แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย – ตอนที่ 599 เข้าใจกับเบาะแส
ทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้เธอต่างติดค้างคำขอโทษอวี๋หมิงหลาง ทำผิดต่อความรู้สึกที่เขามีให้ เมื่อชาติก่อนเธอปล่อยให้เขารอตลอดชีวิต ชาตินี้เขายังคิดหาวิธีทำเพื่อเธอขนาดนี้อีก
ถ้าเธอเป็นคนไม่ปกติก็คงดี ถ้าเธอควบคุมหัวใจตัวเองได้ก็คงดี
แต่โรคภัยไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองจะเอาอยู่ คนจำนวนมากเข้าใจผิดต่อการปฏิบัติตัวกับผู้ป่วยจิตเวช คิดว่าขอแค่ผู้ป่วยพยายามด้วยตัวเองก็จะควบคุมอาการได้ ถ้าควบคุมไม่ได้ก็เป็นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ หาเรื่องใส่ตัวเอง เห็นแก่ตัว
หลายคนไม่เข้าใจโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ไม่เข้าใจโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการล้างมือ หรือแม้แต่โรคซึมเศร้า
ถ้าอย่างนั้นรักเขาแล้วทำไมไม่แต่งงาน? ทำตัวเรื่องเยอะ
รู้ทั้งรู้ว่าล้างมือบ่อยๆไม่ดีทำไมยังจะล้างอยู่ได้? ความสามารถในการควบคุมตัวเองแย่
ชีวิตดีจะตายทำไมต้องซึมเศร้าอยากฆ่าตัวตาย? ไม่ได้เรื่อง
คนปกติใช้ความคิดแบบคนปกติไปผูกมัดคนป่วย ความเข้าใจผิดนี้ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกดดันมากกว่าเดิม ผู้ป่วยนับวันจะยิ่งเกลียดตัวเอง ยอมรับตัวเองไม่ได้ แล้วอาการก็จะหนักขึ้น
ในฐานะที่เสี่ยวเชี่ยนเป็นจิตแพทย์ไม่เห็นด้วยที่คนปกติจะเลือกแต่งงานกับผู้ที่ป่วยทางด้านจิตใจ เพราะการทำแบบนั้นมันหมายถึงเห็นใจ การเห็นใจนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่คนทำได้น่ะน้อย ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล ทุกคนต่างมีนิสัยของตัวเอง ใครจะยอมอดทนและยอมถอยให้ไปตลอดชีวิตล่ะ? ไม่ใช่เทวดา มีใครบ้างที่หงุดหงิดอารมณ์เสียไม่เป็น?
แล้วอวี๋หมิงหลางเป็นใคร?
เขาเป็นคนมีความสามารถ เป็นครูฝึกทหารหน่วยรบพิเศษที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาเป็นคนมากพรสวรรค์ที่ครูฝึกทุกคนไม่อาจประเมินอนาคตเขาได้
แต่เขากลับใจกว้างเห็นใจคนป่วยอย่างเธอ ยอมทำตัวเป็นคนโง่
ทำเรื่องที่คนอื่นมองว่าไม่ฉลาด ต่อให้เกิดข้อผิดพลาดก็ขอรับไว้คนเดียว แบกรับความโกรธของเธอทั้งหมด ไม่ยอมบอกเธอ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อรักษาอาการให้เธอ
บางทีในสายตาที่คนอื่นมอง นี่คือผู้ชายที่ทั้งโง่ทั้งปัญญาอ่อน แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเขาทำตัวไม่โง่ก็ได้ เขาเป็นคนฉลาด
แต่ความฉลาดของเขากลับเป็นการทำร้ายเธอ ดังนั้นพออยู่บนเส้นทางที่เลือกจะโง่แล้วเขาจึงไม่หันหลังกลับ
อวี๋หมิงหลางในชาติที่แล้วมีความเป็นผู้ใหญ่มาก ถึงขนาดเป็นผู้ชายที่ดูดีมีความสุขุมคล้ายกับเทพบุตร เป็นตัวเลือกสามีที่เพอร์เฟคที่สุดของผู้หญิงทุกคน
แต่อวี๋หมิงหลางในชาตินี้ยอมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะอาการทางจิตใจของเธอ จนเขากลายเป็นผู้ชายที่ยอมทำได้ทุกอย่าง…
อวี๋หมิงหลางอยู่ในท่าพร้อมถูกเธอกระทำ รอเธออาละวาด แต่พอลืมตาขึ้นก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนน้ำตาคลอเบ้ากำลังมองมาที่เขา จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
“โห แม่เจ้าประคุณรุนช่อง อย่าร้องสิ ผมผิดเองทุกอย่าง คุณจะเอายังไงก็ได้ยกเว้นเลิกกัน อย่าร้องไห้ได้ไหม?”
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย” เธอพยายามกลั้นน้ำตา และได้ทำการตัดสินใจแล้ว
อวี๋หมิงหลางเห็นเธออยู่ๆก็จริงจัง ในใจรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนกำลังจะอ้าปากพูดเขารีบเอานิ้วไปปิดปากเธอ
“คุณห้ามพูดอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณกล้าบอกเลิก อย่ามาโทษผมจับตีก้นนะ จะตีจนกว่าคุณจะเชื่อฟัง ผมมีความผิดก็จริง แต่มันก็ไม่ถึงกับจะทำให้คุณตัดสินโทษตาย คุณต้องให้โอกาสผมได้ปรับปรุงตัวสิ”
ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกเลิก ความรู้สึกนั้นตอนนี้อวี๋หมิงหลางก็ยังไม่ลืม ตอนนี้เขากลัวคำว่าเลิกกันมาก
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้จะบอกเลิก ฉันหมายความว่า ถ้านายอยากแต่งงานจริงๆ…พวกเราลองดูก็ได้”
ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือเธอปรับตัวหลังแต่งงานไม่ได้ ฝันร้ายก็จะหนักขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยคิดหาวิธี
เธอไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นถึงจิตแพทย์จะแต่งงานไม่ได้
ตอนนี้ความตระหนักรู้กับจิตใต้สำนึกหันไปคนละทาง
ความตระหนักรู้ของเธอทำให้เธอยังควบคุมความคิดต่างๆได้ เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าตัวเองรักอวี๋หมิงหลาง อยากสร้างครอบครัวร่วมกับเขา เธออยากแต่งงานกับเขา
แต่ตัวคัดค้านก็คือจิตใต้สำนึกของเธอ
เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ล้มเหลวในการเลี้ยงลูก จิตใต้สำนึกของเสี่ยวเชี่ยนจึงต่อต้านการแต่งงาน กลัวจะเหมือนกับเมื่อชาติก่อน และทั้งหมดนี้เสี่ยวเชี่ยนล้วนควบคุมตัวเองไม่ได้
การดำรงอยู่ของจิตใต้สำนึกก็มหัศจรรย์แบบนี้นี่แหละ ไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมัน แต่มันกลับควบคุมทัศนคติความคิดของพวกเรา ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่จิตแพทย์ยังจัดการง่ายหน่อย ไปหาจิตแพทย์ที่เก่งๆระดับศาสตราจารย์หลิวให้สะกดจิตให้เธอเพื่อเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเธอ แล้วแก้ไขความทรงจำเสีย
เมื่อก่อนเสี่ยวเชี่ยนก็ใช้วิธีนี้รักษาคนไข้ ศาสตราจารย์หลิวไม่มีทางรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนมีความทรงจำจากเมื่อชาติก่อน ดังนั้นโรคหวาดกลัวการแต่งงานของเธอจึงหนักกว่าที่คิด ต่อให้ตัดเรื่องที่เธอกลับชาติมาเกิดทิ้ง ก็ยังใช้วิธีสะกดจิตรักษาคนที่มีความสามารถในการควบคุมตัวเองเก่งอย่างเธอไม่ได้อยู่ดี มีคนประเภทหนึ่งที่ต่อต้านการสะกดจิตได้เก่งมาก ซึ่งเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางเป็นคนประเภทนั้น
ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนจึงอยากลองพนันดูสักครั้ง อยากลองดูว่าหลังจากที่ฝืนแต่งงานกับอวี๋หมิงหลางไปแล้วจะเป็นอย่างไร ใช้ความตระหนักรู้ของเธอต่อต้านจิตใต้สำนึกของตัวเอง
พอได้ยินเธอยอมตกลงแต่งงาน ไม่เพียงแต่อวี๋หมิงหลางจะไม่กระโดดโลดเต้นดีใจ ยังจ้องเธออย่างเอาจริงเอาจังด้วยซ้ำ
เสี่ยวเชี่ยนเอามือโบกผ่านหน้าเขา ทำไมปฏิกิริยาของตานี่ไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้เลยล่ะ?
“ยังไม่ต้องรีบ” อวี๋หมิงหลางที่ใจร้อนอยากแต่งงานมาตลอด หลังจากที่ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนตอบตกลงเขาก็ไม่ได้เกิดอาการดีใจ แต่นั่งใช้ความคิดอย่างใจเย็น
“แต่นาย—”
“ผมรีบก็จริง ผมอยากแต่งคุณเข้าบ้านจะตายอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณยังไม่พร้อมงั้นก็ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
“ฉันลองดูได้นะ”
อวี๋หมิงหลางไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับสีหน้าจริงจังของเธอดี ทำได้แค่เอาคางเกยศีรษะเธอแล้วถูไปมาด้วยความเอ็นดู
“ดูสีหน้าคุณตอนนี้สิ อย่างกับจะไปขึ้นแดนประหาร เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรจะมาเครียดขนาดนี้”
สีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้ ถ้าคนที่รู้เรื่องก็จะคิดว่าเธอตัดสินใจแต่งงานกับเขา คนที่ไม่รู้คงคิดว่าใครไปขุดสุสานบรรพบุรุษเธอขึ้นมา
“นายรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ก็อย่ามาจับผิดสีหน้าฉันได้ไหมเล่า” ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าการต่อต้านสัญชาตญาณของตัวเองเป็นเรื่องทุกข์ทรมานแค่ไหน
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนกำลังจินตนาการถึงภาพลักษณ์ของคนที่ควบคุมโรคจิตเวชไม่ได้คล้ายกับอะไร?
พูดแบบไม่สุภาพก็คือ เหมือนคนฉี่รดกางเกง
รู้ว่าไม่ดีแต่ก็คุมตัวเองไม่ได้ พอควบคุมไม่ได้ก็เกิดความรู้สึกขยะแขยงตัวเอง แต่ก็ยังคุมไม่ได้อยู่ดี
คนที่เป็นโรคจิตเวชมักจะเกิดความรู้สึกแบบนี้นี่แหละ
อวี๋หมิงหลางรู้ว่าในเวลานี้เธอต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากถึงเอาชนะความกลัวในจิตใจได้ เขาถึงได้เป็นห่วงเธอ ไม่อยากฝืนใจเธอ
“ผมไม่ได้จับผิดคุณนะ ผมแค่อยากให้เจ้าสาวของผมยิ้มแย้มเต็มใจแต่งงานกับผม ในเมื่อคุณยังไม่พร้อมผมก็รอได้ รอมาแล้วสามปีรออีกสักปีจะเป็นอะไรไป คุณไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ผมผิดไปแล้วมันคือความผิดของผมเอง ไม่เกี่ยวกับคุณเลยสักนิด”
เขาพอจะเดาได้ว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้โกรธแต่ที่ตาแดงๆเพราะจะบอกว่ายอมแต่งงานกับเขา อาจเพราะเธอรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาแล้ว อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้เธอเครียด ไม่อยากให้เธอพูดเรื่องโรคหวาดกลัวการแต่งงานอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ลูกเชี่ยน คุณเอาผ้าขนหนูนี่มาจากไหน นำเข้าจากประเทศหมู่เกาะ[1]เหรอ?”
เขาดึงผ้าขนหนูลงจากศีรษะ อยากเปลี่ยนเรื่องคุย แต่นึกไม่ถึงว่ากลับไปเจอเบาะแสบางอย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง
[1] ประเทศหมู่เกาะ ในที่นี้หมายถึงประเทศญี่ปุ่น