้ธุรกิจของตระกูลเฉินนั้นล่มสลาย ทันใดนั้น เขาก็ได้รับรายงานเรื่องการยกเลิกสัญญาร่วมมือของจิ่วเหอกรุ๊ป

“คุณคือ?”

เฉินซิงไห่จ้องมองลั่วปิงด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว

ลั่วปิงยิ้มออกมาโดยที่ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “ผู้นำเฉิน นี่มันแค่อาหารเรียกน้ำย่อย และถือเป็นการเตือน ถ้าคุณยังดึงดันที่จะลงมือกับคุณหยางอีกละก็ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่รอตระกูลเฉินอยู่ก็มีแต่การล่มสลายเท่านั้น!”

ลั่วปิงในตอนนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ โดยไม่เห็นเฉินซิงไห่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้แต่หยางเฉิน ยังมีความรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักลั่วปิงเป็นครั้งแรกเลย

“เยี่ยม เยี่ยมมาก! คนที่กล้าข่มขู่เฉินซิงไห่ผู้นี้ ก็มีคุณนี่แหละที่เป็นคนแรก!”

เฉินซิงไห่พูดพร้อมกับกัดฟันแน่น “ถ้าการกระทำแค่นี้ก็คิดว่าจะสามารถทำให้ตระกูลเฉินของเราล่มสลายได้ คุณไม่คิดว่ามันจะเป็นการดูถูกตระกูลเฉินไปหน่อยรึไง?”

“ผู้นำเฉินนั้นไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ นะครับ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ งั้นผมจะเพื่อเครื่องปรุงให้คุณอีกนิดแล้วกัน”

ลั่วปิงยิ้มออกมาอย่างไม่มีความประสงค์ร้ายใดๆ จากนั้นก็กดโทรออกไปอีกครั้ง “เอาต่อ!”

ยังคงพูดแค่สองพยางค์ แต่มันกลับทำให้เฉินซิงไห่นั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล

“ก็แค่วางมาดใหญ่โตไปเท่านั้นแหละ!”

เฉินซิงไห่ยังแสร้งทำเป็นมันคง แต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกกังวลมาก

ลั่วปิงยิ้มแต่ไม่พูด เขาแค่หันไปบอกกับหยางเฉินว่า “คุณหยางครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อมีผมอยู่ วันนี้ไม่มีใครสามารถจับตัวคุณไปได้ทั้งนั้นครับ!”

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณประธานลั่วมากเลยครับ!” หยางเฉินพูดไปยิ้มไป

พอเห็นหยางเฉินกับลั่วปิงที่กำลังพูดไปยิ้มไป ในใจของเฉินซิงไห่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

เขาที่เป็นถึงผู้นำตระกูลเฉิน มาถึงที่นี่ด้วยตนเอง แต่กลับถูกเมินเฉยซะได้

ในตอนนั้นเอง มือถือของเฉินซิงไห่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

หัวใจของเขาเต้นรัวขึ้นมาทันที คนอื่นๆก็พากันทำหน้าตกใจเหมือนกัน สายตาของทุกคนต่างพากันมองไปที่ลั่วปิงอนย่างไม่ได้นัดหมาย

เฉินซิงไห่จ้องมองลั่วปิงอย่างลึกซึ้ง รับสาย จากนั้น สีหน้าของเขาก็ซีดเซียว ไม่ได้ดูตกใจเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังสามารถมองออกว่าตระกูลเฉินนั้นเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว

“ผู้นำเฉิน ตอนนี้ คุณยังจะพาตัวคุณหยางไปอีกมั้ยครับ?”

ลั่วปิงถามพร้อมกับจ้องมองเฉินซิงไห่ด้วยสายตาที่หยอกล้อ

“ลั่วปิง อย่าให้มันมากนัดนะ ผมจะเตือนอะไรคุณไว้ ไอ้หมอนี่ มันไม่ได้ล่วงเกินแค่ผม มันยังไปล่วงเกินมู่ตงเฟิงของตระกูลมู่แห่งเมืองเอกด้วย” เฉินซิงไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “บางทีคุณอาจจะยังไม่รู้ ว่าเมื่อคืน เขาไปกระทืบแขนลูกชายอันเป็นที่รักของเจ้าบ้านมู่หักไปข้างหนึ่ง การที่ผมมาพาตัวไอ้หมอนี่ไป มันก็เป็นความต้องการของเจ้าบ้านมู่เหมือนกัน”

ลั่วปิงขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “อย่าว่าแต่เป็นความต้องการของเขาเลย ต่อให้เขามาด้วยตนเอง ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิม ว่าคุณหยางนั้น ผมจะปกป้องเอง!”

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคนที่มู่ตงเฟิงคนนี้ต้องการ มีใครจะกล้าเข้ามาขวางมั้ย?”

ทันทีที่ลั่วปิงพูดจบ ก็ได้มีเสียงที่ทรงอำนาจดังมาจากทางประตูของห้องขัดเลี้ยง ซึ่งเสียงนั้นดังขึ้นมาก่อนที่จะได้เห็นว่าคนพูดนั้นเป็นใคร

จากนั้น มู่ตงเฟิงก็ปรากฏตัวออกมา เขาพาคนมาไม่เยอะ โดยมีเพียงบอดี้การ์ดสองคนที่เดินตามหลังมาเท่านั้น

“ตระกูลของเมืองเอกมาแล้ว!”

“ตระกูลมู่นั้นมีตระกูลหานที่ทรงอำนาจที่สุดในเมืองเอกคอยหนุนหลังอยู่ ทีนี้ ลั่วปิงกับพ่อหนุ่มนั่นคงแย่แน่ๆ!”

“ต้าเหอกรุ๊ปเป็นแค่บริษัทในเมืองโจวเฉิง แต่ตระกูลมู่นั้นเป็นถึงตระกูลของเมืองเอก ไม่ใช่แค่มีเงิน แต่ยังมีอำนาจมาก แค่พูดมาคำเดียว ก็สามารถเหยียบต้าเหอกรุ๊ปจนจมดินแล้ว”

“ดูท่า ลั่วปิงน่าจะเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้วล่ะ!”

……

ทุกคนต่างทำหน้าตื่นตกใจ สำหรับผู้คนที่อยู่ตรงนี้ เฉินซิงไห่ก็เป็นคนให้คนโตที่ไม่อาจเทียบได้แล้ว แต่มู่ตงเฟิงคนนี้เป็นคนที่อยู่สู้ขึ้นไปอีก

เจิ้งหยางเองก็กำลังทำหน้ามึนงงเหมือนกัน เขาพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “คนใหญ่คนโตที่นายท่านพูดถึง ก็คือมู่ตงเฟิงอย่างนั้นเหรอ?”

เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่านอกจากมู่ตงเฟิงแล้ว ยังจะมีใครที่มีตำแหน่งสูงกว่านี้อีก?

ตอนที่ลั่วปิงเห็นมู่ตงเฟิงนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมไปนิดหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด

ภูมิหลังของหยางเฉินนั้น เขารู้จักมันดี

อย่าว่าแต่เมืองเอกเลย ต่อให้เป็นตระกูลมหาเศรษฐีของเยนตูก็ตาม เกรงว่ามันยังไม่อยู่ในสายตาของหยางเฉินด้วยซ้ำไป

ทว่า การที่ให้เขาต่อกรกับตระกูลเฉินน่ะยังพอได้ แต่ถ้ามีตระกูลมู่เข้ามาอีก ต่อให้เขาอยากแค่ไหนมันก็เกินความสามารถของเขาไปแล้ว

แววตาของเฉินซิงไห่นั้นมีแต่ความไม่ชอบใจ เขารีบยกที่นั่งให้มู่ตงเฟิง โค้งตัวเล็กน้อยแล้วพูดออกไปว่า “เจ้าบ้านมู่ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วปิง ผมก็พาตัวหมอนั่นกลับไปได้แล้วครับ”

The king of War

The king of War

Status: Ongoing

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท