“ฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งห้องทันที
สัปดาห์ก่อนทั้งเฝิงเสียวหว่านและหม่าชาวต่างอยู่ในอาการสลบไสลทั้งคู่ หยางเฉินเป็นกังวลมาตลอด แต่ไม่คิดว่าเฝิงเสียวหว่านจะฟื้นขึ้นมาภายในสองชั่วโมง
สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อฟื้นขึ้นมาก็คือการรักษาหม่าชาว
แม้แต่อ้ายหลินเมือ่ได้เห็นอาการบาดเจ็บของหม่าชาว ก็คิดว่าหม่าชาวจะทนไม่ไหว ไม่คิดว่าหม่าชาวจะฟื้นขึ้นจากทักษะทางการรักษาอันเยี่ยมยอดของเฝิงเสียวหว่าน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ้ายหลินได้อยู่กับหม่าชาวตลอด ได้เห็นเฝิงเสียวหว่านให้การรักษาหม่าชาวด้วยตัวเอง และเห็นด้วยว่าหม่าชาวมีกำลังวังชามากขึ้นเรื่อยๆ
เธอชื่นชมผู้หญิงอย่างเฝิงเสียวหว่านจากส่วนลึกของหัวใจ อายุยังน้อยมาก แต่มีทักษะทางการรักษาที่เยี่ยมยอดขนาดนี้ แม้แต่เธอซึ่งเป็นศาสตราจารย์ผู้อัจฉริยะด้านการแพทย์ก็ยังมีความสามารถด้อยกว่ามาก
“พี่เฉิน ตอนนี้ตระกูลเดอะคิงทั้งห้าในจิ่วโจวได้ส่งคนมาที่เมืองเยี่ยนตูและได้เข้าฮุบกองกำลังชั้นยอดทั้งหมดของเมืองเยี่ยนตูแล้ว คุณวางแผนจะปิดบัญชีเมื่อไหร่?”
หม่าชาวหยุดยิ้มและถามขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นว่าหยางเฉินและหม่าชาวกำลังจะคุยเรื่องการงาน อ้ายหลินก็พาเฝิงเสียวหว่านไปที่ห้องของหมีเสวี่ย
สายตาของหยางเฉินค่อยๆ ลุ่มลึก ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “ยังไม่ถึงเวลา”
หม่าชาวถามขึ้น “พี่เฉิน คุณจะรอไปจนถึงเมื่อไหร่? คงไม่ต้องรอจนกว่าจะตัดสินชัยชนะของตระกูลเดอะคิงทั้งห้าได้แล้วค่อยลงมือหรอกนะ?”
ความเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของหยางเฉิน “ทำไมตระกูลเดอะคิงทั้งห้าจึงเข้าควบคุมเมืองเยี่ยนตูได้ง่ายดายแบบนี้?”
“จะปิดบัญชีตอนนี้ก็ทำได้ แต่ถ้ามันยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด ฉันเลยไม่ลงมือดีกว่า ทันทีที่ฉันลงมือก็จะคืนเมืองเยี่ยนตูสู่ความสงบสุขโดยสมบูรณ์!”
หยางเฉินพูดอย่างจริงจัง
หม่าชาวถอนหายใจ “ผมแค่กังวลนิดหน่อยว่าพี่สะใภ้จะทนไม่ไหว จนถึงตอนนี้เธอยังไม่สามารถเดินออกจากเงามืดได้ เธอมักจะคิดว่าเธอเป็นคนทำร้ายคุณ “
“ตอนนี้เธอทำงานหนักทุกวัน เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการทำงานให้หนักจนตัวเองหมดความรู้สึก”
“หลายครั้งที่คนที่ส่งไปคุ้มกันพี่สะใภ้ได้พบว่า ตอนที่พี่สะใภ้ไปรับเสี้ยวเสี้ยวก็จะไปถึงก่อนเวลาทุกวัน เธอจะร้องไห้อยู่ในรถเป็นเวลานาน เมื่อระบายจนพอใจแล้วถึงไปรับเสี้ยวเสี้ยวด้วยรอยยิ้ม”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หม่าชาวพูด ความรู้สึกผิดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางเฉิน
เขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้นั้นกระทบกระเทือนต่อฉินซีขนาดไหน
ถ้าเขาไม่ขอให้ต่งจ้านกังกระจายข่าวไปว่าเขาถูกกองยุทธการชิงตัว ฉินซีจะต้องทำอะไรโง่ๆ แน่นอน
“ฉินยีก็เช่นกัน เธอมีแต่ความรู้สึกผิด คิดว่าตัวเองทำร้ายคุณ ทุกวันมีแต่เรื่องงาน คนของเราพบว่าเธอทำงานล่วงเวลามาหลายคืนจนถึงเช้า จนไม่ได้กลับบ้านและนอนในสำนักงานด้วยซ้ำ”
หม่าชาวพูดต่อ
หยางเฉินถอนหายใจเบาๆ “ฉันมีลางสังหรณ์ว่าวันปิดบัญชีจะมาถึงในไม่ช้า”
“อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ”
จู่ๆ หม่าชาวก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไป๋จวิ้นเหา หลานชายของตระกูลไป๋ที่ไปหาเรื่องที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก่อนหน้านี้และถูกผมข่มขู่ไว้ ได้มาตามรังควานพี่สะใภ้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา”
“ตอนนี้กำลังหลักของตระกูลคิงไป๋ได้เข้ามาอยู่ในเมืองเยี่ยนตูแล้ว เขาได้รับการคุ้มครองโดยผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลายของตระกูลคิงไป๋ ไม่มีใครสามารถจัดการกับทีมผู้พิทักษ์เงาลับได้ในขณะนี้ คุณว่า…”
ก่อนที่หม่าชาวจะพูดจบก็มีประกายเย็นชาฉายผ่านดวงตาของหยางเฉิน “เขากำลังรนหาที่ตาย!”
“พี่เฉิน จะให้ต่งจ้านกังออกหน้าจัดการเรื่องนี้ไหม?” หม่าชาวถามอย่างระมัดระวัง
ขณะเดียวกัน ภายในห้องทำงานรองผู้จัดการทั่วไปที่ชั้นบนสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป
ฉินซีกำลังยุ่งอยู่กับงาน ใบหน้าซีดเซียวมาก บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยกองเอกสารต่างๆ เธอหมกตัวอยู่กับงานมาทั้งวัน แต่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย
“ประธานฉิน ไป๋จวิ้นเหาจากตระกูลคิงไป๋มาอีกแล้ว เขามียอดฝีมืออยู่ข้างกาย เจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไม่สามารถทำอะไรเขาได้”
“เขายังให้คนจัดสถานที่สารภาพรักในห้องโถงชั้นล่างสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป บอกว่าเขาต้องการสารภาพรักกับคุณ”
ในเวลานี้ เลขาของฉินซีได้เคาะประตูแล้วเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง
หลังจากรายงานจบ เลขาก็มีสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนฉินซีดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ทุ่มเททำงานอย่างบ้าคลั่งทุกวัน
ทันทีที่ลูกน้องทำผิด เธอจะโกรธมาก
ในฐานะเลขาของฉินซี เธอต้องทนรับความโกรธของฉินซีที่มีมากขึ้น
ตามที่คาดไว้ หลังจากฟังรายงานของเลขา ฉินซีก็มีสีหน้าเย็นชาและพูดอย่างโกรธเคืองทันที “ในเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ใช่คู่ต่อสู้ พวกคุณไม่รู้เหรอว่าต้องแจ้งตำรวจ?”
“ค่ะ ประธานฉิน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”
เลขาตกใจรีบหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาโทรแจ้งตำรวจ
ฉินซีกลับไปยุ่งกับงานต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง ราวกับว่าไป๋จวิ้นเหาที่อยู่ข้างนอกไม่มีตัวตนอยู่เลย
ในขณะนี้ห้องโถงที่ชั้นหนึ่งถูกจัดเป็นสถานที่สำหรับการสารภาพรัก มีเจ้าหน้าที่หลายคนคอยขนกุหลาบเข้ามาจากด้านนอกอยู่ตลอดเวลา
ไป๋จวิ้นเหาสวมชุดสูทสีขาวและรองเท้าหนังสีดำแวววาว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสดใสและความมั่นใจ เขานั่งลงทางด้านข้างและรอคอย ด้านหลังมีผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลายของตระกูลคิงไป๋คนหนึ่งยืนอยู่
ตอนนี้ตระกูลเดอะคิงทั้งห้าได้ส่งกองกำลังหลักของพวกเขาไปยังเมืองเยี่ยนตูแล้ว ในฐานะหลานชายของกษัตริย์ไป๋อย่างไป๋จวิ้นเหา ผู้แข็งแกร่งที่อยู่รายรอบตัวเขาย่อมไม่อ่อนแอ
อาจกล่าวได้ว่า ในเมืองเยี่ยนตูถ้าผู้ใดมีผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลายคอยเป็นองครักษ์ประจำกาย ก็จะสามารถทำทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น เว้นแต่จะเกิดความขัดแย้งกับผู้ถืออำนาจศูนย์กลางในตระกูลเดอะคิง
ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งแดนราชาขั้นปลายอยู่ในกองกำลังท้องถิ่นทั้งหมดของเมืองเยี่ยนตูอยู่แล้ว
“คุณชายไป๋ ตอนนี้ได้เวลาเลิกงานแล้ว ทำไมประธานฉินยังไม่ลงมาอีก? ให้ผมไปเชิญเธอที่ห้องทำงานของเธอด้วยตัวเองดีไหม?”
ชายหนุ่มในชุดสูทที่อยู่ข้างกายไป๋จวิ้นเหาถามด้วยสีหน้าประจบสอพลอ
“หุบปาก!”
ไป๋จวิ้นเหาตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน ยิ้มมุมปากด้วยความมั่นใจ “ประธานฉินคงยุ่งกับงานมากจนลืมเวลางาน ถ้าเธอรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ เธอคงจะออกมาต้อนรับผมตั้งนานแล้ว”
มุมปากของชายหนุ่มกระตุก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ฉินซีก็ไม่ปรากฏตัวสักที ไป๋จวิ้นเหาเริ่มหมดความอดทนและขมวดคิ้ว “ผู้หญิงคนนี้มัวทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมยังไม่ออกมาอีก?”
“คุณน่ะ มานี่ซิ!”
ไป๋จวิ้นเหากวักมือเรียกหญิงสาว เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเลขาของฉินซี
“ไปบอกประธานฉินของพวกคุณให้ออกมา บอกเธอว่าผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ”
ไป๋จวิ้นเหากล่าว
เลขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะกลัวไป๋จวิ้นเหาแต่ก็ยังปฏิเสธ “ขอโทษค่ะ ประธานฉินของเรากำลังยุ่งอยู่ เธอไม่มีเวลาพบคุณ กรุณากลับไปเถอะค่ะ!”
“ผัวะ!”
ไป๋จวิ้นเหาตบหน้าเลขาแล้วพูดว่า “คุณไปทำสิ่งที่ผมบอกให้ทำก็พอ มาพูดจาไร้สาระอะไร? พาฉินซีมาหาผม ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะให้คนมาจับคุณแก้ผ้า”