จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางตกตะลึงไปชั่วครู่ และแล้วก็ตั้งสติคืนมา เซวข่ายจะเอาชีวิตพวกเขานี่
“โครม!”
“โครม!”
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน ทั้งสองทรุดตัวคุกเข่าลงข้าง ๆ เซวข่าย
“คุณชายเซว พวกเราคิดอยากเป็นหมาของท่านจริง ๆ นะ พวกเราสาบานได้ จะไม่มีการแปรพักตร์เปลี่ยนใจ ถ้าท่านไม่เชื่อพวกเรา พวกเราจะช่วยท่านจัดการถล่มตระกูลกวนให้ล่มสลายเดี๋ยวนี้เลย”
สองผู้นำตระกูลมหาเศรษฐีอันทรงเกียรติ ตอนนี้กลายเป็นหมา คุกเข่ากับพื้นแสดงความจงรักภักดี
เพียงแต่ว่า ให้เทียบกับหมา พวกเขาก็ยังไม่น่าจะมีคุณสมบัติพอ
“ก็ดี ถ้างั้นพวกแกก็ช่วยข้าถล่มตระกูลกวนให้ล่มสลายไปซะ เพียงถ้าพวกเจ้าทำได้ ข้าก็จะรับพวกเจ้าไว้เป็นหมารับใช้ของข้า ถ้าทำไม่ได้ พวกแกก็มีแต่ตายลูกเดียว”
เซวข่ายยิ้มตาหยี ๆ พูดว่า “แต่ตอนที่พวกแกยังถล่มตระกูลกวนไม่เสร็จ ข้าจะไม่มีการลงมือช่วยพวกแกหรอกนะ”
หัวใจจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางเต้นรุนแรง นี่เซวข่ายจงใจเอาพวกเขาเป็นหอกทะลวงฟันชัด ๆ อีกทั้งยังจะต้องชนะลูกเดียว ถึงจะมีทางรอด
พวกเขาจะถล่มตระกูลกวน ตระกูลหานก็ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยตระกูลกวนแน่นอน
ไม่ว่าตระกูลหานหรือตระกูลกวน ต่างก็มีกำลังชั้นยอดของตระกูลมหาเศรษฐีระดับพอ ๆ กับเขา ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีตระกูลซูที่ยังไม่เลือกข้าง
ถ้าหากตระกูลซูก็เลือกยืนข้างตระกูลกวนกับตระกูลหาน แล้วแค่ตระกูลจินกับตระกูลเหลียง อย่าว่าแต่จะถล่มตระกูลกวนเลย พวกเขาไม่ถูกสามตระกูลมหาเศรษฐีถล่มยับ ก็ถือว่าบุญแล้ว
ในที่สุดจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางก็ได้ลิ้มรสชาติของการขี่หลังเสือแล้ว ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความหนักใจแสดงออกในแววตาของแต่ละฝ่าย
“ตระกูลกวนกับตระกูลหาน ยังอีกตระกูลซู ข้าจะให้เวลาพวกแกไปไตร่ตรองกันให้ดีอีกหนึ่งวัน”
ขณะนั้นเองเซวข่ายก็ได้เอ่ยปากพูด “พรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ ข้าจะมาอีกครั้ง ถ้าพวกแกยินยอมสวามิภักดิ์ ต่อแต่นี้ไป ในเจียงผิงและหนันหยัง อีกทั้งสามมณฑลแห่งตงหลัน พวกแกจะเป็นกระบอกเสียงของตระกูลเซวของข้า”
พูดจบ เขาก็เตรียมพาคนของเขาออกไป
ส่วนจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง ได้ยินเซวข่ายพูดไปดังนั้น สีหน้าดูไม่ได้เลยอย่างสุด ๆ
พวกเขาร้องขอจะเป็นหมารับใช้เซวข่าย เซวข่ายไม่ใยดีด้วย กลับจะให้พวกเขาไปถล่มตระกูลกวน และต้องถล่มตระกูลกวนให้ล่มสลายให้ได้ จึงจะมีคุณสมบัติเป็นหมารับใช้เขาได้
แต่ เซวข่ายกลับโยนกิ่งมะกอกให้กับตระกูลกวนและตระกูลหาน รวมทั้งตระกูลซู ผ่อนผันเวลาให้ไปตัดสินใจใหม่อีกหนึ่งวัน ถ้ายินยอมสวามิภักดิ์ ก็จะให้เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน
ไม่ต้องคิดก็รู้ พอเมื่อสามสุดยอดตระกูลมหาเศรษฐีแห่งเจียงผิงสวามิภักดิ์กับตระกูลเซวแล้ว หลังจากนั้น ฐานะของสามตระกูลมหาเศรษฐี ก็จะลอยสูงขึ้นไปได้ตามกระแส
“ไม่ต้องไปรอไตร่ตรองให้เสียเวลา ข้าตระกูลกวนได้ตัดสินใจดีแล้ว จะให้สวามิภักดิ์กับตระกูลเซว ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด!”
เห็นเซวข่ายกำลังเตรียมจะไป กวนเจิ้งซานเอ่ยปากพูดไปในทันที
“ยังมีข้า ตระกูลหาน ก็ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรอง เว้นแต่ว่าตระกูลหานล่มสลายไป มิฉะนั้นจะไม่มีทางสวามิภักดิ์ตระกูลเซวเด็ดขาด!”
หานเซี่ยวเทียนก็เอ่ยปากพูด
มีแต่ซูเฉิงอู่ สีหน้าเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
เซวข่ายที่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูโถงรับรอง หยุดก้าวต่อในทันที หันตัวกลับ ยิ้มกวน ๆ จ้องหน้ากวนเจิ้งซาน แล้วมองหานเซียวเทียน
“ให้แม้ต้องล่มสลายไปทั้งตระกูล พวกแกก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลเซว?”เซวข่ายยิ้มกวน ๆ ถามไป
มองดูแล้ว หน้าของเขาไม่มีอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย กลับดูชื่นมื่น
หานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานผงกหัวอีก “ถูกต้อง!”
“ดี ดีมาก!”
เซวข่ายผงกหัว หัวเราะแล้วพูดว่า “ตระกูลที่มีเลือดทระนงแบบนี้ ข้าไม่เคยเห็นมานานหลายปีแล้ว เกิดให้นึกเสียดายที่ต้องถล่มพวกแกให้ล่มสลายไปแบบนี้แล้วสิ”
“แต่ทว่า ถ้าไม่ให้พวกแกล่มสลายไป ก็เป็นการที่อำนาจศักดิ์ศรีของตระกูลเซวถูกท้าทาย พวกแกช่วยบอกข้าหน่อยสิ ข้าควรจะทำยังไงดี?”
หานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานต่างรู้สึกถึงความกดดันที่หนักหน่วง เซวข่ายที่ดูเหมือนกำลังหัวเราะ แต่สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้ในเสียงหัวเราะนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่า
“ตระกูลซู ยินยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลเซวครับ!”
ในขณะนั้นเอง ซูเฉิงอู่ที่ยังลังเลในการตัดสินอยู่ จู่ ๆ ลุกยืนขึ้น พูดออกไปด้วยเสียงอันดัง
“ซูเฉิงอู่!”
หานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานพอได้ยินที่ซูเฉิงอู่พูด สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน ความโกรธเกรี้ยวพลุ่งขึ้นเต็มใบหน้า
หยางเฉินหรี่ตาทั้งคู่ลงเล็กน้อย เท่าที่เขารู้จักซูเฉิงอู่คนนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เป็นคนเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นเรื่องใหญ่ ไม่คิดว่ามาในวันนี้ ก็ยังคงเป็นแบบนั้น
การตัดสินใจของเขาแบบนี้ เท่ากับเป็นการทรยศต่อตระกูลอวี๋เหวิน
ตามข้อเท็จจริง ทุกสิ่งที่ตระกูลซูมีมาได้ในทุกวันนี้ ล้วนอาศัยมาจากตระกูลอวี๋เหวิน
แต่การเลือกข้างของเขาในครั้งนี้ ก็พอจะให้เข้าใจได้
เทียบกับตระกูลอวี๋เหวินแล้ว ตระกูลเซวจะเหนือกว่าอีกเกินมาก
เซวข่ายก็ยิ้มกวน ๆ มองไปที่ซูเฉิงอู่ พลันพูดขึ้นมาว่า “แกทำอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะตกเป็นเป้าให้กับคนทั้งหมดนี้หรือ?”
คำพูดประโยคนี้ชัดเจนมาก ขอเพียงตระกูลเซวตกลงรับตระกูลซู ตระกูลซูก็จะเป็นคนของตระกูลเซว แล้วใครหรือจะกล้าตะต้องคนของตระกูลเซว?
ตอนนี้เอง ลึก ๆ ในใจซูเฉิงอู่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะคนอย่างเซวข่ายไม่ใช่ธรรมดา เซวข่ายจะตกลงรับตระกูลซูหรือไม่ เขาเองก็ไม่แน่ใจ
ก็เห็น ๆ อยู่เมื่อสักครู่นี้ ตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าตระกูลซูอย่าตระกูลจินกับตระกูลเหลียง ผู้นำตระกูลพวกเขา ก็ต่างคุกเข่าขอเป็นหมารับใช้ตระกูลเซวไปแล้ว เซวข่ายก็ยังไม่ได้ยอมรับ
ตอนนี้เหมือนเขากำลังเล่นพนัน ชนะพนัน ก็คือสวรรค์ ถ้าแพ้ ก็ลงนรก
เวลานี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเซวข่าย
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ของคนที่อยู่ในที่นั้น พลันเซวข่ายส่ายหน้า “คนไร้ความซื่อสัตย์ไร้คุณธรรม ไม่คู่ควรอยู่ในตระกูลเซว เทียบกับตระกูลจินกับตระกูลเหลียงแล้ว ตระกูลซูก็ครือกันนั้นเอง!”
คำพูดนี้หลุดจากปากเซวข่าย สะท้านใจคนไปทั่วทั้งบริเวณ
ซูเฉิงอู่ยิ่งงงเซ่อไปเลย หน้าโรยซีดไปสุด ๆ แขนขาอ่อนระทวยยืนแทบจะไม่ติด เกือบพับทรุดลงกองกับพื้น
แพ้แล้ว!
เขาแพ้พนันแล้ว!
คำพูดของเซวข่ายที่ว่าคนไร้ความซื่อสัตย์ไร้คุณธรรม ไม่คู่ควรอยู่ในตระกูลเซว คือคำตอบที่สนองให้
เดิมทีที่ไม่ใส่ใจในตัวเซวข่ายของหยางเฉิน ตอนนี้ก็ให้รู้สึกน่าสนใจกับเซวข่ายขึ้นมา
เจ้าหนุ่มคนที่มาจากตระกูลเซวคนนี้ กับบรรดาคุณชายบ้านตระกูลมหาเศรษฐีที่เคยเห็นมา ดูแตกต่างกัน
กับคนที่ยอมคุกเข่าขอขมาเอง ขอยอมเป็นหมารับใช้ เขาไม่เอา
แต่กลับมีความพึงใจในตระกูลหานกับตระกูลกวนที่ท่าทีแข็งกร้าว ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับตระกูลเซว
“ซูเฉิงอู่ แกรู้ว่าเป็นเพราะอะไรไหม?”
กวนเจิ้งซานพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “กรรมใครก่อไว้อย่างไรก็รับเวรกันไป!เดี๋ยวพวกข้าผ่านอุปสรรคนี้ไปแล้ว เจียงผิงหลังจากนี้ ก็จะไม่มีที่ให้ตระกูลซูยืนอยู่ได้อีกต่อไป!”
หานเซี่ยวเทียนก็หัวเราะเหยียด ๆ ไป “ในสายตามีแต่ผลประโยชน์ รัซึ่งคุณธรรม คนอย่างเจ้านี่ ถ้าย้อนอยู่ในอดีต มันก็ไอ้พวกคนขายชาติ!ให้คนรุ่นหลังถ่มน้ำลายประณามใส่!”
ซุเฉิงอู่ให้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ยืนก็จะยืนไม่ติดแล้ว
วางพลาดไปหมากเดียว แพ้หมดทั้งกระดาน!
ตระกูลซูแต่นี้ต่อไป จะหันไปทางไหนได้?
“คุณหยางครับ ผมผิดไปแล้วครับ ขอท่านได้โปรดให้ความหวังผมสักครั้งนะครับ ตั้งแต่นี้ต่อไป ผมจะไม่ให้ท่านผิดหวังอีกเป็นเด็ดขาด!”
ทันใดนั้น ซูเฉิงอู่ก็ได้คุกเข่าลงเบื้องหน้าหยางเฉิน ความหวาดผวาเต็มใบหน้า พูดด้วยสีหน้าวิงวอนขอร้อง
เขารู้ดีว่า ความสามารถของหยางเฉินแกร่งกล้ามาก ไม่เช่นนั้นตระกูลหานกับตระกูลกวนคงไม่พร้อมใจกันขนาดนี้ ทั้งหมดนี้เพราะด้วยหยางเฉินคนเดียว
นาทีนี้ ทุกสายตา พุ่งเป้าไปที่หยางเฉิน
ให้แม้แต่เซวข่าย ก็มองไปที่หยางเฉิน
ตั้งแต่เขาก้าวย่างเข้ามาในโถงรับแขกนี้เป็นต้นมา เขาก็สังเกตเห็นเจ้าหนุ่มคนที่ไม่ได้ปริปากออกเสียงเลยที่นั่งอยู่กลางระหว่างกวนเจิ้งซานกับหานเซี่ยวเทียน
เดิมทีก็มีความรู้สึกอยู่ว่าหยางเฉินไม่ใช่ธรรมดา มาตอนนี้เห็นซูเฉิงอู่ออกอาการขนาดนี้ ทำให้เขายิ่งมั่นใจ
หยางเฉินคนนี้ไม่ใช่คนดังธรรมดา