จางหยูแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา อุณหภูมิรอบตัวของเขาก็ลดลงไปจนหนาวถึงกระดูก
ซื่อเซียวชะงักไปชั่วครู่ ไม่คิดเลยว่าจางหยูที่ยิ้มแย้มมาตลอดกลับเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้ เขาไม่ทันๆได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
ซื่อเซียวหน้าแดง เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพอ ในตอนนั้นใจของเขาหล่นวูบ
ที่นั่นเหมือนกับโดนแช่แข็งเอาไว้
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเย่าหยางก็พูดขึ้นมาช้าๆเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบงันนี้ ซื่อเซียว หวังแค่จะรีบเปิดมิติของกล่องกระบี่ให้ได้เร็วๆ เขาไม่ได้คิดจะยึดกล่องกระบี่เอาไว้ สหายคังเฉียงอย่าโกรธไปเลย
คำพูดนี้เพื่อหาทางออกให้กับซื่อเซียว เพื่อไม่ให้ซื่อเซียวต้องอับอายเกินไป เมื่อเห็นเย่าหยางพูดขึ้นมา ซื่อเซียวก็มองเย่าหยางด้วยสายตาขอบคุณก่อนจะพูดขึ้น ข้าไม่ได้คิดอะไร บางทีข้าอาจจะพูดไม่ชัดเจนพอ สหายคังเฉียงอาจจะเข้าใจผิด ต้องขอโทษด้วย ข้าหวังว่าสหายคังเฉียงจะไม่ใส่ใจ
แม้ว่าในใจจะหงุดหงิดอย่างมากแต่เขาก็ได้แต่ต้องให้เกียรติจางหยู เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเผ่าสวรรค์5 คนแทนที่จะต้องมาเป็นศัตรูกับจางหยู
ใช่ ใช่ ซื่อเซียวพูดไม่คิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าไม่พอใจ สหายคังเฉียงยกโทษให้เขาด้วย เย่าหยางพูดขึ้นมา
ตอนนั้นไม่มีใครกล้าขัดจางหยู คนที่สู้กับจักรพรรดิหลิงได้นั้นหากโจมตีพวกเขาจริงๆแล้วทั้งสามคงไม่อาจจะรับมือไหว
หากเย่าหยางและเม่ยหมิงไม่สนิทกับซื่อเซียว พวกเขาคงไม่คิดจะเสี่ยงทำให้จางหยูไม่พอใจเพื่อซื่อเซียว
แค่ครั้งนี้เท่านั้น ห้ามมีครั้งหน้าอีก จางหยูพูดขึ้น ข้าไม่อยากได้ยินอะไรแบบนี้อีก
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามก็ต้องกลับไปด้วยความอับอาย
จางหยูมองไปที่กล่องกระบี่ กล่องกระบี่ที่เปล่งแสงออกมาตะกี้ได้กลับไปสงบอีกครั้ง จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ให้พวกนั้นใส่พลังจิตเข้าไปจะทำให้เปิดมิติของกล่องกระบี่ได้จริงๆรึ ?
ตามเบาะแสที่มีแล้วจ้าวแห่งทะเลโกลาหลน่าจะเป็นบรรพชนของตระกูลซุน มันไม่น่าจะผิด หากจ้าวแห่งทะเลโกลาหลเป็นบรรพชนตระกูลซุนจริงๆ งั้นคนอื่นจะเปิดกล่องกระบี่ได้ยังไง ?
ต้องบอกว่าฐานะของจักรพรรดิในใจจ้าวแห่งทะเลโกลาหลนั้นสูงกว่าตระกูลซุนนั้น จางหยูไม่อาจจะเชื่อได้ ไม่ว่าจักรพรรดิจะแกร่งแค่ไหนแต่ในสายตาของจ้าวแห่งทะเลโกลาหลแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลย
จางหยูสังหรณ์ใจกว่าการถ่ายเทพลังจิตเข้าไปแบบนี้อาจจะไม่มีทางเปิดมิติของกล่องกระบี่ได้
เขาคิดว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล !
แต่มันก็เป็นแค่การคาดการณ์เท่านั้น จางหยูไม่มั่นใจว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผลหรือๆไม่
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธทั้งสามคน มันจำเป็นต้องทำการทดสอบ มันถือว่าดีหากเปิดมิติของกล่องกระบี่ได้ หากทำไม่ได้ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไร ยังไงซะก็ไม่ใช่ตัวเขาที่ต้องเสียพลังจิตไป
สักพักจางหยูก็ส่ายหน้าก่อนจะกลับไปทำสมาธิอีกครั้ง
….
เจ้าบัดซบนั่น ! ในบรรพกาลแห่งหนึ่ง บรรพกาลกลับสั่นไหวพร้อมกับพายุที่ก่อตัวขึ้นมา
หลังจากที่ระบายความโกรธได้สักพัก ซื่อเซียวก็ใจเย็นลงเล็กน้อย
เย่าหยางมองไปที่ซื่อเซียว เราได้สิ่งที่เราต้องการแล้ว ทำไมเจ้าต้องไปขอเขาอีก ? เม่ยหมิงเห็นด้วย โชคดีที่เขายังไว้หน้าเรา ไม่งั้นแล้วเราคงไม่มีโอกาสที่จะได้ทดสอบต่อ
เมื่อได้ยินแบบนั้นซื่อเซียวก็มองไปที่เย่าหยางและเม่ยหมิงด้วยท่าทีไม่พอใจ พวกเจ้าโทษข้ารึ ?
ข้าแค่พูด เย่าหยางพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ยังไงซะเราก็ลองเปิดมิติของกล่องกระบี่ตอนไหนก็ได้ ทำไมเราต้องเก็บกล่องกระบี่นั้นไว้กับตัวด้วย ? ยิ่งไปกว่านั้นคังเฉียงก็ไม่ได้โง่ เขาจะให้เราดูแลกล่องกระบี่ได้ยังไง ? ในอีกความหมายคือหากเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอ เจ้าจะยอมมอบกล่องกระบี่ให้คนอื่นดูแลรึ ?
เม่ยหมิงพูดขึ้นมา หากกล่องกระบี่อยู่ในมือเรา เอาจริงๆแล้วข้าก็ไม่อาจจะรับรองได้ว่าข้าจะไม่ยึดมันไว้เพียงลำพังและนำมันกลับไปยังทะเลโกลาหล
แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจจะเดินทางไปทะเลโกลาหลกับทะเลบรรพกาลได้อย่างอิสระ แต่จิตของพวกเขาก็ยังเชื่อมต่อกับเขตของพวกเขาอยู่ พวกเขากลับไปยังเขตตัวเองตอนไหนก็ได้ที่ต้องการ
นอกซะจากว่าจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลเข้ามายุ่งและผนึกทะเลบรรพกาลเอาไว้
ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะต้องเก็บกล่องกระบี่เอาไว้… เสียงของซื่อเซียวเริ่มเบาลงแต่เขาก็ยังยืนกรานดังเดิม แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเช่นนั้น แต่เขาปฏิเสธก็พอแล้ว ทำไมเขาต้องหยามหน้าข้าด้วย !
หากไม่ใช่เพราะเย่าหยางพูดช่วยแล้วเขาอาจจะเสียหน้าจริงๆ
พอเถอะ พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เม่ยหมิงพูดขึ้นมา ตอนนี้เราควรใช้เวลาในการฟื้นฟูพลังจิต เจ้าไม่อยากเปิดมิติของกล่องกระบี่ได้เร็วๆรึ ?
เมื่อได้ยินแบบนั้น ซื่อเซียวก็หยุดโวยวาย การเปิดมิติกล่องกระบี่และไขความลับของจ้าวแห่งทะเลโกลาหลสำคัญกว่าเรื่องอื่น แม้แต่การแข่งขันเอาก้อนแก่นก็ไม่ได้สำคัญเท่า
….
ในพริบตาก็ผ่านไปอีกล้านปีในทะเลโกลาหล
ทะเลบรรพกาลได้ผ่านไปกว่าแสนล้านปี
ภายใต้เวลาที่มากแบบนี้นี้ศิษย์และอาจารย์ต่างก็ขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดกันหมด !
แต่ละคนทัดเทียมกับเรนไนรวมถึงบลูและล็อคของเผ่าสวรรค์ด้วย
บางทีถึงพวกเขายังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ แต่ระดับการบ่มเพาะก็มาถึงขีดจำกัด พวกเขาไม่อาจจะพัฒนาตัวเองต่อได้
ระหว่างนี้ซื่อเซียว , เย่าหยาง, อู่หมิง,หว่านเก่อ และเรนไนได้มาพบจางหยู 3 ครั้ง แต่ละครั้งพวกนี้ต่างก็ใช้พลังจิตจนหมดแต่ทุกครั้งก็ไม่อาจจะมีวี่แววว่ามิติของกล่องกระบี่จะเปิดออก มันมีแค่รอยแยกเล็กๆของกล่องกระบี่ที่แง้มออก รอยแยกเล็กๆนี้หายไปในพริบตาก่อนที่กล่องกระบี่จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
กล่องกระบี่ที่เหมือนกำลังพัฒนากลับเป็นสภาพเดิมของมัน
การเปลี่ยนแปลงของกล่องกระบี่นี้ทำให้ซื่อเซียวและคนอื่นๆเห็นความหวังกับการเปิดมิติของกล่องกระบี่ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เสียแรงเปล่า
แทนที่จะสลด แต่พวกเขากลับมั่นใจมากกว่าเก่า ….
พวกเขาเชื่อว่าหากมีพลังจิตที่มากพอ มิติของกล่องกระบี่ก็จะเปิดได้ในสักวัน
แต่จางหยูไม่ได้บอกสิ่งที่เขาคิดกับพวกนี้ เขาพอใจกับผลงานของพวกนี้ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ชัดเจนว่าการฉีดพลังจิตเข้าไปนั้นจะเปิดมิติของกล่องกระบี่ได้รึไม่ แต่แน่นอนว่าพลังจิตที่พวกนี้ใส่เข้าไปนั้นทำให้กล่องกระบี่ฟื้นตัวกลับมา มันราวกับผ่านการยกระดับซึ่งเป็นผลดีต่อตัวกล่องกระบี่เอง
บางทีการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะส่งผลดีต่อซุนเหมิงที่อยู่ด้านในก็ได้
แรงงานพวกนี้ดีจริงๆ ข้าหวังว่าพวกเขาจะขยันกันแบบนี้ตลอด จางหยูอยากให้ใบประกาศกับพวกนี้จริงๆ
…..
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตาก็ผ่านไปอีกล้านปี
มันเหลืออีก 1 เดือนก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น !
ในวันนั้นจางหยูกลับลุกขึ้นยืนและแสดงสีหน้าดีใจออกมา
เขามองทะลุบรรพกาลออกไปราวกับมองไปยังจุดสิ้นสุดของทะเลบรรพกาล
มันมีบรรพกาลอีก 800,000 แห่ง แต่ละแห่งนั้นมีจ้าวบรรพกาลที่หน้าตาเหมือนกับจางหยู แม้แต่คลื่นพลังก็ยังเหมือนกับจางหยู
ตอนนั้นร่างแยกทั้งแปดแสนร่างนี้ราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่างและพากันลุกขึ้นยืน สุดท้ายก็ได้ผล ! จางหยูหายตัวไป วินาทีต่อมาเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในทะเลบรรพกาล การรับรู้ของเขาแผ่ไปทั่วร่างแยกทั้งหมดแล้วยิ้มออกมากว้างกว่าเก่า แม่ทัพสูงสุด !
ตะกี้นี้ร่างแยกร่างสุดท้ายนั้นได้ขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดแล้ว !
แม่ทัพสูงสุดกว่าแปดแสนคน !
แม้ว่าซื่อเซียวและจักรพรรดิคนอื่นเจอกับฉากนี้ พวกนั้นต้องแสดงท่าทีตะลึงออกมาแน่ นี่คือกองทัพแม่ทัพสูงสุด
ร่างหลัก จางลู่และร่างแยกอื่นๆได้โผล่มาข้างๆจางหยู ก่อนที่จางลู่จะพูดขึ้น ตามที่เราตกลงกันไว้ ภารกิจเราเสร็จสิ้นแล้วสินะ ?
จางหยูให้พวกนี้บ่มเพาะร่างแยก แต่ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ร่างแยกเหล่านี้ขึ้นเป็นแม่ทัพสูงสุดได้หมด
จางหยูถึงกับคิดว่าจะให้ร่างแยกเหล่านี้เข้าร่วมการแข่งขันชิงก้อนแก่นมา