เขานึกถึงความเป็นไปได้ที่หลากหลาย แต่นึกไม่ถึงอวี๋เหวินปิงเลย
“นักข่าวหลายคนที่ถูกพาตัวออกไปได้ชี้แจงว่า มีคนให้เงินก้อนหนึ่งแก่พวกเขา ให้พวกเขาเปิดโปงเรื่องอุบัติเหตุของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป”
“และคนที่ให้เงินพวกเขาก็ชื่อเฉินจื้อ เป็นคนของอวี๋เหวินปิง”
“เมื่อครู่นี้เราได้พบเฉินจื้อ แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว”
หม่าชาวมีสีหน้าเคร่งเครียด เขากล่าวว่า “ญาติของคนงานทั้งสองที่ตกลงมาเสียชีวิตได้ชี้แจงกับทางตำรวจแล้ว เฉินจื้อได้ให้เงินพวกเขาเพื่อให้ไม่ยอมรับการประนีประนอมใดๆ”
“นอกจากนี้เฉินจื้อยังให้เงินมัดจำพวกเขาไว้แค่หนึ่งแสน บอกว่าถ้าสามารถทำให้เรื่องราวใหญ่โตได้ หลังจากเสร็จเรื่อง จะให้พวกเขาทุกคนอีกคนละหนึ่งล้าน”
“ยังมีนักฆ่าประตูนรกเป็นคนกระดูกแข็ง ใช้ทุกวิธีแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยนายจ้าง”
“แต่จากการที่เฉินจื้อมีการติดต่อกับญาติผู้ตายและนักข่าวเหล่านั้น ก็เป็นที่ชัดเจนว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การบงการของอวี๋เหวินปิง นักฆ่าประตูนรกก็อาจจะเป็นฝีมือของอวี๋เหวินปิงด้วยเช่นกัน”
“แต่หลักฐานทั้งหมดได้ชี้ไปที่เฉินจื้อ เขาถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นฝีมือของอวี๋เหวินปิง”
หยางเฉินไม่พูดอะไร เขาหลับตาและเอนศีรษะพิงกับเก้าอี้ มีอาการปวดเล็กน้อยที่ใบหน้า
เรื่องที่หม่าชาวพูด ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใดๆ อีก มันพิสูจน์ได้แล้วว่าอวี๋เหวินปิงเป็นคนบงการเรื่องราวทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง
ครู่ใหญ่หยางเฉินจึงลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วพูดเยาะเย้ยตัวเอง “พี่ใหญ่ของฉันคนนี้ ไม่เคยหยุดคิดฆ่าฉันเลย!”
เขารู้อยู่แล้วว่าอวี๋เหวินเกาหยางไม่ได้เป็นพ่อของตน ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ กับอวี๋เหวินปิง
แต่ตอนที่เขาเด็กๆ ถึงอย่างไรก็ได้เติบโตขึ้นมาในตระกูลอวี๋เหวิน
ที่ผ่านมาเขาเห็นอวี๋เหวินปิงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตนมาโดยตลอด
แต่อวี๋เหวินปิงไม่เคยเห็นตนเองอยู่ในสายตา ตรงกันข้ามกลับพยายามเล่นงานเขาทุกวิถีทาง
ตอนนี้เขายังต้องการชีวิตของตนด้วย
ในใจหยางเฉินรู้สึกย่ำแย่ ไม่ว่าจะอย่างไรตระกูลอวี๋เหวินก็มีบุญคุณที่ชุบเลี้ยงเขามา
ตอนนี้อวี๋เหวินเกาหยางยังถูกตัวเขาทำให้เดือดร้อนไปด้วย ยังอยู่ในห้องไอซียูไม่ฟื้นขึ้นมา
“พี่เฉิน ผมรู้ว่าคุณมีความผูกพันลึกซึ้งกับตระกูลอวี๋เหวิน ต้องข่มใจไม่ให้ทำร้ายคนของตระกูลอวี๋เหวิน”
จู่ๆ หม่าชาวก็พูดขึ้นมา “ความจริง มีหลายเรื่องที่ผมสามารถไปทำแทนคุณได้”
หยางเฉินส่ายหน้า “ปล่อยเขาไปก่อน ทุกอย่างรอให้อวี๋เหวินเกาหยางฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน”
หยางเฉินรู้สึกสำนึกในบุญคุณที่อวี๋เหวินเกาหยางชุบเลี้ยงมา แต่จู่ๆ จะให้เขาปล่อยวางอคติที่มีต่ออวี๋เหวินเกาหยางไป มันก็ยังคงเป็นเรื่องยาก
ถึงแม้ว่าอยากจะลงมือจัดการอวี๋เหวินปิงเท่าไร อย่างน้อยก็ต้องรอให้อวี๋เหวินเกาหยางฟื้นขึ้นมาก่อน เพื่อดูว่าเขาจะจัดการอย่างไร
ผ่านไปครู่ใหญ่จู่ๆ หม่าชาวก็ถอนหายใจออกมา “พี่เฉิน คุณเปลี่ยนไป!”
“บางทีแม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่ทันสังเกตเห็น ตั้งแต่ออกมาจากชายแดนเหนือ ความห้าวหาญของคุณก็ค่อยๆ จางหายไป”
“ตอนนี้คุณให้ความสำคัญกับความรู้สึก แต่คนบางคนก็ไม่สมควรที่จะได้รับความเมตตาจากคุณ”
“คุณน่าจะรู้ดีว่า ในสนามรบ ถ้าคุณแสดงความเมตตากับศัตรู นั่นก็คือความโหดร้ายกับตัวเอง จนถึงขนาดต้องจ่ายด้วยชีวิตตัวเอง”
หม่าชาวมีอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย “มันไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋เหวินปิงต้องการชีวิตของคุณ ถ้าคุณยังปล่อยเขาไปอีก ใครจะรู้ว่าต่อไปเขาอาจจะทำเรื่องบ้าบิ่นขึ้นมาอีกก็ได้”
หยางเฉินนิ่งเงียบไม่พูดจา แต่บนสีหน้ากลับมีร่องรอยของความเจ็บปวด
เขารู้ว่าสิ่งที่หม่าชาวพูดนั้นถูกต้อง แต่เขาทนไม่ได้ที่จะลงมือฆ่าสายเลือดเพียงคนเดียวของอวี๋เหวินเกาหยาง
เขาเกลียดอวี๋เหวินเกาหยางมากว่า 20 ปี อวี๋เหวินเกาหยางไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา แต่เขาได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อปกป้องเขากับแม่
นี่คือสิ่งที่เขาติดหนี้อวี๋เหวินเกาหยาง หากเขาฆ่าสายเลือดเพียงคนเดียวของอวี๋เหวินเกาหยาง มันจะโหดร้ายเกินไปสำหรับอวี๋เหวินเกาหยางหรือเปล่า?
“เอาล่ะ เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้!”
ผ่านไปครู่ใหญ่หยางเฉินจึงเอ่ยปากขึ้น ในคำพูดเต็มไปด้วยการตักเตือน
หม่าชาวถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก
คฤหาสน์ตระกูลอวี๋เหวิน ภายในคฤหาสน์อันหรูหรา
อวี๋เหวินปิงนั่งอยู่บนโซฟาที่แสนสะดวกสบาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ภายในห้องยุ่งเหยิง ข้าวของสารพัดถูกโยนลงบนพื้น
ชายวัยกลางคนกำลังยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ สีหน้ายังมีความหวาดกลัว
“ไอ้เศษสวะ! พวกแกมันพวกเศษสวะ!”
อวี๋เหวินปิงคำราม “วางแผนเสียดิบดี แต่กลับถูกพวกแกทำพังหมด!”
“เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเป็นของฉัน! มันต้องเป็นของฉันเท่านั้น!”
“แต่ตอนนี้ฉันจ่ายไปมากมายแล้ว แต่กลับคว้าได้แต่น้ำเหลว”
ชายวัยกลางคนรีบพูดขึ้น “คุณชายปิง วันนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางพลาดแน่ๆ”
“ถึงอย่างไรแม้แต่นักฆ่าประตูนรก พวกเราก็ได้เชิญมาแล้ว แต่ตอนนี้เราไม่สามารถติดต่อกับนักฆ่าประตูนรกได้เลย”
“แม้กระทั่งพวกนักข่าวที่เราซื้อตัวไว้ก็หายไปหมด มันไม่ปกติแล้ว”
“ไม่งั้น คุณออกไปหลบดูสถานการณ์ก่อนดีไหม?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายวัยกลางคนพูด สีหน้าของอวี๋เหวินปิงก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น เขาพูดอย่างโกรธเคือง “เศษสวะก็ยังเป็นเศษสวะอยู่วันยังค่ำ! ล้มเหลวก็คือล้มเหลว! อย่ามาหาข้อแก้ตัวกับฉัน!”
“ไปหลบดูสถานการณ์? ฉันต้องหลบดูสถานการณ์อะไรอีกเหรอ?”
ได้ยินดังนั้นชายวัยกลางคนก็ไม่กล้าพูดโน้มน้าวอีก แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
เรื่องที่เกิดขึ้นในสถานที่ก่อสร้างของโครงการเมืองจิ่วโจว ถูกข่มขู่ว่าต้องเป็นความลับ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่น
จนกระทั่งตอนนี้ อวี๋เหวินปิงก็ยังไม่รู้ว่าทำไมนักข่าวที่พวกเขาซื้อตัวไว้ได้หายตัวไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณชายปิง ดูท่าไม่ดีแล้วครับ!”
ในเวลานี้ ชายอ้วนในชุดสูท หุ่นอ้วนท้วนกลมดิ๊กเหมือนลูกบอลได้รีบจ้ำเข้ามา
“นักข่าวของเมืองเยี่ยนตูทั้งหมดถูกทางตำรวจควบคุมตัวไว้ ยังมีญาติของผู้ตายก็ถูกพาตัวไปสอบสวนด้วย”
ชายอ้วนกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ว่ากันว่านักข่าวและญาติของผู้ตายได้ให้การว่า เฉินจื้อให้เงินแก่พวกเขาและขอให้พวกเขาทำเช่นนั้น”
“ไม่เพียงเท่านี้ ทางตำรวจได้พบศพของเฉินจื้อแล้ว”
“ว่ากันว่าทางตำรวจกำลังเดินทางมาที่ตระกูลอวี๋เหวิน เพื่อเรียกตัวคุณไปสอบสวน”
คำพูดของชายอ้วนทำให้ดวงตาของอวี๋เหวินปิงเบิกกว้างขึ้นทันที
“แกพูดอะไรนะ? พวกเขาทั้งหมดถูกทางตำรวจพาตัวไปสอบสวนแล้ว?”
อวี๋เหวินปิงโกรธจัด “ญาติของผู้ตายถูกพาตัวไปก็ช่างมันเถอะ แต่นักข่าวก็ถูกพาตัวไปด้วยงั้นเหรอ?”
“พวกเขาไม่กลัวว่าทำแบบนี้จะทำให้นักข่าวเหล่านั้นเปิดโปงพวกเขาเหรอ?”
ชายอ้วนส่ายหน้าและพูดด้วยสีหน้าประหม่า “เรื่องนี้มันมีเลศนัย ดูเหมือนว่าจะพุ่งเป้ามาที่พวกเราเป็นพิเศษ นักข่าวเหล่านั้นที่ถูกนำตัวไปสอบสวน ทั้งหมดเฉินจื้อเป็นคนจัดการ”
“ส่วนนักข่าวคนอื่นๆ ก็ดี แม้ว่าพวกเขาจะได้รับเงินจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ยอมบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่ก่อสร้างของโครงการเมืองจิ่วโจว”
“ผมมีความรู้สึกว่ามีมือมืดคอยจัดการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง!”
ทันทีที่ชายอ้วนพูดจบ ชายในเครื่องแบบหลายคนก็เดินเข้ามา นำโดยกงเจิ้งซึ่งอยู่ในสถานที่ก่อสร้างของโครงการเมืองจิ่วโจวก่อนหน้านี้
“สวัสดีครับ นี่คือหมายเรียก กรุณาไปกับเราด้วยครับ!”
กงเจิ้งก้าวไปข้างหน้า หยิบหมายเรียกออกมาและกล่าวกับอวี๋เหวินปิง