ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 1971 : การประชันพลัง

ตอนที่ 1971 : การประชันพลัง

  ในทะเลบรรพกาล อู่หมิงไม่ได้รับพลังใดๆจากมิติลับและได้แต่ใช้พลังที่ร่างกายตนมี

  เรนไนที่เพิ่งเปิดมิติลับไปยังก็ไม่อาจจะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใดๆขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น จิตของเขายังอ่อนแออยู่ เขาเองก็ไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดออกมาได้เต็มที่เช่นกัน

  ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ

  ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น ทั้งสองก็ได้เอาเกราะและอาวุธของตนออกมา

  แม้ว่าอาวุธและเกราะจะเป็นสมบัติโกลาหลขั้นสมบูรณ์ แต่พลังของเกราะกับดาบของอู่หมิงนั้นชัดแล้วว่าแกร่งกว่า ยังไงซะเขาก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิมาหลายยุคแล้ว ดังนั้นพลังของเกราะกับอาวุธจึงพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มันแทบขึ้นไปถึงขีดจำกัดของพลังจิต เรนไนที่เพิ่งขึ้นไปเป็นจักรพรรดิ ในอดีตพึ่งแต่พลังของโกลาหลในการให้พลังกับเกราะและอาวุธ ผลของการพัฒนาจึงไม่อาจจะนำมาเทียบกันได้

  แต่โชคยังดีที่ทั้งสองเป็นสมบัติขั้นสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีความต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจจะเหนือกว่าแบบขาดลอยได้

  อาวุธของอู่หมิงเป็นกิ่งไม้ที่มีใบไม้จำนวนมาก มันมีพลังชีวิตที่สูง

  ส่วนอาวุธของเรนไนนั้นเหมือนกับดาบขนาดใหญ่สีทองแดง ดาบที่ดูธรรมดาไม่ได้มีอะไรพิเศษ มันมีรอยขีดข่วนที่ผิวดาบราวกับบอกเล่าเรื่องราวที่มันเคยผ่านยอดฝีมือมานับไม่ถ้วน รอยเล็กๆเหล่านี้แสดงถึงผลงานของมัน

  ครั้งหนึ่งเรนไนไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดของดาบออกมาได้ จนตอนนี้เมื่อจับดาบไว้ในมือและรู้สึกถึงพลังจิตที่โคจรไปมา เรนไนก็รู้ได้ถึงความน่ากลัวของดาบนี้ทันที มีแค่จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของสมบัติขั้นสมบูรณ์ออกมาได้เพราะสมบัติขั้นสมบูรณ์นั้นคืออุปกรณ์ของจักรพรรดิ

  จิตได้กระตุ้นพลังจิตในตัว พลังความคิดของจักรพรรดิได้เปลี่ยนของจำลองให้กลายเป็นจริงได้ พลังทั้งสองได้โคจรเข้าไปในดาบ ต่อมาดาบก็ได้ระเบิดแสงสว่างจ้าออกมาราวกับไฟสีทองที่ลุกไหม้ คลื่นความร้อนของมันแผ่ออกมาจากดาบกระจายไปทั่วทุกทิศทาง

  ตัวดาบนั้นราวกับหัวใจที่เต้นไปมา

  ทุกการเต้นของดาบนี้ราวกับจังหวะของชีวิต มันราวกับว่าสั่นพ้องไปกับวิถีบางอย่าง

  ดาบที่อาบไปด้วยแสงราวกับไฟสีทองเหมือนได้เกิดใหม่ ไม่ใช่แค่แผ่พลังชีวิตออกมาแต่กลับทำให้ผู้คนพากันตื่นตัวขึ้นมาด้วย เรนไนเงยหน้าขึ้นมองอู่หมิง ความต้องการที่จะสู้ปะทุขึ้นมาในใจ ไฟที่อาบไปด้วยแสงสีทองราวกับทำงานเต็มที่ ดาบได้ขยายตัวออกกว่าสองเท่า แสงสว่างจ้ากว่าเดิมครอบคลุมทะเลบรรพกาลโดยรอบเอาไว้  คลื่นพลังอันน่ากลัวได้กระจายออกไปทุกทิศทาง

  อู่หมิงแสดงสีหน้าจริงจังออกมา เขามองไปที่เรนไนด้วยความสนใจที่มากกว่าเก่า

  ร่างกายของเขาไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย แต่ระเบิดพลังทั้งหมดออกมาพร้อมคลื่นพลังอันน่ากลัวที่กระจายออกมาจากตัวของเขา

  ตอนนั้นคลื่นพลังของทั้งสองก็ได้ปะทะกันจนเกิดการระเบิดราวกับฟ้าผ่า

  การปะทะกันของคลื่นพลังนี้ทำให้ทะเลบรรพกาลใกล้ๆถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย มันเกิดคลื่นสะท้อนออกมา คลื่นสะท้อนนี้ราวกับชั้นคลื่นที่กระจายไปโดยรอบ ส่วนมากก็โดนคลื่นแสงรับเอาไว้และสลายไป มีส่วนน้อยเท่านั้นที่กระจายไปในทางอื่น แต่โชคร้ายที่บรรพกาลที่กำเนิดเองบางส่วนได้รับผลกระทบและหายไปในพริบตา

  ซื่อเซียว, เย่าหยางและ หว่านเก่อต่างก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา    เขามีพลังที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอู่หมิงเลย !  ซื่อเซียวหรี่ตาลง   นี่เขาเพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิจริงๆรึ ? 

  เย่าหยางเองก็คิ้วขมวด หากเขาไม่รู้จักอู่หมิงเขาคงสงสัยว่าอู่หมิงนั้นยั้งมือ

  ต้องรู้ก่อนว่าพวกเขาบ่มเพาะกันมาหลายยุค พวกเขาได้เปิดมิติลับและมีจ้าวโกลาหลหลายร้อยล้านคน พวกเขาได้ทำการบ่มเพาะจิตและอื่นๆจนมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้ ความยากและความลำบากทั้งหมดนั้นไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาได้แต่ตอนนี้เรนไนที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิกลับมีพลังที่ทัดเทียมพวกเขา

  มันทำให้ยากที่พวกเขาจะรับได้

  ความพยายามและความลำบากที่พวกเขาเผชิญมานั้นไร้ค่างั้นรึ ?

  ไม่ พวกเขามั่นใจว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหากเทียบกับตอนที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิ มันไม่ได้ไร้ค่า

  มันแค่ว่าเรนไนนั้นประหลาดเกินไป ความแข็งแกร่งของเขาราวกับการข้ามจักรพรรดิขั้นต้นมาแล้ว มันไม่อาจจะเอาเกณฑ์ทั่วไปมาวัดได้

  โชคดีหลังจากที่เรนไนเปิดมิติลับสำเร็จ พวกเขาก็เตรียมใจไว้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ตะลึงมากเท่าไหร่นักกับฉากที่เห็น

  ตอนนี้มีปัญหาเดียวที่ทำให้พวกเขาสับสนอย่างมาก นั่นก็คือ…ความแข็งแกร่งของเรนไนนั้นสูงเกินกว่าจักรพรรดิขั้นต้น ซึ่งเหตุผลนั้นก็เพราะตัวเรนไนเองรึเพราะทะเลบรรพกาลกันแน่ ?

  ทำไมพวกเขาถึงด้อยกว่าเรนไน ตอนที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิ ?

    ปัญหาอาจจะเป็นที่ทะเลบรรพกาล  เย่าหยางแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา   วิธีการให้กำเนิดของทะเลบรรพกาลและทะเลโกลาหลนั้นต่างกัน ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิคังเฉียงนั้นสูงเกินกว่าเราอย่างมาก ความแข็งแกร่งของเรนไนเองก็ไม่เหมือนกับจักรพรรดิหน้าใหม่ มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญได้… 

  แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจจะยอมรับว่าปัญหาเป็นที่ตัวพวกเขาเอง เมื่อปัญหาไม่ใช่ตัวพวกเขา งั้นก็ต้องเป็นทะเลบรรพกาล

    อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป  ซื่อเซียวมองไปที่สนามรบ   หากเขาแกร่งกว่าคนอื่นล่ะ ? 

  ในตอนที่ประชันพลังกันนั้น เรนไนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอู่หมิงเลย มันหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาทัดเทียมกับ อู่หมิงได้

  ในสนามรบ

  เรนไนและอู่หมิงยืนอยู่ใจกลางคลื่นพลังที่สะท้อนออกมา มันราวกับพื้นที่พิเศษ พลังที่สะท้อนออกมานั้นไม่อาจจะทำอันตรายพวกเขาได้เลย

  อู่หมิงเคยสู้กับจักรพรรดิมาหลายครั้งจนการต่อสู้กลายเป็นสัญชาตญาณของเขาไปแล้ว มันได้หลอมรวมกับทุกเซลล์ในร่างกายของเขารวมถึงเลือดทุกหยดและจิตของเขาด้วย เขายืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับไม่มีจุดอ่อนและสามารถลงมือโจมตีตอนไหนก็ได้

  กิ่งไม้ในมือที่เต็มไปด้วยใบไม้สะบัดไปตามคลื่นพลังที่สะท้อนออกมา มันแผ่พลังออกมาราวกับจะปลดปล่อยพลังออกมาตอนไหนก็ได้

  เรนไนที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิไม่มีประสบการณ์ในการสู้กับจักรพรรดิมาก่อน ตอนนี้ประสบการณ์ในการต่อสู้ส่วนมากก็เริ่มใช้ไม่ได้ผล มันอาจจะจำกัดความสามารถที่เขาแสดงออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องทิ้งประสบการณ์เหล่านั้นไป

  ทั้งสองยังคงเผชิญหน้ากันอย่างเยือกเย็น ไม่มีใครลงมือก่อนราวกับทั้งสองมีความอดทนไม่จำกัด

  เวลาผ่านไปช้าๆ ทั้งสองเหมือนจะไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย พลังที่ปล่อยออกมายังอยู่ระดับสูงสุดเช่นเดิม มันไม่ได้ลดรึเพิ่มขึ้นเลย

  หว่านเก่อ, ซื่อเซียว และเย่าหยางมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่น้อย ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดินั้นอันตรายอย่างมาก นอกซะจากว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายจะต่างกันเกินไป ไม่งั้นแล้วหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้ การประชันพลังกันนั้นคือส่วนหนึ่งของการต่อสู้ การประชันพลังนี้แม้ว่าจะไม่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่ายได้แต่ก็เป็นการทดสอบความอดทน,ความแข็งแกร่งและองค์ประกอบอื่นๆของอีกฝ่าย มันคือขั้นตอนส่วนหนึ่ง

  บางทีมันอาจจะกินเวลาหลายร้อยปี, พันปีรึนานกว่านั้น

  การต่อสู้จริงๆนั้นกินเวลาแค่ชั่วครู่ !

  การประลองพลังคือการปูทางสู่การปะทะที่วิเศษที่สุด ใครก็ตามที่ชนะในการประลองพลังนั้นสามารถได้เปรียบในการเผชิญหน้าต่อจากนี้

  ปราณอ่อนแอจะเสียเปรียบ ปราณแข็งแกร่งจะได้เปรียบ เมื่อพลังอ่อนแอลงความแข็งแกร่งก็จะลดลงไปในระดับหนึ่ง การที่ใช้พลังออกมาได้ 8 ใน 10 ก็ถือว่าดีแล้ว

  ในพริบตาก็ผ่านไปหลายสิบปี ทั้งสองยังคงยืนนิ่ง พลังของทั้งสองเหมือนกับมีไม่สิ้นสุด

  แต่ตอนนั้นเองในฝั่งอู่หมิง

  บางทีเขาอาจจะรู้ว่าหากต้องการจะใช้พลังเอาชนะเรนไนมันคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้ในการประลองพลังและเปิดฉากวัดความแข็งแกร่ง

  พลังจิตและพลังของจักรพรรดิแยกตัวออกมา กิ่งไม้ในมือได้ระเบิดพลังอันน่ากลัวออกมา มันได้สะบัดไปมา พลังจิตและพลังจักรพรรดิราวกับแสงและเงาโคจรเข้าไปในกิ่งไม้ราวกับโซ่ที่ก่อตัวด้วยวิถีนับพันล้าน

  พลังจักรพรรดิเหมือนจะเปลี่ยนเป็นพลังทำลายล้าง มันทำให้ทะเลบรรพกาลโดยรอบถึงกับบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย

  เรนไนแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมายิ่งกว่าเก่า เขาเพิ่งเผชิญหน้ากับพลังจิตของจักรพรรดิเป็นครั้งแรก แต่เขาเคยเจอกับจิตไร้เทียมทานจากจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลมาแล้ว จิตของจักรพรรดิแทนส่วนหนึ่งของจิตทะเลบรรพกาลรึทะเลโกลาหล พลังจิตสูงสุดนั้นน่ากลัวแค่ไหน เขาก็พอจะคิดภาพออกบ้าง

  แต่เรนไนไม่ได้กลัว เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วเพราะตอนนี้เขาเองก็เป็นจักรพรรดิเช่นกัน!

 

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท