บทที่ 89 เธอไม่เป็นไรหรอก
ลมพายุยังไม่สิ้นสุดก็ตามด้วยฝนฟ้ากระหน่ำ
หลังจากนั่งเครื่องมาสิบกว่าชั่วโมง ในที่สุดซูย้าวก็ได้เดินทางมาถึง เธอเพิ่งลงจากเครื่องก็ต้องเจอกับพายุรุนแรงและฝนฟ้ากระหน่ำ
ก้อนเมฆปกคลุมท้องฟ้าจนมืดครึ้ม ยังไม่ถึงห้าโมงเย็นทั่วทั้งเมืองก็ถูกความมืดกลืนกินแล้ว เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าพร้อมจะผ่าแยกก้อนเมฆสีเข้มที่ปกคลุมทั้งเมืองนี้
เธอขึ้นรถแท็กซี่แล้วตรงกลับไปที่บ้านตระกูลลี่ทันที
เมื่อกลับถึงบ้านเธอไม่เห็นลูกชายที่ห่างกันหลายวัน คฤหาสน์ว่างเปล่าเหมือนไม่มีใครอยู่มาหลายวัน ห้องนอนในบ้านและพื้นเต็มไปด้วยฝุ่น ดูเหมือนจะไม่มีใครทำความสะอาดเลย
เธอส่งข้อความถึงแม่บ้านแต่ผ่านไปตั้งนานก็ไม่มีการตอบกลับ
ซูย้าวยกกระเป๋าเดินทางขึ้นชั้นบน หลังจากทำความสะอาดแล้วเธอมานั่งพักบนโซฟา เธอคิดถึงลูกชายจึงจะส่งข้อความหาแม่บ้านอีกครั้ง แต่ก็ได้รับข้อความตอบกลับจากแม่บ้านพอดี
“คุณผู้หญิงกลับมาแล้วเหรอคะ? ทำไมกลับไวจัง? ตอนนี้พวกเราอยู่มัลดีฟส์นะคะ นายน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย”
มัลดีฟส์?!
ซูย้าวรู้สึกประหลาดใจ เจี่ยงเวินอี๋พาหลานชายไปพักร้อนที่มัลดีฟส์ในช่วงที่เธอกับลี่เฉินซีไปประเทศฝรั่งเศส?
แต่ลูกของเธอยังไม่ถึงหนึ่งขวบเลย เด็กตัวเล็กแค่นี้ต้องนั่งเครื่องไปไกลขนาดนี้……
เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ แต่ทำได้เพียงขอให้พวกเธอกลับมาเร็ว ๆ และต้องใช้ภาษาให้เป็นด้วย มิฉะนั้นจะผิดใจเจี่ยงเวินอี๋อีก
หลังจากได้ข่าวว่าเจี่ยงเวินอี๋จะพาลูกกลับมาในวันมะรืนนี้ ซูย้าวถึงรู้สึกหายห่วง
จากนั้นเธอทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้านอีกครั้ง รวมถึงจัดของเล่นในห้องเล่นเด็กจนผ่านไปหลายชั่วโมงเธอก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
ในบ้านที่ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เป็นเวลาหลายวันและไม่มีอะไรให้กินด้วย
ซูย้าวสวมชุดคลุมแล้วหยิบกระเป๋าออกไปซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้าน ในขณะที่เลือกซื้อของอยู่รถเข็นของเธอก็ชนกับรถเข็นอีกคันโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอจึงรีบก้มหัวแสดงความขอโทษพร้อมกับถอยรถเข็นของเธอออกมา
แต่เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่จนได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเธอแถมยังด่าเธอด้วยเสียงเบา ๆ “ชนคนอื่นแล้วไม่รู้จักขอโทษ! เป็นใบ้เหรอ?”
เธอรู้สึกอึ้งอย่างทำตัวไม่ถูก และในขณะที่เธอกำลังจะถอยออกไปก็มีเสียงผู้หญิงอีกคนดังขึ้น……
“อาเจิ้ง คุณพูดถูก เธอเป็นคนใบ้จริง ๆ!”
ไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามองเธอก็รู้ว่าเสียงผู้หญิงคนนี้คือใคร
เป็นคนที่เติบโตมาด้วยกัน แม้ความสัมพันธ์จะไม่ดีมากนัก แต่ซูย้าวก็จำเสียงของซูหยวนได้
เธอเห็นซูหยวนในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนพร้อมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ เธอสวมรองเท้าส้นสูงและถือกระเป๋าใบเล็ก ดูเหมือนสาวสวยจากบ้านนอกคนหนึ่งที่แสดงความหยิ่งผยองบนใบหน้า
“ได้ข่าวว่าเธอเพิ่งไปฝรั่งเศสมาใช่มั้ย? ทำไมกลับมาเร็วจัง?” ซูหยวนยิ้มพูดอย่างเยาะเย้ย
ซูย้าวไม่สนใจเธอ ดวงตาสวยงามของเธอได้แต่หลบสายตาคู่นั้นและไม่มีการตอบสนองใด ๆ
แน่นอนว่าซูหยวนคงไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปง่าย ๆ เธอจึงพูดจาถากถางต่อ “พี่เฉินซีคงรำคาญเธอล่ะสิ ถึงได้หนีกลับมาก่อน?”
เมื่อเธอพูดจบ ชายที่ชื่ออาเจิ้งก็ถามขึ้นมาทันที “พี่เฉินซี? ใช่ท่านประธานลี่ไหม?”
ซูหยวนตอบ “ก็ใช่น่ะสิ ฉันกับพี่เฉินซีสนิทกัน! ไว้วันหลังจะแนะนำให้รู้จักละกัน!”
ชายคนนั้นเริ่มสนใจและดูมีความคาดหวังขึ้นมาทันที
แต่ซูย้าวรู้สึกไร้สาระ เธอจึงเข็นรถเข็นแล้วเตรียมถอยห่างออกไปแต่เสียงของซูหยวนก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง……
“อันที่จริงฉันรู้อยู่นะ ว่าที่พี่เฉินซีทิ้งเธอกลับมาก่อนก็เพราะเรื่องของหานฉ่ายหลิง!”
คำพูดนี้ทำให้ซูย้าวต้องหยุดลง มือที่จับรถเข็นค่อย ๆ บีบแน่นขึ้น
ก่อนกลับประเทศซูย้าวที่อยู่ฝรั่งเศสก็ได้ข้อมูลและเดาได้แล้วว่าทำไมลี่เฉินซีถึงกลับมาก่อน
หานฉ่ายหลิง
บริษัทHSถูกสงสัยว่าฉ้อโกง รองประธานหลินที่เกี่ยวข้องก็ได้หลบหนีไปและยังทิ้งความผิดให้กับหานฉ่ายหลินด้วย เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับเธอเช่นนี้ลี่เฉินซีคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้หรอก
“เห็นมั้ย! เกิดเรื่องขึ้นกับแฟนเก่า พี่เฉินซีก็ทิ้งเธอกลับมาทันทีเลย สามีตัวเองแท้ ๆ แต่รั้งไว้ไม่อยู่ ซูย้าว เธอพลาดแล้วล่ะ!” ซูหยวนยิ้มอย่างเย้ยหยัน สายตาดูถูกอย่างเห็นได้ชัด
ซูย้าวหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวออกไปอีกครั้ง
ซูหยวนที่มองเธอจากด้านหลังก็จงใจพูดเสียงดังขึ้น เธอแสร้งทำเป็นเกาะแขนของชายที่อยู่ข้าง ๆ แล้วตะโกนต่อว่า “คุณรู้ไหมว่าผู้หญิงแบบไหนน่าสงสารที่สุด? ผู้หญิงแบบเธอคนนี้ไง!”
“ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนใบ้ไม่คู่ควรกับพี่เฉินซี ยังหน้าด้านอยู่ในบ้านตระกูลลี่ไม่ยอมไปไหน คิดว่ามีลูกชายแล้วจะมัดใจผู้ชายได้ พยายามใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรอง ผู้หญิงแบบนี้ไม่เพียงแต่น่าสงสารแต่ยังน่าสมเพชด้วย น่าสมเพชกว่าหนูในท่อน้ำทิ้งซะอีก!”
พยายามใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรอง……
คำพูดสั้น ๆ นี้เหมือนถูกวางด้วยยาพิษ ทุกย่างก้าวมันเหมือนกับการเดินอยู่บนปลายมีดที่ทิ่มแทงหัวใจของเธอ
ในวิลล่าวิวทะเลแห่งหนึ่ง ลี่เฉินซีให้หานฉ่ายหลิงไปพักอยู่ที่นั่น เพราะทรัพย์สินทุกอย่างของเธอถูกธนาคารยึดและไม่อนุญาตให้เข้าอยู่ชั่วคราว หานฉ่ายหลิงที่ถูกปล่อยตัวออกจากโรงพักไม่มีที่ไปจึงต้องมาพักอาศัยที่นี่ไปก่อน
ในระหว่างการดำเนินคดีหานฉ่ายหลิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกเมืองและต้องให้ความร่วมมือกับทางเจ้าพนักงานสอบสวน
หวางอี้ได้แต่งตั้งทีมรักษาความปลอดภัยพิเศษเพื่อดูแลความปลอดภัยทั่ววิลล่า
ในห้องนั้นร่างสูงใหญ่ของลี่เฉินซีกำลังยืนพิงอยู่ที่หน้าต่าง ส่วนด้านหลังเขาคือหานฉ่ายหลิงที่นอนพักอยู่บนเตียงอันกว้างในห้อง
เป็นเวลามากกว่าสี่สิบแปดชั่วโมงที่เธอต้องอดหลับอดนอนในโรงพัก หลังจากกลับมาถึงวิลล่าลี่เฉินซีพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอไปนอนพัก แต่เธอไม่ยอมหลับสักทีเพราะกังวลเรื่องของบริษัทมากเกินไป
จนในที่สุดเขาต้องวางยานอนหลับในนมสดให้เธอสองเม็ดเธอถึงจะรู้สึกง่วงแล้วหลับไปจนถึงเช้าวันที่สอง
เมื่อตื่นขึ้นมาเธอยังไม่ทันสังเกตห้องที่เธอนอนพักอยู่แต่ร่างอันสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นดึงดูดสายตาเธอไปก่อน
เธอเปิดผ้าห่มออก จากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตาและพูดเบา ๆ ว่า “เฉินซี……”
ชายคนนั้นหันกลับมาแล้วเดินเข้าไปหาเธอ “รู้สึกดีขึ้นไหม? นอนต่ออีกสักพักก็ได้นะ!”
“คุณอยู่กับฉันที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ? ไม่ได้กลับบ้านใช่ไหม?” หานฉ่ายหลิงเงยหน้าพูดกับเขา “แล้วซูย้าวล่ะ? ยังอยู่ฝรั่งเศสเหรอ?”
เมื่อพูดถึงซูย้าว ดวงตาอันลึกล้ำของลี่เฉินซีก็เปล่งประกายความซับซ้อน ภาพในคลิปวิดีโอของคริสตินยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา
บนเครื่องในระหว่างทางกลับ เขาเปิดวิดีโอนั้นดูซ้ำ ๆ ดูจนแบตเตอรี่คอมพิวเตอร์ต่ำและปิดเครื่องไปอัตโนมัติ
ผู้หญิงซื่อบื้อคนนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองพูดไม่ได้แต่ก็ยังเดินฝ่าฝนออกไปหลายสิบไมล์เพื่อขอความช่วยเหลือให้เขา
เขาขมวดคิ้วด้วยสายตาอันซับซ้อนแล้วยื่นมือไปลูบผมเธอเบา ๆ “ตอนนี้ เรื่องของคุณสำคัญกว่า!”
“เฉินซี ฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราจับตัวรองประธานหลินไม่ได้ฉันก็แค่เป็นแพะรับบาปไป ยังไงฉันก็มีทนายของคุณคอยช่วยเหลืออยู่ มากสุดก็แค่ต้องรับโทษจำคุกไม่กี่ปี แต่ซูย้าวเป็นภรรยาของคุณนะ คุณต้องใส่ใจเธอมากกว่านี้สิ!”
หานฉ่ายหลิงพูดไปด้วยแล้วลุกจากเตียงไปด้วย จากนั้นเธอเดินอ้อมไปขับแขนเขาไว้แล้วพาเขาออกไปข้างนอกและพูดกับเขาว่า “คุณไปโทรหาเธอก่อน ถามเธอว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ คุณจะได้จัดเครื่องบินไปรับเธอถูก!”
ลี่เฉินซีเดินตามเธอไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลง ทำให้หานฉ่ายหลิงต้องหยุดไปด้วย “ผมรู้ดีว่าเธอต้องไม่เป็นไรหรอก”
เธอหันกลับมามองสายตาอันมุ่งมั่นของชายคนนั้นแล้วพูดด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงคิดแบบนี้?