บนถนนที่หยางเฉินกำลังรีบกลับมาร้านอาหารแซ่เฉิน ฉินซีก็ขึ้นรถของเย่ฝานแล้ว
“เย่ฝาน หยางเฉินบอกว่า ให้พวกเราอยู่ที่เดิมก่อนไม่ต้องขยับ เขาใกล้จะมาถึงแล้ว”
ฉินซีบอกกับเย่ฝาน
เย่ฝานสายตาเปล่งประกาย ทันใดนั้นหัวเราะตอบว่า “หยางเฉินยังใส่ใจเธอจริงๆ ให้ฉันไปส่งเธอ นึกไม่ถึงยังไม่วางใจ”
ฉินซีรีบพูดอธิบายว่า “ไม่ใช่นะ มีคนอยากลักพาตัวฉัน หยางเฉินไม่วางใจ ถึงรีบตามมา”
ฉินซียังกำลังอธิบาย ใครจะรู้เย่ฝานสตาร์ทรถแล้วขับออกไปช้าๆ
“เย่ฝาน พี่รีบหยุดรถก่อน! สถานการณ์ของพวกเราอันตรายมาก รอหยางเฉินมาแล้ว พวกเราจะปลอดภัยกัน”
ฉินซีรีบห้ามไว้ทันที
เพียงแต่ เย่ฝานลูกพี่ลูกน้องที่สุภาพเรียบร้อยในสายตาเธอ เวลานี้คาดไม่ถึงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่พูดไม่จา มือทั้งสองกุมพวงมาลัยไว้แน่น เท้าเหยียบคันเร่งลงสุดแล้ว
รถที่พวกเขานั่งอยู่ คาดไม่ถึงขับเร็วมาตลอด
จนกระทั่งวินาทีนี้ ฉินซีถึงสำนึกอะไรขึ้น ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าซีดเซียวถึงขีดสุด “เย่ฝาน พี่คือคนที่อยากลักพาตัวฉันคนนั้น ถูกต้องมั้ย?”
“เย่ฝาน สรุปพี่เป็นใครกันแน่? ทำไมต้องทำแบบนี้?”
ฉินซีถามด้วยหน้าตาโกรธเคือง ขณะเดียวกัน เอามือข้างหนึ่งค่อยๆ ยัดเข้าในกระเป๋าถือ พยายามต่อสายโทรศัพท์หาหยางเฉิน
เธอนำหมายเลขของหยางเฉินจัดไว้เป็นอันดับแรกของรายชื่อ ต่อให้เธอไม่ดูมือถือ ก็สามารถต่อสายหาหยางเฉินได้
ถึงแม้เธอจะกำลังสอบถามเย่ฝาน แต่ในใจกลับประหม่าถึงขั้นสุดแล้ว กลัวถูกเย่ฝานจับได้
แต่ทว่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเธอ ก็หนีไม่พ้นสายตาของเย่ฝาน
“ถ้าไม่อยากตาย ดีที่สุดเธออย่าเคลื่อนไหวใดๆ”
เย่ฝานไม่หันหน้ามาสักนิด ดวงตาทั้งสองเพียงจ้องอยู่ด้านหน้า พูดจาด้วยเสียงเย็นชา “เอามือถือโยนออกไปนอกหน้าต่าง”
มือที่ฉินซีเพิ่งยื่นเข้าในกระเป๋าถือ แข็งค้างฉับพลัน อย่างไรเสียเธอก็นึกไม่ถึงว่า การกระทำเล็กน้อยของตนเอง ถูกพบเข้าแล้ว
“หยุดรถ! หยุดรถเดี๋ยวนี้!”
ฉินซีรู้ว่าความแตกแล้ว อยากโทรศัพท์หาหยางเฉินอีก คงเป็นไปไม่ได้แล้ว จึงนำกระเป๋าถือทุบเข้าไปยังศีรษะของเย่ฝานสักหน่อย
“ป้าบ!”
เพียงแค่ กระเป๋าถือยังทุบไม่โดนเย่ฝาน ข้อมือของฉินซีถูกมือข้างหนึ่งที่เย่ฝานยื่นออกมากะทันหันจับไว้
เย่ฝานยังคงไม่ได้มองฉินซี ทันใดนั้นแย่งกระเป๋าถือของฉินซีไป โยนออกไปจากด้านนอกกระจกโดยตรง
ฉินซีหมดหวังถึงที่สุด ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เธอสามารถติดต่อกับหยางเฉินก็คือมือถือ ตอนนี้มือถือถูกทิ้งออกนอกกระจกแล้ว ทุกอย่างจบเห่แล้ว
“ไม่ใช่! นายไม่ใช่เย่ฝาน!”
“ถึงแม้ฉันกับเย่ฝานจะสนิทกันได้ไม่นาน ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
“โดยเฉพาะ รายละเอียดการกระทำบางอย่างของเขา ฉันคุ้นเคยอย่างมาก รายละเอียดการกระทำบางอย่างของนาย เดิมทีไม่เหมือนกับเย่ฝาน”
ฉินซีจ้องเย่ฝานไว้ ทันใดนั้นพูดจาแบบท่าทางตื่นตกใจ
หลังจากเพิ่งขึ้นรถ เธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติของเย่ฝาน แต่หลังใจเย็นลงมา ถึงค่อยๆ พบเห็นการกระทำของเย่ฝานมากมายแล้ว
คำพูดของคนคนหนึ่งอาจจะปลอมกันได้ แต่รายละเอียดการกระทำบางอย่างในชีวิต กลับไม่มีทางปลอมแปลงได้
ตอนนี้ฉินซีแทบจะมั่นใจได้ว่า เย่ฝานคนนี้ ไม่ใช่เย่ฝานคนนั้นที่กินข้าวด้วยกันกับเธอก่อนหน้านี้
หลังได้ยินคำพูดของฉินซี ชั่วขณะนั้นเย่ฝานขมวดคิ้วขึ้นมา นี่ถึงมองฉินซีแวบหนึ่งแล้ว
แต่ว่าแค่แวบหนึ่ง ก็เก็บสายตากลับ ความเร็วของรถยิ่งไวกว่าเดิม ทิวทัศน์สองข้างทาง ผ่านไปข้างหลังรวดเร็วเต็มที่
“แม่หนู สายตาไม่เลวนะ นึกไม่ถึงยังมองออกด้วยว่าฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ”
เสียงที่แปลกหน้า และแก่หง่อมเสียงหนึ่ง ดังขึ้นจากในปากของ“เย่ฝาน”ทันใด
เขาถือโอกาสดึงบนหน้า หน้ากากหนังคนอันหนึ่งถูกฉีกทิ้ง เผยใบหน้าที่ดูมีอายุใบหนึ่งออกมา
ทันใดนั้นฉินซีอ้าปากกว้าง หน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ถึงแม้เธอจะเดาได้แล้วว่า คนผู้นี้ไม่ใช่เย่ฝาน แต่ตอนที่เธอได้ยืนยันด้วยตาตนเอง ยังตื่นตกใจอย่างมาก
“นาย นายเป็นใครกันแน่?”
ฉินซีพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา
คนที่ขับรถเป็นคนแก่ผมหงอก แต่ไม่มีความเมตตาใจดีของผู้อาวุโสสักนิด บนหน้าเหมือนเหลือแผลเป็นหลังถูกไฟไหม้ไว้ เต็มไปทั่วหน้า
นี่คือคนที่หน้าเสียโฉมทั้งหมด
“ฉันไม่มีชื่อไม่มีแซ่ คนเรียกฉันว่ากุ่นเจี้ยนโฉว”
เห็นได้ชัดว่ากุ่นเจี้ยนโฉวเป็นเพียงคำเรียกเท่านั้น น้ำเสียงของเขาแหบแห้งอย่างมาก บวกกับหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนี้ ดูขึ้นมาแล้วดุร้ายมาก
หน้าตานี้ กับคำเรียกอันนี้ เหมาะสมกันมากเสียจริง
“หยุดรถ! นายหยุดรถให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
ฉินซีไม่สนใจความกลัวอะไร เอามือทั้งสองจับเข้าไปทางพวงมาลัย
กุ่นเจี้ยนโฉวสับมือลงมาทีหนึ่ง ฉินซีตาลายสักครู่ ก่อนจะสลบลงไปโดยตรง ศีรษะพิงบนพนักด้านหลังแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หยางเฉินก็รีบกลับมาที่ร้านอาหารแซ่เฉิน
แต่พอเขาต่อสายไปที่โทรศัพท์ของฉินซีหลายครั้งติดกัน ล้วนไม่มีคนรับสาย ทันใดนั้น จิตใจของเขาหนักหน่วงลงไปถึงที่สุด
เขามาถึงร้านอาหารในทันที แต่ยังไม่เจอใครทั้งนั้น มีความเป็นไปได้มากว่า ฉินซีจะโดนพาไปแล้ว
ในเวลานี้เอง หยางเฉินมองเห็นภาพคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเข้าฉับพลัน กำลังเดินออกมาจากด้านในร้านอาหารแซ่เฉินแล้ว
อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่น ก็คือเย่ฝาน
“เย่ฝาน เสี่ยวซีล่ะ?”
หยางเฉินรีบพุ่งเข้ามาถามทันที
“หยางเฉิน ขอโทษนะ เสี่ยวซีอาจจะเกิดเรื่องแล้ว”
เย่ฝานพูดแบบหน้าตารู้สึกผิด จากนั้นพูดว่า “เมื่อกี้เสี่ยวซีไปคิดเงิน ส่วนฉันไปห้องน้ำแล้ว ผลปรากฏว่าเจอคนลอบทำร้ายเข้า หลังจากฉันฟื้นมา ก็เห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของตัวเองไม่อยู่แล้ว”
“ยังดีมีมือถืออยู่ ฉันใช้ราคาสูงกว่าซื้อเสื้อผ้าของคนอื่นมา จากนั้นโทรหาเสี่ยวซีในวินาทีแรกเลย แต่ว่าไม่มีทางโทรติดมาตลอด”
ฟังคำพูดของเย่ฝานแล้ว หยางเฉินยิ่งมั่นใจว่า ฉินซีเกิดเรื่องขึ้นเรียบร้อย
“ไม่ว่าเป็นใคร กล้าแตะต้องเมียฉัน ฉันเอาแกตายแน่!”
หยางเฉินหมุนตัวขึ้นรถ ขณะเดียวกันต่อสายโทรศัพท์ไปหมายเลขหนึ่ง “เซวหยวนจี๋๋ สรุปแกอยากจะเอายังไงกัน?”
ก่อนหน้านี้เซวหยวนป้าให้วิธีติดต่อของเซวหยวนจี๋๋กับหยางเฉินมา
“อะไรคืออยากจะเอายังไง?”
เซวหยวนจี๋๋หัวเราะหึๆ ตอบว่า “แกกำลังพูดอะไร ทำไมฉันฟังไม่เข้าใจสักประโยคเดียว?”
น้ำเสียงของเซวหยวนจี๋๋ ฟังอย่างไร ล้วนมีความหยอกเย้าอยู่
หยางเฉินฝืนกลั้นความโกรธบอกว่า “เซวหยวนจี๋๋ แกรู้ว่าฉันกำลังพูดอะไร ในเมื่อแกมาที่เมืองเยี่ยนตูแล้ว งั้นน่าจะรู้ดีว่า ฉันเป็นคนแบบไหนกัน”
“แกทำแบบนี้ ไม่กังวลสักนิดเลยว่าจะเป็นศัตรูกับฉัน?”
“หรือ แกคิดว่า ข้างตัวแกมียอดฝีมือที่แกร่งกว่า สามารถคุ้มครองแกได้รอบด้าน?”
ในคำพูดของหยางเฉิน มีแรงอาฆาตที่ดุเดือดระดับหนึ่ง
“ฮาๆ!”
เซวหยวนจี๋๋หัวเราะเสียงดัง “ฉันเข้าใจได้ว่า นี่คือแกกำลังข่มขู่ฉันเหรอ?”
“แกอยากเข้าใจว่ายังไงก็ได้หมด ฉันแค่จะบอกไว้ประโยคเดียว อย่าทำร้ายภรรยาฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันรับปากทุกเงื่อนไขของแก”
หยางเฉินเอ่ยปากบอกทันใด
“ภรรยาแกไม่อยู่ในมือฉันจริงๆ นะ!”
เซวหยวนจี๋๋หัวเราะอยู่บอกว่า “ถ้าอยู่ในมือฉัน ฉันต้องยอมรับแน่สิ!”
“โดยเฉพาะแกรับปากแล้วว่า ให้ฉันเสนอเงื่อนไขตามสบาย ฉันจะพลาดโอกาสดีขนาดนี้ไปได้ยังไง แกว่าถูกมั้ย?”
หยางเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาหนักกว่าเดิม ทันใดนั้นเขาสงสัยอยู่บ้าง เซวหยวนจี๋๋เป็นคนแบบนี้มาตลอดหรือไม่
เขาไม่มีทางแยกแยะออกเท่าไรว่า ฉินซีโดนเขาพาไปหรือไม่