“ อันธพาล!”
ฉินยีจ้องไปที่หยางเฉินอย่างดุเดือด และนำพายไข่ที่หั่นเสร็จไว้บนโต๊ะ
“คุณด่าผมทำไม?”
หยางเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และถามด้วยความสงสัย
แน่นอนว่าฉินยีไม่ได้ตอบ เมื่อคิดถึงเสียงที่เคลื่อนไหวในห้องข้างๆเมื่อคืนนี้ และมองดูร่างกายส่วนบนที่เปลือยเปล่าของหยางเฉิน เธอเพียงรู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนและหัวใจเต้นเร็วขึ้น
“ฉันจะไปปลูกเสี้ยวเสี้ยวตื่น จากนั้นส่งเธอไปโรงเรียน เมื่อคืนพี่สาวของฉันคงจะเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นอย่าไปรบกวนเธอ ให้เธอได้พักเถอะ”
ฉินยีพูดจบ หันหลังกลับและเดินกลับไปที่ห้องของเธออย่างรวดเร็ว
เมื่อคืนเสี้ยวเสี้ยวนอนกับฉินยี
จนกระทั่งประตูห้องของฉินยีปิดลง หยางเฉินก็ตระหนักได้ว่าคำที่ฉินยีพูดเมื่อกี้หมายความว่าอย่างไร
ชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับน้องเมียอย่างไร
ในไม่ช้า ฉินยีก็เดินออกจากห้องกับเสี้ยวเสี้ยว
“พ่อ แม่อยู่ไหน?”
เสี้ยวเสี้ยวกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเขาทันทีที่เห็นหยางเฉิน
ก่อนที่หยางเฉินจะพูด ฉินยีจ้องไปที่หยางเฉินก่อนจะพูดว่า”เมื่อคืนแม่ยุ่งกับงาน ปล่อยให้แม่นอนต่ออีกหน่อย แล้วน้าจะส่งคุณไปโรงเรียนเอง”
เมื่อเห็นสายตาที่ดุร้ายของฉินยี หยางเฉินก็ดูเขินอาย และหลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างหิวโหย เขาก็หนีไปด้วยความอับอาย
“น้าคะ พ่อไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าแดงจังคะ?”
เมื่อเห็นหยางเฉินจากไป เสี้ยวเสี้ยวก็ถามด้วยความสงสัย
“ตอนกินข้าวห้ามพูด!”
ฉินยีพูดอย่างดุร้าย เสี้ยวเสี้ยวหุบปากอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า ในวิลล่าก็เหลือเพียงสองสามีภรรยาคือหยางเฉินและฉินซี
จากนั้นฉินซีก็ตื่นจากเตียง จ้องไปที่หยางเฉินด้วยหน้าตาบูดบึ้ง”ไอ้บ้า ฉันไม่มีหน้าไปเจอเสี่ยวยีแล้ว”
อันที่จริง ฉินซีตื่นนานแล้ว เมื่อนึกถึงเสียงครางที่เธอครางออกมาเมื่อคืนนี้ ฉินยีที่อยู่ข้างๆพวกเขาต้องได้ยินแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงอายที่จะเผชิญหน้าฉินยี
เธอรอจนกระทั่งฉินยีออกไป จึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง
หยางเฉินลูบจมูกของเขาและพูดด้วยความเขินอายว่า “วันนี้คุณไม่ต้องไปบริษัทแล้ว มีเรื่องอะไรผมจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
“เดี๋ยวเราก็จะไปเยี่ยนตูแล้ว มีบางสิ่ง ฉันจำเป็นต้องไปจัดการเป็นการส่วนตัวจึงจะวางใจได้”
ในขณะที่พูด ฉินซีได้เข้าไปห้องน้ำแล้ว
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย คุณบอกมาได้เลย ผมอยากไปเมืองเยี่ยนตูโดยเร็วที่สุด”
หยางเฉินกล่าว ดวงตาของเขายังมีความกังวลอยู่บ้าง
ไม่ว่ายังไง เยี่ยนตูเป็นใจกลางเมืองของเมืองจิ่วโจว แม้แต่ตระกูลเดอะคิงและราชวงศ์ก็ไม่กล้าทำอะไรตามใจชอบในเยี่ยนตู
แต่ในเจียงโจวมันต่างออกไป ที่นี่เป็นแค่เมืองเล็กๆ บางตระกูลที่ไม่กล้าทำสิ่งต่างๆในเยี่ยนตู แต่กลับกล้าที่จะทำทุกอย่างในเจียงโจว
ไม่ว่าจะเป็นฉินซีและเสี้ยวเสี้ยว หรือฉินยีและฉินต้าหย่ง หยางเฉินก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเดือดร้อนเพราะตัวเขาเอง
หลังจากฉินซีรับประทานอาหารเช้าแล้ว หยางเฉินก็ขับรถพาเธอไปที่ซานเหอกรุ๊ป
ทันทีที่หยางเฉินมาถึงเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เขาได้รับสายของกวนเจิ้งซาน”คุณหยาง เซวข่ายกำลังตามหาเซวหมิงทั่วเมือง และสมาชิกในตระกูลเซวหลายคนได้มาที่เมืองเจียงโจว”
“คนมากมายของตระกูวเซวมา?”
หยางเฉินถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
กวนเจิ้งซานกล่าวว่า “ประมาณเอา น่าจะมีคนเกือบร้อยคนมาที่นี่ และความแข็งแกร่งของแต่ละคนก็ยากที่จะหยั่งถึง!”
หลังจากที่หยางเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “เอาล่ะ ผมรู้แล้ว พวกคุณเองก็ระมัดระวังตัวและระวังตระกูลเซวด้วย”
“ครับ!”
เกวนเจิ้งซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ประธาน มีคนที่อ้างว่าเป็นเซวข่ายต้องการพบท่าน!”
ทันทีที่หยางเฉินวางสาย เลขาก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“ให้เขาเข้ามา!”
การมาถึงของเซวข่าย ทำให้หยางเฉินประหลาดใจมาก หรือว่า เซวข่ายรู้สาเหตุการตายของเซวหมิงแล้ว?
ในไม่ช้า เซวข่ายในชุดสูทก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของหยางเฉิน ตามด้วยบอดี้การ์ดของเขาที่อยู่ข้างหลังเขา
“มาหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”
หยางเฉินพิงเก้าอี้เจ้านายที่สบาย วางเท้าบนโต๊ะแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
เซวข่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า”หยางเฉิน คุณอย่าเสแสร้งอีกเลย มอบคนออกมาเถอะ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซวข่ายพูด หยางเฉินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หรือว่าอีกฝ่ายรู้แล้วจริงๆว่า เซวหมิงเสียชีวิตเพราะเขาเป็นคนสั่ง?
แต่ในไม่ช้า หยางเฉินก็คิดได้ เซวข่ายมาที่นี่เพื่อทดสอบ
ถ้าเขาแน่ใจจริงๆ ว่าเซวหมิงอยู่ในมือของหยางเฉิน ก็คงไม่ใช่แค่เขาที่พาบอดี้การ์ดเพียงคนเดียวมาที่นี่
หยางเฉินมองไปที่เซวข่ายด้วยท่าทางแปลกใจและพูดว่า “คุณบ้าไปแล้วมั้ง? ให้ผมปล่อยคน?ปล่อยใคร?”
“สามารถทำให้น้องชายของผมหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และมีผู้แข็งแกร่งปกป้องอยู่รอบกายน้องชายของผม ทั้งเมืองเจียงโจว มีแค่คุณเท่านั้นที่ทำได้เช่นนี้ใช่ไหม?”
สายตาของเซวข่ายเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และเขาพูดอย่างเย็นชา “ถ้าคุณมอบน้องชายของผมออกมา ผมจะยอมทิ้งเจียงผิง! มิฉะนั้น ตระกูลเซวจะไม่มีวันปล่อยคุณไป คุณน่าจะรู้ว่า ตระกูลเดอะคิงสามารถปล่อยพลังได้มากแค่ไหน”
“ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อขอคนกับผม คุณก็ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย!”
หยางเฉินกล่าวจางๆ “ถ้าผมกลัวตระกูลเซวของคุณจริงๆ ผมก็จะไม่ขัดแย้งกับคุณแต่แรกละ”
“ในเมื่อคุณพูดถึงตระกูลเดอะคิงกับผม งั้นผมขอเตือนคุณว่า เจียงผิงเป็นดินแดนของผม หากไม่ได้รับอนุญาตจากผม ใครก็ห้ามเข้ามาแตะ อย่าว่าแต่คุณเลย แม้ว่าราชาของตระกูลเซวมา ก็ไม่ได้!”
ท่าทีของหยางเฉินแข็งกร้าวมาก และคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้คิ้วของเซวข่ายขมวดขึ้นอย่างกะทันหัน วันนี้ที่เขามาหาหยางเฉิน ก็เพื่อทดสอบจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ความแข็งกร้าวที่หยางเฉินแสดงออกมานั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องโกหกเลย แม้แต่เขา หยางเฉินยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แล้วเขาจะเห็นเซวหมิงอยู่ในสายตาได้ไงล่ะ?
หรือว่า การหายตัวไปของเซวหมิง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยางเฉิน?
แต่ถ้าไม่ใช่หยางเฉิน แล้วในเจียงโจว ใครจะสามารถทำให้เซวหมิงซึ่งได้รับการปกป้องจากผู้แข็งแกร่งของตระกูลเซวหายตัวไปอย่างกะทันหันล่ะ?
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เซวข่ายก็ยิ่งงงงวยมากขึ้นเท่านั้น
“หยางเฉิน ขอเพียงคุณสามารถช่วยผมหาน้องชายของผมให้เจอ ต่อจากนี้คุณจะเป็นเพื่อนของตระกูลเซว”
น้ำเสียงของเซวข่ายอ่อนลงเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่า เขากังวลจริงๆเกี่ยวกับสถานการณ์ของเซวหมิง ไม่เช่นนั้น เขาจะขอความช่วยเหลือจากหยางเฉินได้อย่างไร?
“ผมให้เวลาคุณสามวันเท่านั้น ภายในสามวัน ทุกคนในตระกูลเซวต้องออกจากเจียงผิงไม่เช่นนั้น ถ้าผมเห็นคนของตระกูลเซว เห็นหนึ่งคนผมก็จะฆ่าหนึ่งคน!”
หยางเฉินส่ายหัวและพูดข่มขู่
สีหน้าของเซวข่ายแข็งกระด้างทันที เหลือบมองหยางเฉินและพูดว่า “กล้าขู่ผม คุณอยากตายเหรอ?”
“แล้วแต่คุณจะคิดอย่างไร!” หยางเฉินตอบอย่างเฉยเมย
เซวหมิงต้องการทำอะไรกับภรรยาและน้องภรรยาของเขา นั่นเป็นโทษถึงชีวิต ถ้าไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น หยางเฉินจะไม่ปิดบังการตายของเซวหมิงเกี่ยวข้องกับเขา
“ให้เวลาตระกูลเซวเราสามวัน? คุณช่างหยิ่งผยองจริงๆ”
เซวข่ายหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะนั้นมืดมนมาก “ผมก็อยากรอดูจริงๆ สามวันต่อมา คุณจะทำอย่างไรกับตระกูลเซวของผมได้บ่าง?”
หลังจากพูดจบ เซวข่ายก็ลุกขึ้นและจากไป
จากปฏิกิริยาของหยางเฉิน เขารู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้หยางเฉินช่วยเขาหาคน ในเมื่อไม่มีความหวัง เขาจะยังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกับหยางเฉินอีกล่ะ?
หลังจากที่เซวข่ายจากไป เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป กัดฟันและพูดว่า “กล้าพูดกับผมแบบนี้ คุณเป็นคนแรก และจะเป็นคนสุดท้าย!”