แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย – ตอนที่ 615 ประธานเชี่ยนเบ่งบ้าง
เสี่ยวเชี่ยนล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปหาทีมตำรวจอาชญากรรม ตอนนี้อวี๋หลิวเหมยไม่ต้องคอยตามคุ้มกันเสี่ยวเชี่ยนแล้ว ออกไปหางานทำแล้ว
งานระยะสั้นของอวี๋หลิวเหมยเสร็จสิ้นแล้ว เดิมเธอควรกลับไปยังเมืองที่พ่อแม่อยู่ แต่เด็กคนนี้พบว่าเมืองนี้มีของอร่อยเยอะ อีกทั้งไม่อยากกลับไปให้พ่อแม่คุมอีก จึงอยากหางานทำระยะยาวที่นี่ เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขอบคุณที่ครั้งนี้เธอคอยช่วยคุ้มกันจึงให้อยู่ต่อ จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วย
เลี่ยวฟู้กุ้ยรอเสี่ยวเชี่ยนอยู่ตรงทางเข้า เขาเล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง
เขาพบว่าอาการของจือหมิงนั้นค่อนข้างมีความพิเศษ มีเอกลักษณ์ จึงช่วยสมัครให้เสี่ยวเชี่ยนมาเป็นผู้ช่วย แต่ก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนให้ มาทำแค่คดีของจือหมิง ตอนที่ทีมงานของเลี่ยวฟู่กุ้ยทำการวินิจฉัย เสี่ยวเชี่ยนมีหน้าที่จดบันทึกอยู่ข้างๆ
เธอไม่มีสิทธิ์พูด และก็ไม่มีสิทธิ์ตรวจอาการ
พูดตามตรงก็คือ ฟู่กุ้ยคิดว่าคดีนี้จะช่วยให้เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจโรคหลายบุคลิกมากขึ้นจึงเรียกเธอมานั่งฟังด้วย
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเป็นคดีของจือหมิงเธอก็เกิดความสนใจ เมื่อชาติก่อนเธอไม่เคยเจอคนไข้แบบนี้ ลืมความทรงจำชนิดที่จำอะไรไม่ได้เลยเธอเคยเห็นแต่ในหนังสือ ชีวิตจริงยังไม่เคยเจอ
ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ทันใดนั้นเธอก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของสองคนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของทีมตำรวจอาชญากรรม
เป็นลุงกับป้าเจ้าของรีสอร์ทบนเขา เพิ่งไม่เจอกันไม่กี่วันสภาพของทั้งสองคนเหมือนแก่ลงไปอีกหลายสิบปี ลุงกับป้ากอดขาตำรวจที่ทำคดีแน่นไม่ยอมปล่อย
“ดูเหมือนจะเป็นญาติของผู้ต้องหา” เลี่ยวฟู่กุ้ยเจอเรื่องแบบนี้บ่อย กลัวจะส่งผลต่อเสี่ยวเชี่ยนจึงพาเธอขึ้นชั้นบน เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองป้าคนนั้นแล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของป้า
“ลูกป้าไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเป็นคนซื่อๆ ขนาดไก่ยังไม่กล้าฆ่าเลยแล้วจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง จะต้องเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมาเข้าสิงเขาแน่ๆ ลูกป้าไม่ใช่คนแบบนั้น!”
พวกตำรวจอาชญากรรมพูดอย่างไรกับลุงป้าทั้งสองเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับจือหมิงก่อนหน้านี้สมองของเสี่ยวเชี่ยนก็ปรากฏภาพหนึ่งแวบเข้ามา
“จากสถานการณ์ในตอนนี้ เครื่องจับเท็จก็ใช้แล้ว ได้ผลไม่แน่ชัด จนถึงตอนนี้สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง” เลี่ยวฟู่กุ้ยพาเสี่ยวเชี่ยนเดินไปยังห้องวินิจฉัยพลางเล่าให้ฟัง
“เครื่องจับเท็จไม่มีประโยชน์กับผู้ป่วยโรคหลายบุคลิกหรอก เครื่องจับเท็จจะใช้จับอัตราการเต้นของหัวใจ การตอบสนองของผิวหนังต่อการนำของกระแสไฟฟ้าเป็นต้น เพื่อทดสอบว่าโกหกหรือไม่ ในเมื่อทดสอบไม่เจอบุคลิกอื่นๆในตัวเขา แน่นอนว่าไม่ใช่พูดโกหกแล้วจับไม่ได้ แต่เพราะจับไม่ได้นี่แหละ ความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นโรคหลายบุคลิกเลยยิ่งมีมาก”
การที่ได้ผลแบบนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่แปลกใจเลยสักนิด
“เพราะตอนนี้ทุกคนไม่มีวิธีที่จะปลุกบุคลิกอื่นของเขาออกมาได้ เลยวินิจฉัยไม่ได้” นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เลี่ยวฟู่กุ้ยเจอเคสแบบนี้
“ให้เขาทำแบบประเมินหรือยัง?”
แบบประเมินที่เสี่ยวเชี่ยนพูดถึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยวินิจฉัยโรคหลายบุคลิก คล้ายๆกับแบบทดสอบทางจิตวิทยา มีคำถามเฉพาะหลายข้อที่ต้องตอบ สุดท้ายจะนำคำตอบที่ได้มาวิเคราะห์ว่าเป็นโรคหลายบุคลิกหรือไม่
“ตอนนี้สภาพของเขาเหมือนลูกนกที่หวาดกลัวมาก เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้กับโต๊ะไม่ให้ความร่วมมือ งานเลยไม่คืบ พวกเพื่อนพี่เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”
เลี่ยวฟู่กุ้ยเองก็อ่อนเพลีย
คนภายนอกมักจะเข้าใจผิดเรื่องการทำงานของพวกเขา คิดว่าพวกเขามีชื่อตำแหน่งที่โก้เก๋รับเงินเดือนสูงๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่างานแต่ละวันนั้นทำให้พวกเขาอยากจะเป็นบ้า
“เชี่ยนเอ๋อ ครั้งนี้ให้เธอมาแค่ดูก็พอแล้ว สิ่งสำคัญคืออยากให้เธอได้มีโอกาสมาดูของจริง ถ้าในอนาคตเธอได้เจอคนไข้แบบนี้จะได้รู้ว่าควรจัดการยังไง—” เลี่ยวฟู่กุ้ยยังไม่ทันจะพูดจบก็มาถึงห้องวินิจฉัยแล้ว เพื่อนร่วมงานของเขาสองคนเดินออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า สีหน้าเซ็งๆ
เลี่ยวฟู่กุ้ยหยุดคุยกับเสี่ยวเชี่ยนแล้วถามเพื่อนร่วมงาน
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเหรอ?”
“เมื่อกี้หัวหน้าหลี่ลองสะกดจิตแต่ล้มเหลว…”
คนที่ไม่เข้าใจงานวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการทางประสาทไม่มีทางจินตนาการออกถึงความยากลำบากของพวกเขาแน่ ถึงจะมีอุปกรณ์ แต่การวินิจฉัยส่วนใหญ่ก็ยังต้องใช้การทดสอบและการพูดคุยเพื่อให้ได้ข้อสรุป
ตอนนี้จือหมิงมีอาการหวาดกลัว ปฏิเสธการทำแบบประเมิน และปฏิเสธการให้ความร่วมมือกับนักสะกดจิต ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นวิธีสำคัญที่ใช้วินิจฉัยโรคหลายบุคลิก
“พวกไม่ได้เรื่อง! เงินเดือนตั้งสูงกลับทำอะไรไม่ได้! แล้วจะเอาคนอย่างพวกนายมาทำอะไร! ทำได้ไหม ไม่ได้ก็ย้ายไปที่กันดารเลยไป! มณฑลออกจะใหญ่มันไม่มีนักนิติจิตวิทยาเก่งๆเลยหรือไง!” เสียงโวยวายของผู้ชายที่ดูท่าทางตำแหน่งสูงคนหนึ่งดังลอดออกมาจากห้อง
เลี่ยวฟู่กุ้ยกับเพื่อนร่วมงานมองหน้ากันแล้วถอนหายใจแบบไร้เสียง
นี่เป็นคนระดับสูงที่มาตรวจงานที่นี่ บรรดาผู้มีตำแหน่งใหญ่โตต่างกดดันให้ได้ข้อสรุปไวๆ แต่กลับไม่ได้คิดถึงความลำบากของพวกเขาเลย
เสี่ยวเชี่ยนติดตามเลี่ยวฟู่กุ้ยอยู่ข้างๆ เธอถูกพี่ชายลากให้มาเปิดประสบการณ์ พอเห็นเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่อยากเอ่ยปากพูด จะอยู่วงการไหนก็ล้วนมีความไม่เข้าใจกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ บางคนทำงานบริหารไม่ได้เข้าใจในหน้าที่เลยสักนิด วันๆทำท่าอวดเบ่ง เสแสร้งชอบใช้อำนาจ
คนระดับสูงคนนั้นด่าหัวหน้าของเลี่ยวฟู่กุ้ยเสร็จก็เดินออกมาผ่านพวกเลี่ยวฟู่กุ้ย ถ้าเดินผ่านไปก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เขากลับระบายอารมณ์ในห้องยังไม่หนำใจ ออกมาหาเรื่องข้างนอกอีก
เขาชี้ไปที่เสี่ยวเชี่ยน “นี่ใคร?”
“ผมเชิญเขาให้มาเป็นผู้ช่วยครับ” เลี่ยวฟู่กุ้ยอธิบาย
“ผู้ช่วยเหรอ? หึ ดูท่าทางพวกนายจะเงินหนานักนะ! ให้ทำคดีไม่มีอะไรคืบหน้า รู้จักแต่หาวิธีเอาเงินของประเทศมาถลุง!” คนระดับสูงแขวะเรื่องนี้ใส่พวกเลี่ยวฟู่กุ้ย
“เธอไม่ได้รับค่าตอบแทนครับ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหลวง แค่ให้มาทำชั่วคราว—” เลี่ยวฟู่กุ้ยอธิบายยังไม่ทันจบว่าเขาให้เสี่ยวเชี่ยนมาไม่ได้ให้เงินเธอสักบาท
แต่คนระดับสูงนิสัยโมโหร้ายคนนี้ไม่ฟังคำอธิบายอะไรทั้งนั้น คนที่อยู่ในระดับนี้แล้วความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าเขาคิดว่าอะไรถูก ให้คนอื่นมาพูดเป็นหมื่นครั้งก็ไม่มีทางเชื่อ
คำอธิบายของเลี่ยวฟู่กุ้ยไม่ได้รับการให้อภัย แต่กลับทำให้คนระดับสูงแขวะหนักกว่าเดิม
“เก่งแต่ปากทำงานไม่ได้เรื่อง เอาคนอายุแค่นี้มาเป็นผู้ช่วย จะให้ไม่ให้เงินเดือนก็สิ้นเปลืองทรัพยากรของหลวงอยู่ดี เอามาเป็นตัวถ่วงงานมากกว่า พวกนายนี่รับใช้ประชาชนกันยังไง? ฉันว่าพวกนายไม่อยากจะตั้งใจทำงานกันมากกว่า วันๆคิดแต่เรื่องชู้สาว ประชาชนเสียเงินให้พวกนายแล้วพวกนายตอบแทนประชาชนกันแบบนี้เหรอ?”
คำพูดแดกดันในตอนท้ายทำให้ทีมของเลี่ยวฟู่กุ้ยพากันโกรธหน้าเขียว กำหมัดแน่นแต่ไม่กล้าเถียง
ใครใช้ให้คนตรงหน้ามีตำแหน่งสูงล่ะ ใครใช้ให้เลี่ยวฟู่กุ้ยพาเสี่ยวเชี่ยนมาล่ะ พอคนตรงหน้าจับหางได้ก็เหยียบจนมิดพื้น!
เสี่ยวเชี่ยนทนฟังต่อไปไม่ไหว เดิมเธอก็ไม่ได้คิดจะยุ่ง แต่คนๆนี้กลับพุ่งเป้ามาที่เธอ อีกทั้งยังดูถูกพี่ชายเธอ ความโกรธนี้ถ้ายังทนได้ก็ไม่ใช่เสี่ยวเชี่ยนแล้ว
เธอเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่สนว่าเลี่ยวฟู่กุ้ยจะดึงมือเธอไว้ แล้วสั่งคนระดับสูงตรงหน้า
“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้ด้วยค่ะ!”
อีกฝ่ายถลึงตาใส่ “เธอคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่?”