ไฟสีทองรอบดาบได้ปะทุหนักขึ้นมามากกว่าเก่า มันกวาดไปยังพื้นที่โดยรอบราวกับทะเลไฟ
พลังจิตอันแข็งแกร่งและพลังจักรพรรดิราวกับน้ำที่ไหลหลาก มันได้ปะทุออกมาจากดาบ ภายใต้พลังของจักรพรรดิแล้ว พลังอันน่ากลัวก็ได้แสดงกฎนับไม่ถ้วนออกมา มันราวกับพลังวิญญาณของทะเลบรรพกาลที่พุ่งเข้าใส่อู่หมิง
สองพลังได้ปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสว่างจ้าขึ้นมาให้แสงกว่าครึ่งของทะเลบรรพกาล
หลังจากที่ระเบิดเสร็จ แสงก็ได้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว มันราวกับการระเบิดของดาว มันได้พังลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลุมดำ หลังจากที่บีบตัวตนถึงขีดสุดก็ได้ปล่อยคลื่นพลังออกมา คลื่นพลังนี้ทำให้ทะเลบรรพกาลโดยรอบบิดเบี้ยวไป ทะเลบรรพกาลสั่นไหวอย่างรุนแรงบรรพกาลใกล้ๆเองก็โดนทำลายและระเหยไปด้วย
ตูม !
คลื่นพลังกระจายไปโดยรอบ ทะเลบรรพกาลใกล้เคียงได้เปลี่ยนเป็นหลุมดำที่ปั่นป่วนไปทันที
แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบคือม่านแสงที่เหมือนจะทนทุกพลังได้ แม้ว่าจะมีพลังทำลายล้างมากเพียงใดจากการต่อสู้แต่เมื่ออัดเข้ากับม่านแสงก็หายไปทันที มันราวกับเต้าหู้ที่กระทบกับหิน ม่านแสงไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันไม่สั่นไหวด้วยซ้ำ
ทั้งเรนไนและอู่หมิงกระเด็นถอยออกมาแต่ด้วยพลังของสมบัติโกลาหลนั้นก็ทำให้ทั้งสองคนบาดเจ็บ
ทั้งสองหอบหายใจและมองหน้ากัน
ความแข็งแกร่งของเจ้าน่าแปลกใจจริงๆ อู่หมิงพูดขึ้นมาช้าๆ
เรนไนพูดขึ้นอย่างใจเย็น เจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน
ในการปะทะกันครั้งแรกทั้งสองนั้นเสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบ
เขาแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง ! ซื่อเซียวและเย่าหยางถึงกับอึ้ง เขาสู้กับอู่หมิงแต่กลับไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย !
จักรพรรดิหน้าใหม่กลับเสมอกับจักรพรรดิเก่าได้ มันพลิกมุมมองของพวกเขาอย่างมาก
แม้แต่หว่านเก่อก็ยังอึ้งไปด้วย นางไม่คิดเลยว่าความแข็งแกร่งของเรนไนจะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้
ต้องรู้ก่อนว่า อู่หมิงไม่ใช่จักรพรรดิหน้าใหม่แต่เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่เก่าแก่ที่สุดที่ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิมาหลายยุคแล้ว ความแข็งแกร่งของอู่หมิงนั้นคือหนึ่งในคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่จักรพรรดิทั้งเก้า แม้แต่ซื่อเซียวก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้กับอู่หมิงได้ บางทีช่องว่างอาจจะไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะมองข้ามช่องว่างนี้ได้ แม่ทัพสูงสุดที่ขึ้นเป็นจักรพรรดินั้นจะแกร่งกว่าจักรพรรดิทั่วไปรึ ? อู่หมิงไม่มั่นใจ
ความต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับเรนไนคือเรนไนขึ้นเป็นจักรพรรดิตอนที่เป็นแม่ทัพสูงสุด
นี่คือเงื่อนไขของการขึ้นเป็นจักรพรรดิของทะเลบรรพกาล ที่ตั้งขึ้นโดนจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล
อู่หมิงและคนอื่นๆใช้วิธีการดูดซับลูกปัดจักรพรรดิเพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิ ส่วนเรนไนนั้นไม่ได้ใช้ลูกปัดใดๆ ทั้งสิ้นเขาเป็นแม่ทัพสูงสุดและได้แบกรับพลังของจักรพรรดิ เขาทนพลังจักรพรรดิที่เข้ามาในตัวก่อนจะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ ความยากของทั้งสองแบบนั้นไม่เหมือนกัน
บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้พวกเขาต่างกันมากแบบนี้
ยังไงซะจักรพรรดิทะเลโกลาหลที่พัฒนาขึ้นโดยลูกปัดจักรพรรดิก็ยังมีข้อเสีย พวกเขาต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมข้อเสียเหล่านั้นแต่สำหรับจักรพรรดิที่พึ่งความสามารถของตัวเองเพื่อให้ก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้นั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจจะเอากลุ่มแรกมาเทียบได้
หากจักรพรรดิของทะเลโกลาหลไม่ได้ลูกปัดจักรพรรดิมาแต่ขึ้นเป็นจักรพรรดิจากแม่ทัพ งั้นนอกจากแม่ทัพสูงสุดแล้วคงไม่อาจจะมีใครทนพลังของจักรพรรดิได้ ซื่อเซียว, เย่าหยาง, หว่านเก่อ, อู่หมิงและคนอื่นๆเกรงว่าคงไม่อาจจะมีใครขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนั้นคาดว่าคงไม่อาจจะทนรับแรงกดดันจากพลังจักรพรรดิได้
นี่คือจุดอ่อนของจักรพรรดิจากทะเลโกลาหล !
หากต้องการเป็นจักรพรรดิของทะเลบรรพกาล งั้นมันก็ยากกว่าการขึ้นเป็นจักรพรรดิของทะเลโกลาหล งั้นความแข็งแกร่งของจักรพรรดิจากทะเลบรรพกาลก็ต้องเหนือกว่าจักรพรรดิจากทะเลโกลาหลภายใต้ระดับเดียวกัน ! หากอู่หมิงไม่ใช่จักรพรรดิเก่า หากเขาเป็นจักรพรรดิหน้าใหม่เหมือนกันกัยเรนไน เดาว่าเขาคงไม่อาจจะทนการโจมตีได้ถึงสามครั้งด้วยซ้ำ….
จักรพรรดิทะเลบรรพกาลนั้นเหมือนกับคนที่ขึ้นเป็นผู้อมตะโดยพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเอง ส่วนจักรพรรดิทะเลโกลาหลเหมือนกับผู้อมตะที่พึ่งทรัพยากร แม้ว่าจะเป็นผู้อมตะเหมือนกันแต่ก็ยังมีความต่างกันอยู่
กิ่งไม้ในมืออู่หมิงสะบัดออกไปพร้อมพลังชีวิตที่กระจายไปโดยรอบ
เมื่อเห็นแบบนั้นพลังจิตและพลังจักรพรรดิในตัวเรนไนก็ปะทุออกมา มันโคจรไปทั่วตัวของเขา ในเวลาไม่กี่อึดใจร่างของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมา
ในอีกด้านมือของ อู่หมิงก็สะบัดไปมา เสาแสงสองอันได้เชื่อมต่อกับกิ่งไม้ พลังจิตและพลังจักรพรรดิได้โคจรไปในเสาแสงทั้งสอง มันโคจรไปมาอย่างต่อเนื่อง พลังของมันน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นเอง อู่หมิงได้ผลักมือออกมาทำให้ลำแสงรวมเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้พลังของจักรพรรดิแล้ว มันกลับแผ่พลังทำลายล้างไม่รู้จบออกมา !
จากชีวิตเป็นการทำลายล้างในพริบตา
ตูม ! มันมีกฎนับพันล้าน พลังไร้เทียมทานเหนือมิติและเวลาได้โคจรผ่านทะเลบรรพกาลตรงเข้าหาเรนไน
จิตของเรนไนผันผวน ดาบได้แผ่แสงสีทองออกมาถึงขีดสุดราวกับจะเผาไหม้ทั้งทะเลบรรพกาล ปลายดาบอัดแน่นไปด้วยพลังจิตและพลังจักรพรรดิ มันคือสมบัติขั้นสมบูรณ์เช่นกัน มันมีวิถีนับร้อยล้านที่แผ่ออกมา
ในพริบตาพลังทั้งสองก็ได้ปะทะกัน ทุกอย่างโดนทำลาย ทะเลบรรพกาลถึงกับบิดเบี้ยวไปด้วย
ตูม !
พลังทั้งสองราวกับพลุไฟที่ระเบิดออก มันได้ส่องแสงไปทั้งทะเลบรรพกาล เรนไนและอู่หมิงต่างก็กระเด็นออกมาเพราะคลื่นพลังสะท้อนนี้
อู่หมิงฮึดฮัดออกมา ร่างของเขาแทบถึงขีดจำกัดแล้ว แม้แต่เกราะของเขาก็ยังมีรอยแตก
ในตอนที่เรนไนกระเด็นกลับมานั้น ใจกลางเกราะของเขากลับห่นแสงลงและมีรอยแตกหลายจุดปรากฏขึ้นมา มันลามไปทั่วทั้งตัว ภายใต้พลังสะท้อนอันน่ากลัวแล้ว มันได้กำจัดพลังของเขาอย่างรวดเร็วแต่ เรนไนรู้ตัวเร็วตอนที่ร่างกายเขากำลังโดนทำลายอยู่นั้น เขาก็ได้สร้างร่างกายใหม่และประคองตัวเองเอาไว้
ข้ายอมแพ้ เรนไนคิ้วขมวและมองไปที่เกราะที่แตกของตนแล้วถอนหายใจออกมา
เกราะแตกไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อ
อู่หมิงมองไปที่เรนไนด้วยสีหน้าซับซ้อนก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น เจ้าไม่ได้แพ้ เจ้าจะแพ้อะไรกับแค่การเสียเกราะ หากไม่มีเกราะนี่ งั้นก็ไม่แน่ว่าการต่อสู้นี้ใครจะแพ้รึชนะ
แพ้ก็คือแพ้ เรนไนยอมรับ เขาไม่ได้แก้ตัว เกราะเองก็คือส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง
อู่หมิงเงียบไปชั่วครู่และถอนหายใจออกมา หากจะบอกเช่นนั้น….งั้นนายที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิที่สู้ฉันได้ถึงระดับนี้…หากไม่มีอาวุธกับเกราะแล้วฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือนายได้..บางทีฉันนี่แหละที่เป็นคนแพ้
อู่หมิงรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะอาวุธและเกราะของเขาแล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นคู่มือของเรนไนไม่ได้
แรงกดดันที่เรนไนสร้างขึ้นมานั้นมากกว่าซื่อเซียวและเย่าหยางเสียอีก !
แม้ว่าอู่หมิงจะเป็นฝ่ายชนะแต่ชัยชนะแบบนี้อู่หมิงก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย เขากลับตระหนักได้ถึงความต่างของเขากับเรนไน ต้องบอกว่านอกจากอาวุธกับเกราะแล้ว หากต้องพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเองล้วนๆแล้วเรนไนน่าจะเหนือกว่าเขา
ในการต่อสู้ตะกี้ เรนไนพึ่งแค่ความแข็งแกร่งของตัวเองทดแทนช่องว่างระหว่างอาวุธกับเกราะของทั้งสองฝ่าย !
มันน่ากลัวแค่ไหนกัน ?