“หยางเฉิน แกอย่าบีบข้านะ ข้านี่เป็นพิธีกร พรรคพวกที่รู้จักก็พอตัว แกเชื่อไม่เชื่อว่าเพียงข้าสั่งคำเดียว ก็จะมีพรรคพวกของข้ามาเป็นฝูงกระทืบแก?”
สวีเหว่ยไฉเห็นว่าใช้เงินไม่ได้ผล ก็เอาวิธีข่มขู่ขึ้นมา
แต่ว่า ที่เขาพูด สำหรับหยางเฉิน มันก็ไอ้แค่ลมตด ไม่ได้ทำให้มีอะไรสะเทือน
“หยางเฉิน….”
สวีเหว่ยไฉยังกำลังคิดจะพูดขู่บังคับอะไรอีก หยางเฉินพลันเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้วพูดว่า “ก็ได้ ผมจะให้ความร่วมมือกับคุณ”
เห็นหยางเฉินตอบรับมาในทันใดนั้น สวีเหว่ยไฉรู้สึกพอใจขึ้นมาเต็มหน้า “คนต้องรู้กาละเทศะจึงจะเป็นผู้แน่จริง ต้องอย่างนี้สินะ!ขอให้แกทำให้ดี ๆ นะ ห้าร้อยมันจะเท่าไหร่กัน?ข้าให้แกอีกพันไปเลยเอ้า! ”
สวีเหว่ยไฉจัดแจงยัดห้าร้อยเหรียญนั้นใส่ในมือหยางเฉิน ดีดนิ้วมือเป๊าะ สาวในชุดแซปเวอร์แพนกล้องเข้ามาที่หน้าสวีเหว่ยไฉกับหยางเฉินอย่างรู้งาน
“แฟนคลับทุกท่าน ทำให้ทุกคนเสียเวลารอนานไปหน่อยนะ เพื่อนนักเรียนเก่าของผมคนนี้ ขี้อายไปหน่อย ไม่ยอมจะออกหน้ากล้อง ผมต้องใช้เวลาใช้คารมอยู่มากหน่อย เขาถึงได้ยอมมาเข้ากล้อง”
สวีเหว่ยไฉพูดไปหัวเราะไป “มา ทักทายกับพี่น้องที่อยู่ในรายการถ่ายทอดสดหน่อย!”
หยางเฉิงใส่ความเย้ยเหยียดไว้ที่มุมปาก มองไปที่กล้องพูดว่า “สวัสดีทุก ๆ ท่าน จริง ๆ แล้วผมไม่ใช่เพื่อนนักเรียนเก่าอะไรของเขาเลย และก็ไม่ใช่คนจรจัดอะไรที่ไหน แต่เขาให้เงินผม ขอให้ผมร่วมมือเล่นละครกับเขา เพื่อเรียกขอความเห็นใจจากเพื่อนชาวเน็ตให้กับวงมายาของเขา”
ขณะที่หยางเฉินกำลังพูด ก็ชูแบงค์ที่สวีเหว่ยไฉยัดใส่มือเขามาเมื่อครู่นี้ ยื่นโชว์ไปที่หน้ากล้อง “นี่คือแบงค์ที่เขายัดใส่มือผมมาเมื่อกี้นี้เอง แถมยังบอกว่าถ้าทำได้ดี เสร็จงานถ่ายทอดแล้ว เขายังจะให้ผมอีกหนึ่งพันเหรียญ”
“ปัจจุบันนี้การหลอกขอความเห็นใจ หลอกขอของขวัญของกำนัลบนสื่ออินเตอร์เน็ตมีมากมายหลายรูปแบบ หวังว่าต่อไปพวกเราชาวเน็ตเปิดตาสว่างไว้ อย่าไปให้เขาหลอก”
สวีเหว่ยไฉกับหญิงสาวในชุดแซปเวอร์ตะลึงงง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหยางเฉินจะพูดแบบนี้ออกมา จึงไม่ทันได้ปิดอุปกรณ์ที่กำลังถ่ายทอดสด
“หยางเฉิน แกไอ้บัดซบ กล้าเอากูไปขายได้ กูเอามึงตายแน่!”
สวีเหว่ยไฉที่เต็มไปด้วยความโกรธ ควงหมัดซัดใส่ไปที่หน้าของหยางเฉิง
“ผัวะ!”
หยางเฉินวาดมือไปสบาย ๆ จับคว้าแขนของสวีเหว่ยไฉ ยิ้มเยือก ๆ แล้วพูด “อายจนต้องระบายเป็นโกรธออกมาแล้วสิ?”
“มึงแม่งปล่อยมือกูเดี๋ยวนี้เลย!”
สวีเหว่ยไฉโกรธเหลือกำลังแล้ว คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “แกอย่าคิดว่าไม่มีแก แล้วข้าจะไม่มีปัญญา ข้ามีเงินเว้ย จะหาใครที่มันยากจนมาเล่นละครกับข้ายังไงก็ได้”
“แกไม่รู้หรือว่าตอนนี้หาเงินแบบไหนกำไรดีที่สุด?ข้าจะบอกให้ ก็งานถ่ายทอดสดทางเน็ตนี่แหละ เพราะมีพวกแฟนคลับซื่อบื้อมากมาย แม่งลำพังตัวเองแค่พนักงานกินเงินเดือนกระจอก ๆ กับไอ้พวกเด็กนักเรียนจน ๆ แทบไม่มีจะกินนั่น”
“แค่เพียงข้าแกล้งสร้างเรื่องออกมาหลอกหน่อยเดียว พวกนั้นก็แห่กันมาเหมือนจะหน้าโง่ เอาเงินพวกมันตบรางวัลให้ข้า”
“ไอ้หน้าโง่อย่างแกนี่ รู้ไหมว่าข้าถ่ายทอดสดแต่ละครั้ง รับเงินตบรางวัลจากไอ้พวกเพื่อนชาวเน็ตหน้าโง่พวกนั้นเท่าไหร่?”
“อย่างต่ำก็เป็นแสน!ข้าถ่ายทำแค่ครึ่งปี ก็กวาดเงินรางวัลไอ้พวกแฟนเน็ตหน้าโง่พวกนั้น ซื้อบ้านซื้อรถมาได้แล้ว ไอ้พวกกากเดนอย่างแกนี่ ต่อให้ทั้งชาติก็หาเงินไม่ได้มากอย่างข้า”
สวีเหว่ยไฉตาแดงก่ำคำรามใส่
ความจริงหยางเฉินยังอยากจะลงมือ แต่พอเขามองไปเห็น นังหญิงในชุดแซปเวอร์นั่นยังเปิดอุปกรณ์ถ่ายทอดสดทิ้งไว้อยู่ กล้องก็ยังหันมาทางตัวเขากับสวีเหว่ยไฉ พลันเขาก็เลยไม่คิดลงมือ
“ผมเตือนคุณนะ กลับไปดูแลห้องถ่ายทอดสดของคุณก่อนดีกว่านะ!”
หยางเฉินหาเราะแล้วพูด
“กูจะขออัดมึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน พวกหน้าโง่ในห้องถ่ายทอดสดมันจะมีอะไรน่าดู?” สวีเหว่ยไฉขบเขี้ยวพูด
แต่พอแค่พูดจบ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หันขวับไปมองหญิงที่อยู่ในชุดแซปเว่อร์
“มึงแม่งไม่ได้ปิดระบบถ่ายทอดสดเร๊อะ?”
สวีเหว่ยไฉถามไปพร้อมกับลูกตาที่เบิกโต
หญิงในชุดแซปเวอร์ก็เพิ่งได้สติคืนมา รีบกุลีกุจอปิดเครื่อง แต่ขณะเพิ่งปิดเครื่องลง ก็ได้รับการแจ้งข่าวมาจากฝ่ายหน่วยงานที่อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำ
“เหว่ย เหว่ยไฉ งานฝ่ายหลังฉากแจ้งข่าวมา”
หญิงในชุดแซปเวอร์พูดเสียงสั่น
“เขาส่งข่าวอะไรมา มึงแม่งก็รีบบอกมาสิวะ!” สวีเหว่ยไฉตะคอกถาม
“ฝ่ายงานหลังฉากแจ้งมาว่า บัญชีช่องของคุณ ถูกปิดตายตลอด!”หญิงในชุดแซปเวอร์พูดเสียงสั่น
ในสมองของสวีเหว่ยไฉให้รู้สึกมีเสียงครางดังอื้ออึง ทรุดตัวนั่งงงอยู่กับพื้น “แกว่าอะไรนะ?แฟนคลับของข้าตั้งห้าล้านยอดวิว โดนปิด?ปิดตลอดไปด้วย?”
หญิงในชุดแซปเว่อร์ผงกหัว
“เป็นเพราะมึงอีนางแพศยานี่เอง มึงแม่งแกล้งกู เสือกไม่รู้อีกว่ากำลังถ่ายทอดสด มึงแม่งตั้งใจชัด ๆ เลยใช่มั้ย?” สวีเหว่ยไฉคำรามด้วยความโกรธที่ขึ้นเต็มที่
“สวีเหว่ยไฉ แกบ้าอะไรของแก?อย่าลืมนะมึง กูก็พิธีกรระดับมีแฟนคลับหลายล้าน ตอนนี้บัญชีแกโดนปิดตลอดไป ก็เพราะเมื่อตะกี้ไปด่าว่าพวกแฟนคลับเป็นพวกหน้าโง่ งานนี้ได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งแน่”
หญิงในชุดแซปเวอร์แสยะยิ้มพูดต่อ “ต่อนี้ไปแกจะไปเปลี่ยนชื่อบัญชียังไง คงไม่มีใครจะมาตบรางวัลให้แกอีกแล้ว ไม่แน่ว่าที่แน่ ๆ ต้องโดนปิดบัญชีไปทุกเวทีตลอดไป”
“เมื่อโดนปิดบัญชีไป สัญญาที่เซ็นไว้กับบริษัทถ่ายทำรายการสดต่าง ๆ ก็ต้องถูกฟ้องเรื่องผิดสัญญา ทีนี้ต่อให้แกขายรถขายบ้านไปหมด ก็ไม่พอที่แกจะไปใช้หนี้ได้หมด”
“แกไม่คิดขอร้องให้ฉันช่วย ยังกลับกล้ามาตะคอกใส่ข้าอีกรึ?ฉันจะขอประกาศเดี๋ยวนี้เลยว่า ฉันเขี่ยแกทิ้งแล้ว บ๋ายบายนะท่าน!”
พูดจบ หญิงในชุดแซปเวอร์นั่นหันกลับเดินออกไปเฉย
สวีเหว่ยไฉจึงได้รู้สึก การที่บัญชีถูกปิดในครั้งนี้ จะยังผลรุนแรงหนักหนามาให้เขาขนาดไหน
“หยางเฉิน เพราะแก เพราะแกไอ้บัดซบ แกถล่มแฟนคลับของข้าล่มไปหมดทั้งห้าล้านบัญชี กูเอามึงตายคราวนี้แหละ!”
สวีเหว่ยไฉโกรธระเบิดสุด ๆ แล้ว แยกเขี้ยวเงื้อแขนพุ่งเข้าใส่หยางเฉิน
“ปึง!”
ยังไม่ทันที่เขาจะแตะถูกตัวหยางเฉิน ก็โดนขาของหยางเฉินเตะสวนออกไป “สวีเหว่ยไฉ ถ้าแกยังขืนวุ่นวายมาตอแยกับข้าอีก ก็อย่ามาว่าข้าทำรุนแรงนะ”
สวีเหว่ยไฉคลานลุกขึ้นมาจากพื้น แววตาเต็มไปด้วยความเดือดแค้น “หยางเฉิน ข้าจะไม่ปล่อยแกเด็ดขาด”
กับการข่มขู่ของสวีเหว่ยไฉ หยางเฉินไม่ได้คิดใส่ใจเลย เพียงพูดเสียงเรียบ ๆ ไปว่า “ในฐานะเคยเป็นเพื่อนเก่า ข้าขอเตือนแกว่าทีหลังทำตัวให้เป็นคนมีจิตใจที่ดีบ้าง!”
สวีเหว่ยไฉไม่พูดอะไรต่อ ถลึงตาจ้องใส่หยางเฉิน หันหลังเดินจากไป
หยางเฉินก็รู้ว่าเมื่อครู่นี้สวีเหว่ยไฉไม่ได้ฟังเข้าหู ได้แต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
และในขณะนั้นเอง เสียงก้าวเท้ากันพัลวันดังเข้ามา แล้วก็มีเสียงพูดตามมา “คุณหยางครับ ต้องขออภัยที่ปล่อยให้ท่านรอเสียนาน!”
หานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานนั่นเอง และยังมีเฉินซิงไห่ก็ตามมา
ต่างคนก็มีพาคนเข้ามาด้วย หานเซี่ยวเทียนพาหานเยี่ยนมา กวนเจิ้งซานมากับกวนเสว่ซง เฉินไห่มากับเฉินเห้า
ว่าไปแล้ว พวกคนเฒ่าเหล่านี้ล้วนแต่ได้วางมือปล่อยให้คลื่นลูกใหม่แล้ว เวลานี้หานเยี่ยน กวนเสว่ซง กับเฉินเห้าจึงจะใช่ผู้นำตระกูลของแต่ละตระกูล
หยางเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะแล้วพูดว่า “เวลานัดคือแปดโมง ตอนนี้แค่เจ็ดโมงครึ่ง ผมมาก่อนเวลา คนที่จะต้องขอโทษ ก็ต้องผมนะ”
โดยการนำของเฉินซิงไห่ ทั้งหมดตรงเข้าไปในองราชาของร้านอาหารแซ่เฉิน
หยางเฉินนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ หานเซี่ยวเทียนกับเฉินซิงไห่นั่งด้านซ้ายและขวาคนละข้างของหยางเฉิน กวนเจิ้งซานนั่งข้างหานเซี่ยวเทียน ต่อจากนั้นจึงเป็นหานเยี่ยนกับเฉินเห้า และกวนเสว่ซงอีกคน
ส่วนเฉินอิงเหา ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเฉิน ยังไม่มีสิทธิ์เข้านั่งร่วมโต๊ะด้วย ได้แต่ยืนข้าง ๆ คอยเสิร์ฟเครื่องดื่มให้บรรดาเหล่าผู้ใหญ่ในวง