ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสองคนก็ออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว เฝิงเจียหยีเป็นคนขับ ส่วนหยางเฉินนั่งอยู่ข้าง ๆ
เฝิงเจียหยีพูดไปขับรถไป บอกเบาะแสทุกอย่างที่นางรู้ให้กับหยางเฉิน
“ข้าได้บอกเบาะแสทุกอย่างที่ท่านพ่อรู้ให้แก่ท่านแล้ว ข้าแนะนำว่าให้ท่านไปที่บ้านพักตากอากาศอี๋เหอก่อน ที่ นั่นเป็นสถานที่ลับส่วนตัวของเฝิงจื้อหย่วน คนที่ท่านตามหาอาจจะอยู่ที่นั่น”
ขณะที่เฝิงเจียหยีกำลังพูดถึงเบาะแสอยู่นั้น นางก็ขับรถตรงไปยังบ้านพักอี๋เหอแล้ว
หยางเฉินพยักหน้า “ดี ! งั้นเราไปที่บ้านพักอี๋เหอกันเลย !”
ยี่สิบนาทีต่อมา มาเซอร์ราติคันสีขาวก็จอดอยู่ที่เชิงเขา เฝิงเจียหยีพูดขึ้น “รถขับมาส่งได้เท่านี้ หลังจากนี้จะเป็นเขตตรวจจับของบ้านพักอี๋เหอแล้ว”
หยางเฉินเข้าทราบดี ถ้าหากเขาเข้าไปใกล้กว่านี้ เฝิงจื้อหย่วนจะต้องรู้ตัวแน่ ๆ
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปข้างในเอง !”
หยางเฉินพูดจบก็ลงจากรถไป
ยังไม่ทันไรเฝิงเจียหยีก็ตามเขามาติด ๆ หยางเฉินขมวดคิ้ว “เจ้าตามข้ามาทำไม ?”
เฝิงเจียหยีพูดอย่างเยือกเย็น “ข้าเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์นะ”
คำพูดของนางทำให้เขาตกตะลึง เขายังไม่เคยเห็นใครในวัยเดียวกับเขาที่สามารถเข้าอาณาเขตแดนเหนือมนุษย์ได้เลย และนี่ยังเป็นผู้หญิงอีก”
แต่เมื่อนึกถึงสถานะของเฝิงเจียหยีแล้วเขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจมากนัก
เฝิงเจียหยีเป็นถึงลูกสาวของเฝิงจื้อเอ้า และเขาก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ชั้นหก ลูกสาวของเขาย่อยมีพรสวรรค์ด้านบูโดอยู่แล้ว
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ พุ่งหายตัวไปในความมืดอย่างเงียบงัน โดนมีเฝิงเจียหยีตามเขาไปติด ๆ
บ้านพักอี๋เหอมีพื้นที่กว้างขวาง รายล้อมไปด้วยภูเขาและป่าทึบ หากไม่มีคนคอยนำทางต้องหลงทางแน่นอน
ห้านาทีต่อมา หยางเฉินก็เข้ามาในเขตบ้านพัก ภายในเต็มไปด้วยโบราณสถานหลายแห่ง เฝิงเจียหยีอยู่ข้าง ๆ หยางเฉิน นางชี้ไปยังอาคารสองชั้นที่ใหญ่ที่สุดทางซ้ายมือ “ทุกครั้งที่เฝิงจื้อเอ้ามาที่นี่เขาจะพักอยู่ในบ้านหลังนั้น คนที่ท่านกำลังตามหาอยู่ เป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ที่นั่น”
“ท่านพ่อเคยบอกว่า ในอาคารหลังนี้มีห้องลับซ่อนไว้อยู่ เฝิงจื้อหย่วนสามารถนำคนหลบซ่อนมาได้นานขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะซ่อนพวกเขาไว้ในนั้น”
นัยน์ตาของเขาเย็นยะเยือก พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ไอ้เฝิงจื้อหย่วนมันก็เป็นสัตว์เดรัจฉานดี ๆ นี่เอง”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ? ข้ารู้ตำแหน่งของกล้องวงจรพวกนี้ทั้งหมดแล้ว ท่านตามข้ามาให้ดีแล้วกัน”
ไม่ช้า ทั้งสองก็เข้าไปภายในอาคารได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางคืน ทำให้ไม่สะดวกที่จะเปิดไฟ ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงค้นหากลไกของห้องลับเท่านั้น
แต่ทว่าเวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งสองก็ยังไม่พบกลไกของห้องลับ
“เป็นไปไม่ได้น่ะ !”
เฝิงเจียหยีขมวดคิ้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความงงงวย
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร พยายามค้นหาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แม้ในห้องจะมืดมิด แต่สายตาของเขากลับมีประกายราวกับมองเห็นทุกสิ่งได้
ทั้งสองค้นหาดูแลทั่วห้องแต่ก็ยังไม่พบอะไร เหมือนกับว่าที่นี่จะไม่มีกลไกจริง ๆ
หยางเฉินถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เฝิงจื้อหย่วนมาที่นี่ เขาขยับอะไรบ้างและอยู่นานแค่ไหน ?”
เฝิงเจียหยีพูดขึ้น “ไม่ได้ขยับอะไร แต่เขามักจะทำสิ่งหนึ่ง คือมักจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาเจ็ดวัน แดนวิถีบู๊ของเขาแข็งแกร่งมากจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ดังนั้นนอกจากรู้ว่าที่นี่มีความสำคัญกับเขาแล้ว เรื่องอื่นเราไม่รู้เลย”
หยางเฉินเงียบลงอีกครั้ง สมองกำลังแล่นอย่างบ้าคลั่ง ทำอย่างไรจึงจะสามารถเปิดประตูห้องลับได้
เขามั่นใจว่าใต้เท้าของเขาต้องมีห้องลับอยู่แน่ เพียงแต่เขาไม่อยากปล่อยลมปราณวิถีบู๊ออกมา ไม่อย่างนั้นคงสามารถเจอห้องลับได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ เขาทำได้เพียงหากลไกลับเยี่ยงคนธรรมดา
แม้ทุกครั้งที่เฝิงจื้อหย่วนมาที่นี่จะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เป็นไปได้ว่ากลไกคงไม่ใช่พนังหนาแน่นอน ไม่อย่างนั้นเวลาที่เปิดออก ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีการเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นเมฆดำก็ค่อย ๆ หายไป เผยให้เห็นแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามากระทบดวงตาของเขา
“หืม ?”
หยางเฉินขมวดคิ้ว มองไปยังทิศทางที่แสงจันทร์ส่องกระทบ มันคือกระจกที่อยู่บนพื้น เขาเดินเข้าไปพลางดันออกไปเบา ๆ ทันในนั้นประตูก็ค่อย ๆ เปิดออก
“เจอแล้ว !”
เฝิงเจียหยีดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองค้นหาจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปสัมผัสกระจกเลย ใครจะคาดคิดล่ะว่ากระจกนั่นจะเป็นประตูที่มองไม่เห็น
กระจกเปิดออก ไอเย็นก็พักออกมาจากทางเข้า
เฝิงเจียหยีถึงกับตัวสั่น ขมวดคิ้วและพูดว่า “ไอเย็นที่ออกมาเหมือนกับมีไอน้ำออกมาด้วย”
“ข้าเข้าไปล่ะ !”
หยางเฉินพูดจบก็เดินนำลงไปทันที
กระจกเปิดออกเผยให้เห็นรูถ้ำและบันไดทอดยาวลงไปด้านล่าง
ภายในมืดสนิท ขนาดนิ้วมือของตัวเองยังมองไม่เห็น หยางเฉินเปิดไฟโทรศัพท์ ด้านในจึงสว่างขึ้น
แต่กลับยิ่งทำให้หยางเฉินประหลาดใจ แสงสว่างจากโทรศัพท์ส่องลงไปไม่ถึงปลายทางของบันไดด้วยซ้ำ
ดูท่าแล้วคงทำได้แค่เดินลงไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
บรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มลดต่ำลง เขาขมวดคิ้วขึ้น อากาศภายในนี้ผู้ใหญ่ยังแทบจะทนไม่ได้ คงไม่ต้องพูดถึงเด็กเล็กเลย
เสี่ยวจิ้งอันอายุยังแค่ไม่กี่เดือน หากต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้คงต้องป่วยหนักแน่
ทั้งสองเดินลงไปได้ห้านาทีเพิ่งจะเห็นปลายบันได ที่นี่ช่างเป็นห้องลับที่กว้างมากเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตกใจก็คือ ระดับลมปราณวิถีบู๊ในห้องลับนี้เข้มข้นมาก โดยปกติแล้ว หากหยางเฉินต้องการพัฒนาพลังของเขาเองล่ะก็ ต้องใช้วิธีการหายใจจากคัมภีร์ต้าเต้าเทียบหยาน สูดอากาศเข้าไปในร่างกายเปลี่ยนกลับมาเป็นลมปราณวิถีบู๊
แต่ ณ ที่แห่งนี้เขาเพียงแค่ใช้การหายใจปกติก็สามารถสูดเอาลมปราณวิถีบู๊เข้ามาในร่างกายได้แล้ว
หากฝึกด้วยวิธีนี้แล้วล่ะก็ คงจะสามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดแน่
ในขณะที่หยางเฉินยังตกใจกับสถานที่แห่งนี้อยู่ ดวงตาของเฝิงเจียหยีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พลังลมปราณอันมหาศาลปะทุออกมา เฝิงเจียหยียกมือขึ้น เข้าจู่โจมไปยังหยางเฉินทันที