The king of War – บทที่ 390 ไม่เป็นสองรองใคร

บทที่ 390 ไม่เป็นสองรองใคร

การปฏิเสธของหยางเฉิน เดิมทีทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองในใจอยู่แล้ว คาดไม่ถึงหานเซี่ยวเทียนยังกล้าก้าวก่าย

หานเซี่ยวเทียนขมวดคิ้วแล้ว แต่พิจารณาถึงเบื้องหลังของสมาคมบูโด เขาจึงเลือกที่จะเงียบสงบไป

“หยางเฉิน นายอย่าโง่เง่าไปหน่อยเลย เข้าร่วมสมาคมบูโด ถือเป็นเกียรติของนาย!” น้ำเสียงของฉือเจียงเย็นชาลงมามาก

ในความคิดเขา ถ้าหยางเฉินไม่เข้าร่วมสมาคมบูโด หากเขาอยากได้มณฑลเจียงผิงมาครองอีก นั่นจำเป็นต้องแย่งชิงมาจากในมือของหยางเฉิน

ดังนั้นพูดได้ว่า ไม่เป็นหยางเฉินยอมจำนนต่อสมาคมบูโด ก็กลายเป็นศัตรูของสมาคมบูโด ไม่มีทางเลือกที่สาม

“ไสหัวไป!”

หยางเฉินสีหน้าอึมครึม ตวาดใส่ฉือเจียงไปโดยตรง

คำว่า“ไสหัวไป”นี้ ทำเอาผู้คนตกตะลึงหมดแล้ว!

หยางเฉินกับหวงจงปะทะซึ่งกันและกัน และบีบอีกฝ่ายตรงข้ามออกไปจากเจียงผิง เพียงพอที่จะทำให้คนตื่นตกใจมากแล้ว

ตอนนี้ แม้แต่หัวหน้าสาขาของสมาคมบูโด เขายังกล้าตะโกนใส่ต่อหน้าคนอื่น

ฉือเจียงทำหน้าอึ้งทึ่งเหมือนกัน ทันใดนั้นไม่ได้ตอบสนองกลับมา

ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงคนหนึ่งในบรรดาหัวหน้าสาขาสมาคมบูโดจำนวนมากมาย แต่ที่มณฑลเจียงผิง เขายังถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่มีอิทธิพลอำนาจล้นหลาม

เวลานี้ กลับถูกชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งตวาดใส่ต่อหน้าสาธารณชน นี่คือความอัปยศอดสูของเขาอย่างแท้จริง

“ไอ้หนุ่ม แกว่าอะไรนะ?”

ฉือเจียงสีหน้าอึมครึมลงไปถึงขีดสุดในชั่วพริบตาเดียว ในสายตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นที่รุนแรง

ท้าวจตุมหาราชาที่อยู่ข้างกายเขา ล้วนทำท่าทางจ้องตาเป็นมันกันหมด จ้องหยางเฉินไว้

ขอเพียงฉือเจียงสั่งมาสักคำ พวกเขาจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลงมือไปในวินาทีแรกทันที

ในฐานะผู้แข็งแกร่งของสมาคมบูโด ตั้งแต่อยู่บนเส้นทางการต่อสู้มา ยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน

“ฉันให้แกไสหัวออกไป!”

หยางเฉินหรี่ตาพูดจา “ตอนนี้ แกฟังไม่เข้าใจรึไง?”

โถงห้องประชุมแลกเปลี่ยนที่กว้างใหญ่ ชั่วขณะนั้นเงียบเป็นเป่าสาก!

ทั้งห้องโถงใหญ่ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายที่กดดันอย่างมาก ทุกคนล้วนรับรู้ได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น

“ไอ้หนุ่ม แกคิดว่าตัวเองมีความสามารถอยู่หน่อย แล้วจะอยากทำอะไรก็ได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”

ฉือเจียงกัดฟันพูด

ถ้าให้เขาปะทะฝีมือกับหยางเฉิน เขายังไม่มีความมั่นใจจริงๆ

เมื่อสักครู่ความสามารถที่หยางเฉินแสดงออกมานั้น เกินกว่าจินตนาการของเขาไปทีเดียว

ถึงแม้เขาจะสามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องระเบิดความสามารถขั้นแกร่งสุดของเขาออกมา

จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ หยางเฉินยังไม่ได้เปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมา เผชิญหน้ากับศัตรูคนใด เหมือนว่าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายหมด

ทันใดนั้นเขามีภาพลวงตาอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ เดิมทีเขามองไม่ออก

“หัวหน้าสาขาฉือ แต่ไหนแต่ไรสมาคมบูโดไม่ก้าวก่ายเรื่องของแต่ละตระกูลใหญ่ ตอนนี้นายกลับพยายามบังคับให้คุณหยางเข้าร่วม ไม่ดูเป็นการทำเกินเหตุไปหน่อยเหรอ?”

เวลานี้ หานเซี่ยวเทียนก้าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มองทางฉือเจียงแล้วพูดขึ้น

ตามมาด้วยกวนเจิ้งซานก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน “ที่เจ้าบ้านหานพูดไม่ผิด นายบีบบังคับคุณหยางให้เข้าร่วมสมาคมบูโด ทำเกินเหตุไป!”

“สมาคมบูโด ทำเกินเหตุแล้ว!”

เฉินซิงไห่ก็ลุกขึ้นพูดด้วย

“สมาคมบูโด ทำเกินไปแล้ว!”

ซูเฉิงอู่ถือโอกาสพูดขึ้นเหมือนกัน

“สมาคมบูโด ทำเกินไปแล้ว!”

“สมาคมบูโด ทำเกินไปแล้ว!”

……

ตามมาด้วยผู้นำตระกูลใหญ่อีกหลายที่ ลุกขึ้นพูดออกไป

ภายในโถงใหญ่งานประชุมแลกเปลี่ยนล้วนเป็นเสียงแบบเดียวกัน

ฉือเจียงสีหน้าอึมครึม เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนเองที่เป็นหัวหน้าสาขาของสมาคมบูโดที่น่าเกรงขาม จะถูกชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเหยียดหยามให้อับอายเช่นนี้

ไม่ผิด ในสายตาของเขา ทุกอย่างที่เกิดในตอนนี้ล้วนเป็นหยางเฉินที่นำความอัปยศอดสูมาให้เขา

ตระกูลใหญ่หกสิบเจ็ดสิบตระกูลของมณฑลเจียงผิง นอกจากไม่กี่ตระกูลที่หวาดกลัวสมาคมบูโดแล้ว ตระกูลอื่นๆ โดยพื้นฐานล้วนยืนอยู่ฝั่งหยางเฉินทางนี้

มองที่ใจกลางโถงใหญ่ ภาพคนหนุ่มที่เอามือไพล่หลังไว้นั้น ในดวงตาหญิงสาวของแต่ละตระกูลใหญ่เต็มไปด้วยประกายแพรวพราว

กวนเจิ้งซานและเฉินซิงไห่ทั้งสองคน ก็ทำหน้าทอดถอนใจเช่นกัน

นึกถึงอดีตที่กล้าเป็นปรปักษ์กับหยางเฉินอย่างคาดไม่ถึง นึกถึงจุดจบของตระกูลเมิ่งและตระกูลหนิงแห่งเมืองเอกอีกที ในใจพวกเขามีเพียงความรู้สึกโชคดี

เวลานี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าขอเพียงตระกูลของตนเองสามารถซื่อสัตย์ต่อหยางเฉินต่อได้ตลอด หยางเฉินยังจะนำขบวนพวกเขา สร้างปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่

“ดี ดีมาก! สำหรับการเลือกในวันนี้ พวกแกจะต้องชดใช้กัน!”

ในใจฉือเจียงสั่นเทาเต็มที่ แต่ติดอยู่ตรงสถานะและตำแหน่งของตนเอง เขายังพูดจาดุดันออกไปสักหน่อย

พูดจบ เขาก็หมุนตัวแล้วออกไป

ชั่วขณะหนึ่ง ภายในโถงใหญ่งานประชุมแลกเปลี่ยน ไม่มีคนของสมาคมบูโดอีกสักคนเดียว

คนของตระกูลหวงออกไปแล้ว ส่วนคนของตระกูลเมิ่งและตระกูลหนิง หลังจากที่ผู้นำตระกูลโดนฆ่า หยางเฉินพูดมาคำเดียวก็ถูกไล่ออกไปแล้ว

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลกวนแห่งเมืองเจียงโจว ยกคุณหยางเป็นผู้นำครับ!”

ในเวลานี้เอง กวนเจิ้งซานพากวนเสว่ซงเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งลงที่พื้น ก้มศีรษะอันสูงส่งลงมายังหยางเฉิน

ภาพฉากนี้ สะเทือนจิตใจของแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง!

ถึงแม้ตระกูลกวนจะยอมอยู่ใต้อำนาจของหยางเฉินไปตั้งนานแล้ว แต่เวลานี้ กวนเจิ้งซานกลับประกาศต่อสาธารณชนว่าอยากยกหยางเฉินเป็นผู้นำ

ถ้าพูดว่าก่อนหน้านี้ระหว่างตระกูลกวนและหยางเฉินถือว่าเป็นความสัมพันธ์แบบร่วมงานกัน งั้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ระหว่างตระกูลกวนและหยางเฉิน มีเพียงความสัมพันธ์แบบเจ้านายและคนใช้

หลังจากอึ้งทึ่งไปช่วงสั้นๆ เฉินซิงไห่ก็รีบพาญาติพี่น้องในตระกูลคุกเข่าลงที่พื้นข้างหนึ่ง “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลเฉินแห่งเมืองโจวเฉิง ยกคุณหยางให้เป็นผู้นำครับ!”

ความสามารถที่หยางเฉินแสดงออกมาในปัจจุบันนี้ ทำให้พวกเขาเข้าใจแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทั้งมณฑลเจียงผิงล้วนเห็นหยางเฉินเป็นผู้นำทั้งหมด

ตระกูลไหนสามารถขยับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหยางเฉินได้ขึ้นหนึ่ง ตำแหน่งของตระกูลนั้นย่อมพลอยได้เลื่อนสูงขึ้นตามไปด้วย

สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเอกในปัจจุบันนี้ ได้พังพินาศไปสองตระกูลแล้ว

นั่นคือโอกาสอันดีที่ตระกูลอื่นจะขึ้นมารับตำแหน่ง

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลซูแห่งเมืองเจียงโจว ยกคุณหยางเป็นผู้นำครับ!”

ซูเฉิงอู่กล่าวตามหลังมาติดๆ

เดิมทีซูเฉิงอู่ที่ยังสงสัยอยู่ว่าหยางเฉินจะสามารถมีชีวิตรอดจากสงครามภายในของตระกูลอวี๋เหวินได้หรือไม่ ทว่าในวินาทีที่หวงจงถูกบีบให้ถอยไปนั้น ก็ลบความกังวลสงสัยทุกอย่างจนหมดสิ้น

นี่คือโอกาสอันหนึ่งของเขาตระกูลซู

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลหาน! เมืองเอก ยกคุณหยางให้เป็นผู้นำ!”

ทันใดนั้นเป็นเสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเสียงหนึ่งดังขึ้น หานเซี่ยวเทียนก้าวเท้าออกมา นำญาติพี่น้องในตระกูล คุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าหยางเฉิน ประกาศให้หยางเฉินเป็นผู้นำ

ตูม!

การกระทำของหานเซี่ยวเทียน ทำให้ทุกคนล้วนตกใจค้างแล้ว!

แม้แต่หานเซี่ยวเทียน ยังอยากให้หยางเฉินเป็นผู้นำเลยเหรอ?

ใครต่างก็รู้ว่าหานเซี่ยวเทียนเดิมนิสัยใจกว้าง จิตใจเด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมา ถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่มาจากเยนตู เขาก็ไม่หวาดกลัว

แต่ปัจจุบันนี้ ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง สามารถทำให้เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างยินยอมพร้อมใจเช่นนี้ได้อย่างคาดไม่ถึง

หานเยี่ยนที่อยู่ข้างกายของหานเซี่ยวเทียน เวลานี้ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและขมขื่น

เมื่อคืนนี้ เขายังแจ้งเตือนหยางเฉินว่าให้ออกไปจากข้างกายของหานเฟยเฟยอยู่เลย

เพียงแค่วันเดียว หยางเฉินกลับใช้อำนาจแข็งแกร่งของเขา มาตบหน้าเขาอย่างโหดเหี้ยมทีหนึ่ง

ชายหนุ่มแบบนี้ ถ้าสามารถกลายมาเป็นลูกเขยของเขาได้จริง นี่คือความโชคดีของตระกูลหานของเขาที่สั่งสมมาหลายชาติ

คาดไม่ถึงเขายังกลัวอีกฝ่ายจะไม่คู่ควรกับลูกสาวของตนเองอีก

วันนี้ต่อให้ยืนอยู่ที่นี่เป็นในแปดตระกูลแห่งเยนตู ผู้นำตระกูลไหนที่มาถึงด้วยตนเอง หานเซี่ยวเทียนก็จะไม่กระทำอย่างนี้ด้วย

ทุกอย่างล้วนเพราะหยางเฉินเป็นจอมพลของชายแดนเหนือ!

จิ่วโจวที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ จอมพลชายแดนเหนือที่เป็นหนึ่งในผู้รักษาชายแดนทั้งสี่ อาศัยแค่คุณูปการอันใหญ่หลวงที่เขามีต่อจิ่วโจว คุ้มค่าให้ตนเองคุกเข่าให้

“เมืองจินเหอ ตระกูลเฝิง ยกคุณหยางเป็นผู้นำครับ!”

“เมืองชาง ตระกูลฉี ยกคุณหยางเป็นผู้นำครับ!”

……

โถงใหญ่งานประชุมแลกเปลี่ยน หลังจากผ่านความเงียบสงบชั่วครู่ไป คนของตระกูลอื่นๆ แย่งกันคุกเข่าลงแทบเท้าหยางเฉินอย่างกลัวจะไม่ทันกัน ให้เขาเป็นผู้นำ

ถึงช่วงท้ายสุด เหลือเพียงตระกูลเว่ยแห่งเมืองเจียงโจว ยังยืนอยู่ที่เดิม

หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร สายตาตกอยู่บนตัวของเว่ยเฉิงโจว

The king of War

The king of War

Status: Ongoing

ห้าปีก่อน หยางเฉินเพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับฉินซี เขาจากไปโดยไม่ร่ำลา ห้าปีต่อมา เขาพกความสามารถอันน่าทึ่ง กลับมาอย่างรุ่งโรจน์ เพียงแต่ว่าพอมาถึง กลับพบว่าตนมีลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท