ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 1962 : ความผิดปกติของเรนไน

ตอนที่ 1962 : ความผิดปกติของเรนไน

  สำหรับฉิวหวังแล้วทะเลบรรพกาลนั้นคือที่ที่เขาไม่รู้จัก ไม่นานแสงลึกลับด้านนอกนั้นทำให้พอมองเห็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่ได้ แต่เสียง การรับรู้รวมถึงพลังของเขากลับโดนผนึกไว้ในม่านแสงไม่อาจจะทำอะไรได้

  ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัว เขาตะโกนและสบถรวมถึงร้องขอความเมตตา แต่มันกลับไม่มีใครตอบรับเลยแม้แต่น้อย

  ….

  จางลู่และคนอื่นๆทำงานกันได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ได้รับข้อความจากจางหยู พวกเขาก็ได้ติดต่อหาซื่อเซียว หลังจากที่ได้รายชื่อมาแล้ว พวกเขาก็ได้ออกเดินทางไปยังเขตซื่อเซียว, เย่าหยาง, หว่ายเก่อและอู่หมิง พวกเขาจะไปรับแม่ทัพในรายเชื่อกลับมายังทะเลบรรพกาล

  ในตอนที่จางลู่และคนอื่นๆเดินทางนั้น ร่างแยกของจักรพรรดิก็ได้เรียกเหล่าแม่ทัพมายังมิติภายนอกไว้รอยู่แล้ว จางลู่ และคนอื่นๆแค่สร้างวังวนและส่งพวกนั้นเข้าไปยังทะเลบรรพกาลก็เท่านั้น ซึ่งมันช่วยลดปัญหาอย่างมาก

  หลังจากที่รับแม่ทัพทั้งหมดมาแล้ว พวกเขาก็รีบกลับมาทำการบ่มเพาะกันต่อ

    จักรพรรดิ !  ในทะเลบรรพกาล กลุ่มแม่ทัพต่างก็พากันทำความเคารพเหล่าจักรพรรดิ

  บางคนเป็นแม่ทัพของเหล่าจักรพรรดิ บางคนเป็นแม่ทัพที่ไม่มีสังกัด ท่าทีของพวกเขาต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันคือความตะลึงในใจ พวกเขาไม่อยากจะออกจากทะเลโกลาหล แต่เพราะคำสั่งของจักรพรรดิ พวกเขาจึงไม่กล้าจะปฏิเสธ

  ยังไงซะพวกเขาก็มีเพื่อนและครอบครัวอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่อยากทิ้งเพื่อนและครอบครัวมาหลบอยู่เพียงลำพัง หากจักรพรรดิกุยหลิงกลับมาและโจมตีทะเลโกลาหล งั้นพวกเขาก็ขอตายไปกับเพื่อนและครอบครัวจะดีกว่าที่จะมาซ่อนตัวที่ทะเลบรรพกาลอย่างขี้ขลาดแบบนี้

  ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมตาย แต่ก็มีไม่น้อย อย่างน้อยก็มี 1 ใน 3

  โชคดีที่การแข่งขันใกล้จะมาถึงแล้ว เวลา 3 ล้านปีไม่ใช่เวลาที่ยาวนานนัก พวกเขาสามารถอดใจรอได้

  ซื่อเซียวไม่ได้สนใจความคิดของแม่ทัพ เขาพูดขึ้นมา   ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม พวกเจ้าจะต้องอยู่ในทะเลบรรพกาลห้ามออกไปไหน หลังจากที่การต่อสู้จบลง หากพวกเจ้าอยากกลับเข้ามาในทะเลบรรพกาลอีก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว 

  ทะเลบรรพกาลนั้นไม่ได้เข้าออกได้ตามใจ แม้แต่เหล่าจักรพรรดิก็ยังเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อที่จะเข้ามา

  แต่ตอนนั้นก็มีชายหนุ่มผมสีทอง ซึ่งดูโดดเด่นกว่าแม่ทัพคนอื่นๆ เขาไม่ใช่แค่ยังดูเด็ก…แต่ยังดูน่าทึ่งอีกด้วย  สำหรับแม่ทัพแล้ว ฐานะของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิมากนัก

  ทั้งทะเลโกลาหลนั้นนอกจากจักรพรรดิทั้งเก้าแล้ว ชายหนุ่มนคนนี้ถือว่าอยู่สามอันดับแรก !

  ในฝั่งมนุษย์นั้นบอกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้โด่งดังที่สุดก็ว่าได้ !

  เขาคือเรนไน แม่ทัพอันดับหนึ่งของฝั่งโกลาหล เขาคือคนที่อาจจะเป็นแม่ทัพสูงสุด !

  นอกจากเรนไนแล้ว มันยังมีแม่ทัพอีกสองคนที่คิดว่าจะขึ้นไปเป็นแม่ทัพสูงสุดแล้วแต่ความโด่งดังของทั้งสองก็ด้อยกว่าเรนไน ผลงานเองก็ด้อยกว่าเช่นกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองเคยสู้กับเรนไนมาแล้วแต่ก็พ่ายแพ้กลับไป

  ตอนนั้นเรนไนดูเหม่อลอย จิตของเขาสั่นไหวแต่ก็ยากจะสังเกตเห็นได้

  ตอนที่เข้ามาในทะเลบรรพกาลเขารู้สึกได้ว่าจิตนั้นสั่นไหว เขารู้สึกสับสน เขารากับว่ามีบางอย่างเรียกเขาอยู่ ความรู้สึกนี้ชัดเจนอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ดั่งนั้นเขาจึงเหม่อไปเช่นนี้

  แต่หว่านเก่อกลับสังเกตเห็นทันที

  ซื่อเซียวคิ้วขมวดและมองไปที่เรนไน ก่อนจะพูดว่า   เรนไน เจ้ามีความเห็นอะไรรึไม่ ? 

    ไม่  เรนไนตอบกลับอย่างใจเย็น

  ท่าทีของเขาเย็นชาอย่างมาก คำพูดของเขาเหมือนไม่เคารพจักรพรรดิมากนัก แม่ทัพคนอื่นๆนั้นต่างกันออกไป หากคนอื่นต้องตอบคำถามของจักรพรรดิเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิคงต้องโกรธ แต่การที่เรนไนตอบคำถามเช่นนี้ ซื่อเซียวกลับไม่ได้แปลกใจเพราะเรนไนนั้นคือแม่ทัพสูงสุดและเป็นคนของหว่านเก่อ หากซื่อเซียวกล้าหาเรื่องเรนไน งั้นอาจจะทำให้หว่านเก่อไม่พอใจ

    งั้นก็แยกย้ายได้แล้ว  หว่านเก่อพูดขึ้นมา   เหลืออีก 3 ล้านปี ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด    เย่าหยางและอู่หมิงมองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้สนใจที่จะคัดค้านอะไร

  ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปเหลือแค่เหล่าจักรพรรดิ

    สภาพของเรนไนดูผิดปกติ  ซื่อเซียวมองไปที่หว่านเก่อแล้วพูดขึ้นมา

  หว่านเก่อรู้ว่าเรนไนผิดปกติ แต่นางเชื่อมั่นในตัวเรนไนอย่างมาก  ผิดปกติรึไม่แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า เรนไนเป็นคนของข้า ซื่อเซียว เจ้าคิดว่าเจ้าจะควบคุมทุกอย่างรึไง ? 

  ซื่อเซียวเงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้นมา   ข้าแค่เตือนเจ้า เมื่อเจ้าไม่ใส่ใจ งั้นข้าก็จะไม่พูด 

  เมื่อเห็นบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนขึ้นมา เย่าหยางก็กระแอมแล้วขัดขึ้นมา   อย่าเพิ่งสนใจเขาเลย ภารกิจของเราตอนนี้คือต้องไปหาจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลไม่ใช่รึ ? ข้าได้ทดลองมาก่อนแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพื้นที่ที่มีม่านแสงจำกัดเอาไว้ เราไม่อาจจะออกจากม่านแสงไปได้ อีกสามทางนั้นไม่อาจจะเข้าออกได้ มีแค่ทางเดียวที่เข้าออกได้ มันคือทางที่เข้าไปหาคังเฉียง 

    ชัดแล้วว่าจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลไม่ได้อยู่ที่นี่  อู่หมิงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น   ม่านแสงนี้อาจจะสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิของทะเลบรรพกาล บางทีอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแต่เราน่ะไม่อาจจะเดินทางออกจากม่านแสงนี้ได้ 

    หากจะหาจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลให้พบแล้ว งั้นเราก็ต้องผ่านม่านแสงไปให้ได้ …มันแค่ว่าเราไม่อาจจะทำได้ 

    บางทีอาจจะมีทางสแต่เขาคงไม่ช่วยเรา 

  นี่คือปัญหาที่แก้ไม่ตก !

    เพื่อที่จะได้พบกับจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล เจ้าต้องหาทางอื่น บางทีเราควรเปลี่ยนความคิด เมื่อเราไม่อาจจะผ่านม่านแสงนี้ไปได้เพื่อหาตัวจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล งั้นทำไมเราไม่หาทางให้จ้าวแห่งทะเลบรรพกาลมาหาเราแทน ? 

  เย่าหยางและคนอื่นๆพากันมองไปที่ซื่อเซียวด้วยสีหน้าตะลึง ซื่อเซียวกลับกล้าคิดแบบนี้ จ้าวแห่งทะเลบรรพรกาลเป็นคนแบบไหนกัน ? มันเป็นไปได้ด้วยรึที่คนระดับนั้นจะมาหาพวกเขา ?

  ต้องรู้ก่อนว่าหากเทียบกับจ้าวแห่งทะเลโกลาหลที่เป็นผู้สร้างเหนือกว่าจักรพรรดิกุยหลิงแล้ว จ้าวแห่งทะเลบรรพกาลนั้นเดาว่าแม้แต่จักรพรรดิกุยหลิงก็ยังไม่อยู่ในสายตา นี่ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิอย่างพวกเขาเลยไม่ใช่รึ ?

    หากไม่ลองแล้วใครจะไปรู้ ? นอกจากนี้พวกเจ้าคิดหาทางอื่นได้รึ ? 

  ทุกคนพากันเงียบไป

  แม้ว่าจะมีความคิด แต่แผนการของพวกเขาก็ไม่อาจจะเป็นไปได้ ในทางกลับกันแล้ววิธีของซื่อเซียวนั้นแม้ว่าจะฟังดูเกินจริงแต่ก็มีโอกาสสำเร็จ แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม

    ข้าเสนอว่าจากวันนี้ไปข้าจะทำการอ้อนวอนทั้งวันทั้งคืน บางทีจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลอาจจะรับรู้ได้ …  ซื่อเซียวพูดขึ้น  เรามาจากทะเลโกลาหล เรามีข้อได้เปรียบที่ทะเลบรรพพกาลไม่มี ยกตัวอย่างเช่นระดับการบ่มเพาะของเรา, สมบัติของทะเลโกลาหล บางทีอาจจะใช้มันกับทะเลบรรพกาลได้  เขามองไปที่เย่าหยางและคนอื่นๆ   เราอาจจะต้องใช้ลูกปัดจิตมาแลกเพื่อที่จะให้จ้าวแห่งทะเลบรรพกาลมาที่นี่ ! 

    เจ้าทุ่มสุดตัวจริงๆ หากได้พบกับจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลได้และได้รับการยอมรับจากเขา งั้นไม่ต้องพูดถึงลูกปัดจิตเลย แม้ว่าจะต้องเสียไปทั้งเขตก็ไม่ใช่ปัญหา  เย่าหยางพูดขึ้นมา   แค่ว่าจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลจะสนใจของพวกนี้จรงิๆรึ? 

    ก็ต้องลองดูแต่เรื่องนี้ไม่อาจจะให้คังเฉียงรู้ได้  เย่าหยางพึมพำออกมา

  พวกเขาต้องระวังตัว แต่พวกเขาก็กังวลว่าหากจางหยูรู้เรื่องนี้ก็อาจจะทำลายแผนของพวกเขา

    งั้นก็ตกลงตามนี้  เย่าหยางเห็นด้วยกับคำพูดของซื่อเซียว เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น  หว่านเก่อลังเลและพูดขึ้นมา   ตกลงเช่นนี้ก็ได้ แต่ข้าต้องขอตัวสักพัก พวกเจ้ารอกันที่นี่ก่อน 

  เมื่อนางพูดจบ คนอื่นๆยังไม่ทันได้พูดอะไร หว่านเก่อก็เปลี่ยนเป็นลำแสงแล้วพุ่งไปทางที่เรนไนจากไปทันที… 

 

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท