แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าซูซานอยู่กับเขาในคืนนั้น เพียงแต่ไม่มีหลักฐานเท่านั้น แต่ตอนนี้ผลการตรวจสอบของหม่าชาวได้ยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
นั่นคือการบอกว่า คืนนั้นเขากับซูซานอยู่กันสองต่อสองในห้องเดียวกัน เขาเมา ซูซานก็ชอบเขา ตอนนี้มีเพียงซูซานเท่านั้นที่รู้ดีว่า เกิดอะไรขั้นในคืนนั้น
“พี่เฉิน คุณทำอะไรที่ผิดต่อพี่สะใภ้หรือเปล่า?”
หม่าชาวถามขึ้นทันที
เมื่อได้ยินเสียงของหม่าชาว หยางเฉินจึงได้สติกลับมา เขากัดฟันพูดว่า “ในคืนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แล้วถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ระหว่างคุณทั้งสองล่ะ?”
หม่าชาวยังถามต่อว่า “ถ้าพี่สะใภ้รู้เรื่องนี้ เธอจะให้อภัยคุณหรือเปล่า?”
หยางเฉินรู้สึกเพียงความคับข้องใจอย่างเต็มที่ คืนนั้นเขาได้ทำเรื่องที่ผิดต่อฉินซีหรือเปล่า เขาเองก็จำไม่ได้เลย
“พี่เฉิน ผมขอพูดหน่อย ผู้หญิงคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีเจตนา ถ้าจะพูดกันตรงๆ เธอคือยัยจอมวางแผน”
น้ำเสียงของหม่าชาวเต็มไปด้วยความรังเกียจ “เธอเป็นเพื่อนสนิทของพี่สะใภ้ ไปส่งคุณไปที่โรงแรมนั้นไม่มีปัญหา แต่เธอไม่ควรอยู่ในห้องของคุณไม่ยอมออกมา”
“ถ้าให้ผมพูด ตอนนี้คุณควรไปสารภาพกับพี่สะใภ้ อย่างน้อยก็สามารถรับประกันได้ว่า คุณบอกที่มาที่ไปกับพี่สะใภ้ทันทีที่รู้เรื่องนี้”
“สำหรับผู้หญิง สิ่งที่ทนไม่ได้มากที่สุดคือการหลอกลวง ถ้าคุณไม่บอกพี่สะใภ้ในตอนนี้ หากเธอมารู้ทีหลัง จะต้องเจ็บปวดและยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หม่าชาวมาเซ้าซี้เรื่องพวกนี้ หยางเฉินต้องด่าเขาไปนานแล้ว
แต่วันนี้หยางเฉินกลับอดทนฟังหม่าชาวพูดเรื่องพวกนี้อย่างไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
แค่ฉินซีได้รับรูปถ่ายที่ซูซานส่งมา ก็อาละวาดเขาไปแล้ว ถ้าให้ฉินซีรู้ว่า หยางเฉินไปเปิดห้องที่โรงแรมกับซูซาน แล้วอยู่ด้วยกันทั้งคืน ฉินซีต้องรับไม่ได้แน่ๆ
“ไม่ได้ เรื่องนี้ยังให้เสี่ยวซีรู้ไม่ได้ ผมต้องแน่ใจก่อนว่า ในคืนวันนั้น ระหว่างผมกับซูซาน มีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า”
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ หยางเฉินก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พี่เฉิน คุณไม่กลัวหรือว่า หากคุณมีอะไรกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วคุณจะสู้หน้าพี่สะใภ้ได้ยังไง?” หม่าชาวถามขึ้น
“ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ที่ผมแน่ใจก็คือ ถ้าบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวซีในตอนนี้ เธอจะต้องโกรธผมแน่นอน และอาจจะไม่ตามผมไปเมืองเยี่ยนตูด้วย” หยางเฉินกล่าว
หม่าชาวถอนหายใจ “ในเมื่อคุณพูดแบบนี้แล้ว ผมก็จะไม่พูดอะไรมาก คุณจัดการเอาเองก็แล้วกัน!”
หลังจากวางสาย หยางเฉินยืนอยู่หน้าหน้าต่างฝรั่งเศส เหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างว่างเปล่า แต่อารมณ์กลับหงุดหงิดอย่างผิดปกติ
ทั้งช่วงบ่าย หยางเฉินไม่มีอารมณ์จะทำงานใดๆ หลังจากบังคับตัวเองให้เซ็นเอกสารไปหลายฉบับ ก็ไปรับเสี้ยวเสี้ยวที่โรงเรียนอนุบาล
“พ่อคะ ทำไมพ่อมารับหนูล่ะ! ทำไมแม่ไม่มา?”
เมื่อเสี้ยวเสี้ยวเห็นหยางเฉิน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข วิ่งมาแต่ไกลมาหาหยางเฉิน แล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
หยางเฉินอุ้มลูกสาวขึ้นมา ยื่นมือออกไปเขี่ยจมูกเสี้ยวเสี้ยวเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “พ่อมารับหนู หนูยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
“เปล่านะคะ พ่อมารับเสี้ยวเสี้ยว เสี้ยวเสี้ยวดีใจมาก!”
เสี้ยวเสี้ยวเอาใจคนเก่ง ว่าแล้วก็จูบแก้มหยางเฉินอีก
หยางเฉินรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังจะหลอมละลาย ตั้งแต่เขาได้พบกับซูซาน ทั้งช่วงบ่ายเขาก็อารมณ์เสีย แต่เมื่อเขาได้อยู่กับลูกในตอนนี้ จึงรู้สึกผ่อนคลายลง
“พ่อคะ เสี้ยวเสี้ยวอยากกินไอศกรีม”
ทันใดนั้นเสี้ยวเสี้ยวก็มองไปที่ร้านเครื่องดื่มเย็นที่อยู่ไม่ไกลและมองหยางเฉินด้วยสีหน้าคาดหวัง
สิ่งที่หยางเฉินทนไม่ได้มากที่สุดคือแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของลูกสาว ต้องตามใจลูกสาวทุกที
“เถ้าแก่ ขอไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ให้ผมหน่อย”
หยางเฉินเดินไปที่ร้านไอศกรีมและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ!”
เถ้าแก่หยิบไอศกรีมสตรอเบอร์รี่สีชมพูให้เสี้ยวเสี้ยวอย่างรวดเร็ว
เสี้ยวเสี้ยวกัดส่วนปลายของไอศกรีม ไอศกรีมสีชมพูเต็มปาก
“คุณพ่อน่ารักที่สุด คุณแม่ไม่ให้หนูกินไอศกรีม”
เสี้ยวเสี้ยวพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
หยางเฉินส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ถ้าให้คุณแม่เห็น เธอต้องเสียใจแน่”
เสี้ยวเสี้ยวหัวเราะคิกคัก “คุณแม่ก็น่ารัก!”
จากนั้นหยางเฉินก็พาเสี้ยวเสี้ยวออกไปเล่นสักพักก่อนกลับบ้าน
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว
“เสี้ยวเสี้ยว กลับมาแล้วเหรอ!”
พอทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“คุณน้าซานซาน หนูคิดถึงคุณน้าจะแย่อยู่แล้ว!”
พอเสี้ยวเสี้ยวเห็นอีกฝ่ายก็วิ่งไปหาด้วยรอยยิ้ม โผเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ
พอหยางเฉินเห็นซูซาน สีหน้าก็เย็นชาลงทันที ผู้หญิงคนนี้มาทำไม?
ในเวลานี้ฉินซีก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับอาหารสองจานในมือ
“ที่รัก กลับมาแล้วเหรอ!”
ฉินซีดีใจมากที่ได้เห็นหยางเฉินกลับมา
หยางเฉินพยักหน้าและถามว่า “แล้วฉินยีล่ะ?”
ฉินซีมีสีหน้าอึดอัด ชำเลืองมองซูซาน แล้วจึงบอกว่า “เธอกลับไปที่ห้องแล้ว!”
ที่ผ่านมาฉินยีไม่ค่อยถูกชะตากับซูซาน พอฉินซีได้รูปถ่ายของหยางเฉินกับซูซานเข้าโรงแรมไปด้วยกันอีก ฉินซีก็ยิ่งไม่พอใจซูซานมากขึ้น
“เสี้ยวเสี้ยว มาหาน้านี่มา!”
ในเวลานี้ ฉินยีได้เดินออกมาจากห้อง พอเห็นเสี้ยวเสี้ยวที่กำลังคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของซูซานอย่างสนิทสนม เธอก็มีสีหน้าไม่พอใจ
“คุณน้า!”
พอเสี้ยวเสี้ยวเห็นฉินยีก็ดีใจมาก รีบโผเข้าหาฉินยี
“น้าเคยบอกหนูหลายครั้งแล้วว่า นอกจากแม่กับเสี่ยวยี ห้ามรับของขวัญจากผู้หญิงคนอื่น หนูลืมไปแล้วเหรอ?” ฉินยีพูดอย่างมีความนัย
เสี้ยวเสี้ยวบุ้ยปาก ชำเลืองมองซูซาน ในมือยังถือตุ๊กตาที่ซูซานให้เธออยู่ แล้วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ “แต่คุณน้าซานซานไม่ใช่คนนอก!”
ฉินยีสีหน้าบึ้งตึง วางเสี้ยวเสี้ยวลงและพูดอย่างโกรธเคือง “โอเค เสียแรงที่น้ารักหนูขนาดนี้ ตอนนี้แม้แต่คำพูดของน้าก็ไม่เชื่อฟังแล้ว”
พอเห็นฉินยีโกรธ ใบหน้าของเสี้ยวเสี้ยวก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจ รีบพูดว่า “คุณน้า เสี้ยวเสี้ยวเชื่อฟัง เชื่อฟังคุณน้า!”
ซูซานเห็นดังนั้นก็เดินไปหาด้วยรอยยิ้ม “เสี้ยวเสี้ยว คุณน้าของหนูพูดถูก บนโลกนี้ นอกจากแม่และน้า ผู้หญิงคนอื่นทุกคนเป็นคนนอก รวมถึงน้าซานซาน ก็เป็นคนนอกเหมือนกัน”
“ฉันกำลังสอนหลานสาวของฉันอยู่ เกี่ยวอะไรคุณด้วย?” ฉินยีตวาดใส่ซูซานด้วยความโกรธทันที
ฉินซีเห็นดังนั้นก็รีบพูดว่า “เสี่ยวยี เธออย่าทำแบบนี้ ซานซานอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“พี่คะ พี่น่ะหลอกง่ายชะมัด คนอื่นคิดจะแย่งสามีของพี่ไป แต่พี่ยังเชื่อคนอื่นอยู่”
ฉินยีพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
จากนั้นเธอก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้อง
ฉินซีก็รู้สึกโมโห “ฉินยี หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ซูซานรีบเข้ามาจับมือฉินซีไว้ พูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฉินซี ฉันไม่ดีเอง วันนั้นฉันน่าจะโทรบอกเธอก่อน คงจะไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างในวันนี้”