“ตาแก่ สิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพของการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ คุณรู้ดี ว่าคุณได้มันมาอย่างไร”
“คุณรังแกตระกูลเฝิงแล้วยังไม่พอ แต่คุณยังคิดจะรังแกตระกูลกวนกับตระกูลเฉินอีกด้วย?”
“ในเมื่อคุณเมิ่งหงเย่ชอบรังแกชาวบ้าน แล้วผมหานเซี่ยวเทียน คุณกล้ารังแกไหม?”
หานเซี่ยวเทียนพูดด้วยความโกรธ
โดยปกติเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมใครง่ายๆ อยู่แล้ว และเขาก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์ของหยางเฉินที่มีต่อตระกูลกวนกับตระกูลเฉิน
อีกอย่าง ครั้งก่อนที่ไปบ้านตระกูลเมิ่งนั้น ไม่ได้มีเพียงตระกูลกวนกับตระกูลเฉิน แต่ยังมีตระกูลหานของเขาอีกด้วย
และในตอนนี้ เมิ่งหงเย่ชี้นิ้วไปตระกูลกวน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเล็งเป้าไปที่หยางเฉิน
คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เขารู้ดีว่าตระกูลกวนเป็นดาบคมในมือของหยางเฉิน
ฉะนั้น ทางเดียวก็คือเล่นงานตระกูลกวนก่อน แล้วหยางเฉินจะก้าวออกมาเอง
“หานเซี่ยวเทียน อย่าพูดจาเกินเหตุไปนะ ผมไม่ได้คิดจะรังแกครอบครัวใครด้วยซ้ำ”
เมิ่งหงเย่ยิ้มพูดต่อ “สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คุณก็เห็นแล้ว ตระกูลกวนกับตระกูลเฉินคิดจะร่วมมือกันท้าทายอำนาจของตระกูลเมิ่งของผมมากกว่า!”
“แต่ไม่ว่าจะยังไง ตระกูลเมิ่งของผมก็เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ฉะนั้น ผมจะไม่ยอมให้หมูๆ หมาๆ ที่ไหนมาสร้างปัญหาหรอก”
“อีกอย่าง ในงานประชุมแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้นโดยตระกูลเมิ่งของผม ผมจะไล่พวกสร้างปัญหาออกไป มันคงไม่เกินเหตุหรอกนะ?”
เมิ่งหงเย่พูดอย่างยั่วยุ “แต่แน่นอน ถ้าเจ้าบ้านหานอยากยุ่งด้วย ผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว แต่รอตระกูลหานได้เป็นเจ้าภาพจัดงานก่อน ตระกูลเมิ่งของผมก็อยากยุ่งบ้างเหมือนกัน”
“แล้วแค่คุณ!”
หานเซี่ยวเทียนยิ้มอย่างเย็นชา “แต่ตอนนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหน ถ้ากล้าแตะต้องตระกูลกวนกับตระกูลเฉินก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
เมื่อพูดจบ หานเซี่ยวเทียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที “รีบจัดคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ไปที่บ้านตระกูลเมิ่ง ส่วนอีกกลุ่มให้มาที่โรงแรมจงโจว แล้วให้ทุกคนรอคำสั่งของผม!”
ในที่สุดสีหน้าของเมิ่งหงเย่ก็เปลี่ยนไป
เพราะคนของเขาส่วนมากจะมารวมตัวกันที่โรงแรมจงโจวแล้ว และเขาก็ได้ละเลยความปลอดภัยของครอบครัวไป
ที่สำคัญคือเขารู้ดีว่าหานเซี่ยวเทียนนั้นเป็นคนใจร้อนแค่ไหน
ถ้าสถานการณ์มันบีบบังคับจริงๆ หานเซี่ยวเทียนอาจสั่งลูกน้องลงมือกับตระกูลเมิ่งของเขาเลยก็ได้
“จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
ในขณะนั้น เสียงพูดอีกเสียงก็ดังขึ้น
“ดีมาก ปิดล้อมบ้านตระกูลเมิ่งภายใน 20 นาที แล้วรอคำสั่งจากผม!”
เฉินซิงไห่ก็กดวางสวยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงตาของทุกคนตกตะลึงทันที ไม่แปลกที่หานเซี่ยวเทียนให้คนของตระกูลหานปิดล้อมบ้านตระกูลเมิ่ง เพราะตระกูลของเขากับตระกูลเมิ่งนั้นอยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว
แต่ตระกูลเฉินนี่สิ เขาเป็นแค่น้องใหม่ที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นให้เป็นมหาเศรษฐีเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขายังมาจากต่างถิ่นอีกด้วย แต่ตอนนี้เขากลับให้คนของเขาไปปิดล้อมบ้านของตระกูลเมิ่ง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เฉินซิงไห่ให้คนของเขาไปปิดล้อมบ้านตระกูลเมิ่งภายใน 20 นาทีเท่านั้น
เพราะจากเมืองโจวเฉิงมาที่เมืองเอก อย่างน้อยต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าหนึ่งชั่วโมง
แต่เฉินซิงไห่กลับให้คนของเขาไปปิดล้อมบ้านตระกูลเมิ่งภายใน 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งสามารถอธิบายได้เพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือคนของตระกูลเฉินได้อยู่ในเมืองเอกตั้งแต่แรกแล้ว
“รีบมาให้ถึงโรงแรมจงโจวภายใน 20 นาที แล้วรอคำสั่งจากผม!”
ในเวลานี้ เสียงสนทนาอีกเสียงก็ดังขึ้น
ซึ่งก็คือกวนเจิ้งซาน!
“นี่มันต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่เลย!”
“ตระกูลกวนกับตระกูลเฉิน ยังมีตระกูลหานอีกด้วย แล้วตระกูลเมิ่งจะไหวเหรอ?”
“สามตระกูลยักษ์ใหญ่ในเมืองเอก ตระกูลเมิ่งกับตระกูลหานอยู่ในเกมแล้ว ตอนนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คงเป็นตระกูลหนิงสินะ?”
ตระกูลมหาเศรษฐีหลายๆ ตระกูลกำลังจะเผชิญหน้ากัน ซึ่งก็ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งสงครามได้อย่างชัดเจน
และบรรยากาศของสถานที่จัดงานประชุมแลกเปลี่ยนก็ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นกัน
เมิ่งหงเย่สีหน้าบูดบึ้งจนหาที่เปรียบไม่ได้ เขาตั้งใจจะทำเรื่องนี้ให้ใหญ่ก็จริง แต่เขาไม่คิดเลยว่าตระกูลเหล่านี้จะเตรียมพร้อมมาดีขนาดนี้
โรงแรมจงโจวกับบ้านตระกูลเมิ่งต่างก็ถูกปิดล้อมไปแล้ว ถ้าเริ่มสงสารเมื่อไหร่ ตระกูลเมิ่งต้องทุกโจมตีทั้งสี่ด้านอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ เขาได้แค่ตรึงความหวังทั้งหมดไว้ที่หวงจง
แต่เมื่อเขามองไปที่หวงจง อีกฝ่ายกลับดูเย็นชา ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
และในขณะนี้ เสียงพูดอีกเสียงก็ดังขึ้น ทำให้ที่ประชุมเงียบลงอีกครั้ง “พวกคุณลืมตระกูลหนิงของผมไปแล้วเหรอ?”
ในเวลานี้ ทุกคนต่างตกตะลึงกันอีกครั้ง
เมื่อกี้ยังพูดถึงตระกูลหนิงอยู่เลย แล้วตอนนี้ผู้นำตระกูลหนิงก็แสดงตัวแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ สามตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งเมืองเอกก็เข้าฉากกันหมดแล้ว
เดิมทีทุกคนคิดว่าตระกูลหนิงจะดูอยู่ห่างๆ เมื่อสงครามของทั้งสองตระกูลจบลง พวกเขาค่อยออกมาเก็บศพ
แต่ตอนนี้ตระกูลหนิงกลับแสดงตัวออกมา แล้วมันหมายความว่ายังไง?
เมิ่งหงเย่ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้ามองไปที่ผู้นำของตระกูลหนิง ทันใดนั้นเขารู้สึกแย่มาก
หานเซี่ยวเทียนก็หันมองไปด้วยสายตาเย็นชา แต่เขายังคงสงสัยว่าตระกูลหนิงที่มาแทรกแซงในเวลานี้เพื่ออะไรกันแน่?
ในขณะที่เฝิงฉวนเห็นผู้นำของตระกูลหนิงนั้น เขารู้สึกตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว
วันนี้เป้าหมายของเขาก็คือตระกูลหนิง!
ในความเห็นของเขานั้น ตระกูลหนิงเป็นคนฆ่าลูกชายของเขา
เขาจำเป็นต้องล้างแค้นให้กับลูกชายของเขาให้ได้
“เราจะลืมเจ้าบ้านตระกูลหนิงไปได้ไงครับ?”
เมิ่งหงเย่เลิกคิ้วแล้วพูดกับผู้นำตระกูลหนิงด้วยรอยยิ้ม
ผู้นำตระกูลหนิงหัวเราะดังๆ แล้วพูดว่า “ดีแล้วที่ยังไม่ลืม!”
“ไม่ทราบว่าเจ้าบ้านตระกูลหนิงมีเหตุอันใด ถึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเวลานี้?”
หานเซี่ยวเทียนถามเขา
ก่อนที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของผู้นำของตระกูลหนิง เขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลหนิงก่อนไม่ได้
“เจ้าบ้านหาน วันนี้เป็นงานใหญ่ของทั่วทั้งมณฑลเจียงผิงนะครับ ในเมื่อตระกูลเมิ่งเป็นเจ้าภาพในงานนี้ ตระกูลเมิ่งก็มีสิทธิ์ที่จะเชิญใครออกไปจากที่นี่ก็ได้”
“เพื่อให้สถานการณ์ในงานใหญ่ของมณฑลเจียงผิงมีเสถียรภาพ ผมมีข้อเสนอแนะที่ดีอยู่ข้อหนึ่ง แต่ผมไม่รู้ว่าเจ้าบ้านหานยินดีที่จะยอมรับหรือไม่”
ผู้นำตระกูลหนิงหรี่ตาพูด แต่แววตาของเขายังเต็มไปด้วยความหยอกเย้า
เมิ่งหงเย่มีความสุขมาก เดิมทีเขาคิดว่าตระกูลหนิงตั้งใจจะต่อต้านเขาแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของผู้นำตระกูลหนิง เขาก็รู้ว่าตระกูลหนิงกำลังเล็งเป้าไปที่ตระกูลหาน
และหานเซี่ยวเทียนก็รู้ดีสำหรับจุดประสงค์ของผู้นำตระกูลหนิง เขาจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “มีอะไรก็รีบพูด!”
ผู้นำตระกูลหนิงไม่ได้แสดงอาการโกรธ แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลเมิ่งกับตระกูลหานและตระกูลหนิงของผมเป็นถึงสามตระกูลยักษ์ใหญ่ในมณฑลเจียงผิง”
“เมื่อเราเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ตระกูลที่มีอิทธิพลอื่นๆ ในมณฑลเจียงผิงก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย”
“ในเมื่อเป็นความคับข้องใจระหว่างตระกูลเมิ่งกับตระกูลกวน งั้นเราก็ให้พวกเขาเคลียร์กันเองสิ ตระกูลหานไม่ต้องยุ่งด้วยจะดีกว่า”
“แต่แน่นอน ถ้าตระกูลหานยืนกรานที่จะยุ่งด้วย ก็ไม่เป็นไร แต่ผมคิดว่าตระกูลหานแค่ตระกูลเดียวกับตระกูลเล็กๆ จากต่างถิ่น คิดจะร่วมมือกันต่อต้านพันธมิตรอย่างตระกูลหนิงกับตระกูลเมิ่งของเรา ผมคิดว่าพวกคุณมีจุดจบอย่างเดียว นั่นก็คือความพ่ายแพ้!”
“แม้กระทั่งตระกูลพินาศด้วยซ้ำ!”
ผู้นำตระกูลหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม แม้น้ำเสียงจะนิ่งเฉย แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ในเวลานี้ ทุกคนถึงเข้าใจว่าตระกูลหนิงมาเพื่อจะต่อกรกับตระกูลหาน
เมิ่งหงเย่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตระกูลหานเสนอตัวออกมาเพื่อร่วมมือกับตระกูลกวนนั้นเป็นสิ่งที่เขาคาดคิดได้ แต่การแสดงตัวของผู้นำตระกูลหนิงนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
“ตระกูลหนิงกับตระกูลเมิ่งจะร่วมมือกันเหรอเนี่ย?”
“สองตระกูลยักษ์ใหญ่ร่วมมือกันต่อต้านตระกูลหานแบบนี้ เกรงว่าตระกูลหานคงต้องพินาศแน่!”
“ก่อนถึงบทสรุป อะไรก็เกิดขึ้นได้”
ในที่ประชุมอันกว้างใหญ่นี้ก็เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าตระกูลหานจะได้เปรียบ
เพราะสองในสามตระกูลยักษ์ใหญ่ได้ร่วมมือกันแล้ว
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่หานเซี่ยวเทียน พวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าผู้นำหัวดื้อคนนี้จะตอบสนองอย่างไร
“หนิงจี้หยวน!”
หานเซี่ยวเทียนสองตามองไปที่ผู้นำตระกูลหนิง ดวงตาของเขาเต็มไปความเยือกเย็น “คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะยุ่งกับเรื่องของตระกูลหานกับตระกูลเมิ่ง?”
“วันนี้เป็นการประชุมแลกเปลี่ยนที่ตระกูลเมิ่งเป็นเจ้าภาพ ฉะนั้นเขาจึงมีอำนาจที่จะตัดสินใจทุกอย่างในงานประชุมแลกเปลี่ยนนี้”
หนิงจี้หยวนยิ้มพูด “และผมก็แค่ออกมาพูดความยุติธรรมเท่านั้น!”
สีหน้าของหนิงจี้หยวนเต็มไปด้วยความหยอกเย้า หานเซี่ยวเทียนจึงโกรธและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่มีอะไรจะคุยกันอีก ถ้าจะสู้ ก็สู้เลย!”
ในขณะนี้ หานเซี่ยวเทียนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้ และเหล่าบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่อยู่ข้างกายเขาก็ลุกขึ้นยืนกันหมด