The king of War บทที่ 2097 ความห่างชั้นมากมากเกินไป
ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างราวกับวิญญาณปรากฏขึ้นบนหลังคาของโรงแรมจงโจว
ใบหน้าของ ฉีเฟิงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาเห็นผู้มาเยือน
คนในตระกูลขุนนางอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจและมองไปที่คนกลางชายสูงอายุถือขวดไวน์อยู่ในมือ
สวีเจิ้นฮั๋วขมวดคิ้วไปที่ชายวัยกลางคนและถามว่า “ฉีเทียนเหอ ทำไมคุณถึงมาที่นี่”
ฉีเทียนเหอ เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลฉีในจงโจว
ฉีเทียนเหอ ไม่สนใจ สวีเจิ้นฮั๋วแต่มองไปที่ ฉีเฟิงและพูดว่า “ตามฉันมา!”
ฉีเฟิงเลิกคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ฉันไปไม่ได้ นายออกไปก่อน รอให้ฉันจัดการเรื่องนี้ได้แล้วค่อยไปหานาย”
ฉีเทียนเหอยกขวดเหล้าในมือของเขาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็จ้องมองไปที่ฉีเฟิงและพูดว่า “ฉันถึงจะเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลฉีในจงโจว! นายพาสมาชิกผู้แข็งแกร่งของตระกูลฉีสองคนออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ไม่คิดถึงผลที่ตามมาเหรอไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของ ฉีเทียนเหอ ดวงตาของ ฉีเฟิงก็มีประกายรังสีสังหารวาบผ่าน เขากัดฟันและพูดว่า “ฉีเทียนเหอ ตระกูลส่งนายมาจงโจวพร้อมกับฉันก็เป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น นายก็น่าจะรู้ตัวดี ว่าเรื่องตรงนี้นายสอดมือไม่ได้”
“ฮึ่ม!”
ฉีเทียนเหอ แค่นเสียงจากนั้นก็มองไปที่ผู้แข็งแกร่งตระกูลฉีสองคนที่อยู่ข้างหลัง ฉีเฟิงและพูดอย่างเย็นชา “พวกนายล่ะ? จะไปกับฉัน? หรืออยู่ที่นี่ต่อ?”
สมาชิกผู้แข็งแกร่งตระกูลฉีสองคนต่างมีสีหน้าปั้นยากทั้งคู่ แม้ว่า ฉีเทียนเหอ จะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลฉีในจงโจว แต่ชื่อเสียงของ ฉีเทียนเหอ ในตระกูลฉีนั้นไม่ค่อยดีนัก ทุกคนคิดว่าเขาเป็นเศษขยะที่ติดอยู่ในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
หากพ่อของ ฉีเทียนเหอ ไม่ใช่ผู้นำของตระกูล เขาคงถูกตระกูลทอดทิ้งไปนานแล้ว
ฉีเทียนเหอ ยังถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกบู๊โบราณล่าง เนื่องจากเขามีชี่ทิพย์ที่แพรวพราวอยู่บนหัวของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยอยู่ในอันดับที่หนึ่งของโลกบู๊โบราณล่า
ในโลกบู๊โบราณล่าง มีอันดับจอมคนและ อันดับนภา
อันดับจอมคนเป็นอันดับของนักบูโดรุ่นเยาว์ในวัยไม่เกินสามสิบ
อันดับนภาเป็นรายการจัดอันดับของผู้แข็งแกร่งแดนนภาที่มีอายุไม่เกินสี่สิบปี
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ฉีเทียนเหอ มีพรสวรรค์ในด้านบูโดมากขนาดไหน แต่เมื่อห้าปีที่แล้ว ฉีเทียนเหอ ได้ละทิ้งบูโดของเขาเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งและกลายเป็นนักบูโดขยะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นักบูโดอัจฉริยะผู้นี้ซึ่งเป็นที่ยอมรับมานานแล้วในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลฉี กลับตกต่ำลงและกลายมาเป็นเรื่องตลกของโลกบู๊โบราณล่าง ซึ่งนี่ทำให้ตระกูลฉีอับอายอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าผู้แข็งแกร่งสองคนของตระกูลฉี ไม่มา ฉีเทียนเหอ ก็ถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนว่าพวกนายคุณจะเลือกฉีเฟิงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ หากพวกนายตาย ฉันจะมาเก็บศพให้แล้วกัน!”
พูดจบ ฉีเทียนเหอ จึงสะบัดตัวและออกจากดาดฟ้าไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้มองหยางเฉินเลยสักนิด ซึ่งนี่ทำให้หยางเฉินเกิดความสนใจในตัวฉีเทียนเหอมากขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
หยางเฉินรู้สึกได้ว่าบนตัว ฉีเทียนเหอ ไม่มีลมปราณบูโดอยู่ หรือกล่าวก็คือ ฉีเทียนเหอ เป็นคนธรรมดา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ฉีเทียนเหอ พูดก่อนที่เขาจะจากไปนั้นดูเหมือนจะเป็นการตัดสินแล้วว่า ทุกคนในห้าตระกูลบู๊โบราณจะต้องตายที่นี่
“ไอ้สารเลว! เขากล้าดียังไงมาแช่งให้พวกเรามาตายที่นี่! เขาก็เป็นแค่มดตุ่นที่ละทิ้งบูโดไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาแช่งพวกเรา?”
จนกระทั่ง ฉีเทียนเหอ จากไป สวีเจิ้นฮั๋วกล่าวด้วยความโกรธ
คนอื่นๆ ก็โกรธเช่นกัน
“ไอ้หนู ถ้านายไสหัวไปตอนนี้ พวกเราจะไว้ชีวิตนายสักครั้ง”
ในเวลานี้ ฉีเฟิงก็พูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีเจิ้นฮั๋วและคนอื่น ๆ ก็โมโหและตำหนิ ฉีเฟิง”ฉีเฟิงคุณคิดจะทำอะไร?”
“คุณอยากไว้ชีวิตเขา ได้ถามพวกเราหรือยัง?”
“เมื่อกี้นี้เขาได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนไปแล้ว แต่นายกลับยังคิดจะดึงเขาเอาไว้ คิดว่าพวกเราเป็นไม้ประดับหรือไง?”
ฉีเฟิงไม่ได้สนใจผู้มีอำนาจตัดสินใจคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าทำไม คำพูดของ ฉีเทียนเหอ ทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤตที่รุนแรงอย่างยิ่ง
คนนอกประเมิน ฉีเทียนเหอ ต่ำไป แต่ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฉี ฉีเฟิงรู้ดีว่า ฉีเทียนเหอ เป็นบูโดอัจฉริยะที่น่ากลัวเพียงใด
แม้ว่า ฉีเทียนเหอ จะละทิ้งวิธีบู๊ไปแล้ว แต่การรับรู้ของเขายังคงอยู่
เป็นไปได้มากว่า ฉีเทียนเหอ จะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของหยางเฉิน หรือไม่ ฉีเทียนเหอ ก็อาจสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของจิตวิญญาณเทพมารในร่างกายของหยางเฉิน
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาต้องการให้หยางเฉินมีชีวิตรอด แต่ว่าเป็นเพราะผู้นำตระกูลฉีได้ส่งสมาชิกแข็งแกร่งของตระกูลมายังจงโจวในชั่วข้ามคืน ก็เพราะผู้นำตระกูลฉีต้องการให้หยางเฉินมีชีวิตอยู่
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเหตุผล แต่นี่เป็นคำสั่งของผู้นำตระกูลและเขาต้องเชื่อฟัง
หยางเฉินกล่าวว่า “อาศัยคำพูดของนายเหมือนกัน หากนายพาคนออกไปเสียตอนนี้ ฉันจะไว้ชีวิตตระกูลฉีสักครั้ง”
“รนหาที่ตาย!”
ฉีเฟิงโมโหอย่างมากขึ้นมาทันที
สวีเจิ้นฮั๋วกล่าวว่า “พี่ฉี อย่ามัวมาเสียเวลาพูดกับเขาเลย เขากล้าที่จะปฏิเสธแม้แต่หัวหน้าสมาคมตู้ แล้วจะมาถูกหว่านล้มโดยคุณได้ยังไง?”
เฉินจื้อจง เยาะเย้ย “ไอ้หนูถ้านายรับปากว่าจะเข้าร่วมพันธมิตรพิทักษ์ พวกเราคงไม่กล้าทำอะไรนาย แต่นี่นายกล้าที่จะปฏิเสธหัวหน้าสมาคมตู้ วันนี้พวกเราก็ส่งนายไปตายแล้วกัน!”
หยางเฉินไม่ได้พูด เขาใช้พลังสายเลือดคลั่ง และสายเลือดคลั่งที่ถูกสามสายเลือดเทพที่ยิ่งใหญ่ ปรับปรุงขึ้นมา วันนี้หลังจากถูกใช้พลัง มันก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น
ลมปราณอันรุนแรงจนคนถึงกับสั่นสะท้านในใจแทรกซึมออกมาจากร่างกายของเขา
ในขณะนี้ ดาดฟ้าของโรงแรมจงโจวทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยลมปราณที่บ้าคลั่ง
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนรู้สึกได้ถึงความกดดันที่ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นไหว
หยางเฉินพูดอย่างเย็นชา “วันนี้ ฉันจะใช้เลือดพวกนายประกาศกฎใหม่ของนักบูโดให้ทั้งโลกใหม่ได้รู้!”
ผู้แข็งแกร่งแดนนภาทั้งสิบห้าคนบนรวมถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจของห้าตระกูลใหญ่บู๊โบราณ เวลานี้ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
ลมปราณที่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลันของหยางเฉินนั้นรุนแรงเกินไป จนแทบไม่อาจเป็นพลังออร่าที่นักบูโดแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นสามารถมีได้เลย
“ปัง!”
ทันทีที่หยางเฉินเคลื่อนไหวฝ่าเท้า ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็หายวาบไปและพุ่งตรงไปยังเหล่าผู้แข็งแกร่งในโลกบู๊โบราณล่าง
“ปัง!”
กลุ่มแข็งแกร่งโลกบู๊โบราณล่างยังไม่ทันได้สติกลับเห็นว่าผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายคนหนึ่งร่างกายกำลังกระเด็นออกไปราวกับลูกกระสุนก็ไม่ปาน
ไป๋หลี่เฉิงจี๋ ตะโกนทันที “สวีเจิ้นฮั๋วคุณยังมัวทำอะไรอยู่? รีบใช้ขวดกักวิญญาณเดี๋ยวนี้! เจ้าหนุ่มนี้ต้องถูกจิตวิญญาณเทพมารครอบงำแล้วแน่ ถึงได้พัฒนาความแข็งแกร่งที่ทรงพลังแบบนี้ได้”
เมื่อเขาตะโกนออกไป หยางเฉินก็เอาชนะผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายอีกสองคนจนกระเด็นออกไปได้แล้ว
ในเวลานี้ ทุกคนถึงค่อยได้สติกลับมา กลุ่มผู้แข็งแกร่งโลกบู๊โบราณต่างรีบพุ่งเข้าใส่หยางเฉิน
ในเวลานี้ แม้แต่หยางเฉินเองก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงในใจ
ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้ฝ่าแดนบูโดไปแล้ว แต่การฝ่าแดนในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนมาก
ครั้งนี้เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากเกินไป
จนกระทั่งถึงเวลานี้หลังจากที่ได้ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายและผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นยอดแล้วจริงๆ เขาถึงค่อยตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของตนพัฒนาขึ้นไปอย่างมากเพียงใด
ตอนนี้ แดนบูโดของเขาเป็นเพียงแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางจริงๆ หรือ?
แม้แต่หยางเฉินเองก็เริ่มสงสัย
สวีเจิ้นฮั๋วก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกันหลังจากได้รับการเตือนจากไป๋หลี่เฉิงจี๋ เขาหยิบขวดกักวิญญาณออกมาอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้น “รวบรวมจิตวิญญาณ!”