บทที่ 245 รับปากน้าดูแลเธอให้ดี
ณ ห้องสอบสวน นี่เป็นการมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง
ซูย้าวจึงไม่รู้สึกแปลกตากับสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ตำรวจที่มาสืบสวนสอบสวน จ้องหน้าตำรวจสองนายที่นั่งอยู่ด้านหน้า แล้วเธอก็ถอนหายใจด้วยใบหน้าเย็นชา
ไม่ว่าจะนำเสนอด้วย‘หลักฐาน’ใดๆ เธอก็จะไม่มีทางยอมรับสารภาพ
เรื่องที่ไม่เคยทำ ทำไมจะต้องรับสารภาพด้วย
ความผิดที่ไม่ได้ก่อ เธอไม่ได้โง่สักหน่อยที่จะไปยอมรับสารภาพผิด!
เอกสารที่หลี่เจิ้นหยิบออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อมูลที่ไปสืบค้นมาอย่างละเอียดของหลงเบียวกับลูกน้องอีกสองคน รวมไปถึงครอบครัวของพวกเขา
ไปค้นเจอบัญชีธนาคารต่างประเทศที่ถูกเก็บซ่อนไว้ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเคยมีเงินเข้าไปในบัญชีหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ
และหลักฐานใหม่ที่ว่าก็คือ เงินสามล้านดอลลาร์สหรัฐที่เข้าไปในบัญชี ที่ถูกโอนด้วยบัญชีของซูย้าวในประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่แน่นหนา
มองดูเอกสาร โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เลยว่าไปเปิดบัญชีธนาคารตั้งแต่เมื่อไหร่ ซูย้าวรู้สึกช่างเหลวไหลตลกสิ้นดี
“ถ้าหากว่าฉันเป็นผู้ว่าจ้างโจรในการลักพาตัวจริง อย่างนั้นทำไมฉันต้องใช้บัญชีตัวเองในการโอนเงิน หากคนที่มีมันสมองสักนิด ก็คงจะใช้บัญชีปลอมหรือของคนอื่นแล้ว”
เธอรีบหยิบปากกาแล้วเขียนลงในกระดาษ จากนั้นก็ยื่นให้หลี่เจิ้น
หลังจากดูกระดาษแล้ว หลี่เจิ้นคิ้วขมวดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก เขาก็รู้สึกว่าน่าสงสัยเช่นกัน คนที่ฉลาดหน่อย ก็คงจะไม่ทำแบบนี้
อีกอย่างคนที่สามารถใช้เงินสามล้านดอลลาร์สหรัฐที่ตัวเลขไม่ใช่น้อยๆแบบนี้มาว่าจ้างลักพาตัว ดูแล้วก็น่าจะเป็นคนที่ไอคิวไม่ต่ำ เช่นนี้แล้วจึงเป็นไปได้อย่างเดียวคือ …
“เพราะนี่เป็นความรู้ทั่วไป เป็นความรู้พื้นๆที่ผู้ต้องหาทุกคนสามารถคิดออกได้ และใช้หลอกตัวเองว่า วิธีที่โง่ที่สุดบางครั้งก็เป็นวิธีที่แยบยลที่สุด ไม่ใช่เหรอ คุณซู”
หลี่เจิ้น จ้องแววตาของเธอ ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย และร้อยละหกสิบหรือเกินครึ่งที่มั่นใจและเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของคดีนี้ก็คือซูย้าวอย่างแน่นอน
บางครั้งคนส่วนใหญ่คิดว่าคนที่ตั้งใจโยนความผิด โดยใช้ชื่อบัญชีของตัวเองก็จะไม่เป็นที่สังเกต เมื่อทำการอธิบายแล้วก็จะทำให้ผู้อื่นเชื่อและหายคลางแคลงใจ
เรื่องง่ายๆที่ทำให้ผู้คนมองข้ามปัญหานี้ เขาย่อมไม่มองข้ามเพิกเฉยอย่างแน่นอน!
ซูย้าวเข้าใจแล้วว่าหลี่เจิ้น คิดว่าเธอจงใจให้เป็นเช่นนั้น
เธอหยิบปากกาขึ้นแล้วเขียนลงในกระดาษ “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ที่บ่งบอกว่าฉันเป็นคนบงการ”
หลี่เจิ้นหยิบเอกสารอื่นออกมา ในนั้นเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในซูเปอร์มาเก็ต ที่เห็นได้ชัดว่าซูย้าวช่วยหลงเบียวในการชำระเงิน
ที่ราคาประมาณ 200 หยวน
ซูย้าวจำได้วันนั้นคือการพบกันครั้งแรกของพวกเขา โดยคิดว่าเขาคือชายวัยกลางคนธรรมดาที่ลืมพกกระเป๋าสตางค์มา แล้วเธอก็อยู่ด้านหลังพอดี จึงคิดแค่ว่าอยากจะทำความดี
และด้วยเหตุนี้ หลงเบียวจึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอหลายต่อหลายครั้ง และเสแสร้งทำตัวเป็นคนดี
ไม่ใช่ว่าเธอจะดูไม่ออกหรือไม่ระแคะระคาย ความรู้สึกบวกกับการสังเกตได้ฟ้องเธอหมดแล้ว ว่าชายชราคนนี้มีความผิดปกติและซ่อนความลับบางอย่างไว้ แต่ด้วยเจิ้งเอ๋อนั้นดูเข้ากันได้ดีกับชายคนนี้ เธอจึงไม่ได้ป้องกัน
และก็คาดไม่ถึงว่าจะกลับเป็นเหตุให้เธอตกหลุมพรางที่คนอื่นวางไว้…..
“นี่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในซูเปอร์มาเก็ต ถ้าหากพวกคุณไม่รู้จักกัน คุณจะสามารถช่วยคนอื่นชำระเงินโดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหรือ” หลี่เจิ้นถามกลับ
ซูย้าวหรี่ตาลงอย่างเย็นชา ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะอธิบายอย่างไร ก็หนีไม่พ้นที่ว่าเธอนั้นรู้จักกับหลงเบียว และร่วมกันสมคบคิดในการลักพาตัวหานฉ่ายหลิง
ถึงแม้ว่าหลักฐานเหล่านี้จะยังไม่สามารถมัดแน่นได้ แต่ก็เพียงพอที่ทำให้เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยยากที่จะลบล้างได้
“หัวหน้าหลี่ในชีวิตนี้ของท่านนอกจากจะทำงานตามหน้าที่แล้ว ก็ไม่เคยทำสิ่งๆดีอย่างอื่นเลยใช่ไหม ไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้าเลยใช่ไหม” ซูย้าวเขียนลงในกระดาษ
หลี่เจิ้นอ่านแล้วคิ้วขมวดขึ้น “ไม่ว่าผมจะเคยทำหรือไม่เคยทำ ผมก็ไม่เคยติดต่อกับอาชญากรและสมรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวคนอื่น!”
“หัวหน้าหลี่คำพูดนี้พูดเร็วไปหน่อยไหม ตอนนี้ฉันเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ไม่ใช้เป็นผู้ต้องหา” เธอเขียนลงกระดาษอีกครั้ง
หลี่เจิ้นมองเธออย่างเงียบๆ จากนั้นลุกขึ้นและจากไปพร้อมกับตำรวจที่กำลังจดบันทึกอยู่ข้างๆ
เหลือซูย้าวเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้องสอบสวน
อันที่จริงการสอบสวนเมื่อสักครู่นั้น หลินเวยเคยกำชับกับเธอว่า เวลาที่ทนายความไม่อยู่ เธอไม่จำเป็นต้องให้การสื่อสารใดๆกับทางตำรวจก็ได้
แต่ว่าเธออดไม่ได้ จึงใช้ปากกาในการสื่อสารกับพวกเขาไป เพียงเพราะในใจรู้สึกกลัดกลุ้มมากโดยหาสาเหตุไม่ได้ กระสับกระส่าย รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรเกิดขึ้น
แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร…..
ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมือง อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสักครู่นั้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย แล้วถูกนำตัวมารักษาที่นี่
หนึ่งในนั้นมีคนขับรถที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป
สถานการณ์ของอานโล๋ก็ค่อนข้างสาหัสเช่นกัน ระหว่างทางที่ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล หัวใจก็ได้หยุดเต้นกะทันหัน เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ช่วยกันทำ CPR มาตลอดทางจนมาถึงโรงพยาบาล
หลินโม่ป่ายถูกเรียกตัวมาที่แผนกฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน เพื่อผ่าตัดให้การช่วยเหลือ เมื่อเห็นอานโล๋ถูกเข็นตัวเขามา เขาก็ถึงกับตกใจชะงัก
“น้าอาน”
“คุณหมอหลินรู้จักด้วยเหรอคะ อย่างนั้นอีกสักครู่รบกวนให้ข้อมูลกับทางตำรวจหน่อยนะ พอดีบนตัวของคุณผู้หญิงท่านนี้ไม่มีเอกสารใดๆเลยค่ะ และไม่สามารถติดต่อกับทางญาติได้เลย ……”
หลินโม่ป่ายพยักหน้า แล้วก็ก้าวไปข้างหน้า พลางตรวจสภาพร่างกายของอานโล๋ พลางกำชับนางพยาบาลฉีดยาชาใส่ท่อช่วยหายใจ ในขณะเดียวกันให้เตรียมพร้อมห้องผ่าตัด เพราะต้องดำเนินการผ่าตัดทันที
ในขณะที่เขากำลังวุ่นอยู่นั้น จู่ๆข้อมือของเขาก็ถูกกุมจับด้วยมือที่อ่อนแรง หลินโม่ป่ายผงะขึ้น แล้วก้มศีรษะลงเห็นอานโล๋ลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าที่โชกไปด้วยเลือด
พยายามฝืนพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้าย “โม่ โม่ป่าย….”
รูม่านตาของหลินโม่ป่ายตึงขึ้น โน้มตัวลงมาไปหาอานโล๋ “ครับน้าอาน ผมอยู่นี่ ไม่เป็นไรนะครับ อีกสักครู่ผมจะทำการผ่าตัดให้น้า น้าต้องเข้มแข็งนะ จะต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ!”
“ไม่ ไม่ไหวแล้ว! น้ารู้ร่างกายของน้า….” ทันทีอานโล๋เอ่ยปาก เลือดในช่องท้องของเธอก็กระอักพุ่งออกมาจากช่องปาก
แพทย์ท่านอื่นนำฟิล์มCTสแกนมาให้หลินโม่ป่ายดู แค่เพียงมองดูคร่าวๆก็พบว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่งผลให้กระดูกซี่โครงหักหลายซี่ กดทับหัวใจ ปอดและไต จนเลือดในร่างกายไหลออกมาไม่หยุด สถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าจะ….ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้!
“รับปากน้า จะต้องดูแลซูย้าวให้ดีๆ นายคือคนที่น้าวางใจมากที่สุด อย่าให้เธอกับลี่เฉิน……”
‘ซี’ คำนี้ยังไม่ทันได้พูดออกมาจากปาก เธอก็อาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง
นางพยาบาลรีบฉีดยาชาเข้าไปในร่างกายของเธอทันที และเช็ดรอยเลือดสดๆบนปากของเธอ เพื่อเตรียมพร้อมการดำเนินการช่วยเหลือ
อานโล๋เหมือนมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ว่ากลับไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำได้เพียงบีบมือของหลินโม่ป่ายไว้อย่างแน่นเท่านั้น “รับปากน้า รับปากน้าสิ……”
“ครับคุณน้า ผมรับปากท่าน โปรดวางใจนะ! ขอเพียงผมยังมีลมหายใจอยู่ ผมจะไม่ยอมให้ซูย้าวต้องทุกข์ทรมานอีกครับ ยิ่งไม่มีทางให้เธอติดต่อกับคนคนนั้นอีกโดยเด็ดขาด!”
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ อานโล๋ราวกับหมดห่วงก็ไม่ปาน
ยิ้มขึ้นคล้ายกับได้ยกความหนักหน่วงออกจากอก แต่วินาทีถัดมาเธอกลับเหมือนหุ่นที่ไร้การควบคุม มือที่ไร้เรี่ยวแรง ได้ร่วงหล่นลง
มองดูอานโล๋ที่ไร้ลมหายใจ หลินโม่ป่ายที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ชั่วขณะ กุมมือเธอด้วยเจ็บปวด สักพักก็ร้องออกมาอย่างใจสลาย “น้าอาน……”
เขากำมือแน่นด้วยความโกรธ และมองไปยังหญิงชราที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจที่เจ็บปวดจนสั่นเครือไปหมด
ในฐานะแพทย์ เห็นการเกิดการตายมากมายในแต่ละวัน จนทำให้รู้สึกเย็นชา เส้นประสาทแห่งเจ็บปวดนั้นได้ชินชาตายด้านไปแล้ว แต่วันนี้ ผู้หญิงที่นอนเสียชีวิตอยู่ที่นี่กลับเป็น ……
หลินโม่ป่ายกลับไม่สามารถที่จะทำใจยอมรับได้ ตามรอยบาดแผลของอานโล๋ กระดูกซี่โครงในร่างกายของเธอหักและแทงไปที่หลอดเลือดแดงในปอด สาหัสจนเลือดไหลไม่หยุด ยากมากที่อดทนจนมาถึงที่นี่ได้ แต่คงเป็นเพราะเป็นห่วงลูกสาวมากเกินไป ถึงได้ฝืนตัวเองให้อดทนจนมาถึงที่นี่
ถึงกระนั้น หลังจากที่เธอสิ้นลมหายใจแล้ว เธอก็ยังนอนตายตาไม่หลับ คงน่าจะเป็นเพราะยังห่วงซูย้าว!
หลินโม่ป่ายกลั้นความเจ็บปวดไว้ ยกมือขึ้นปิดคู่ดวงตาลง แล้วยืนพึมพำในใจอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ วางใจเถอะครับคุณน้า ผมจะดูแลซูย้าวสองแม่ลูกให้ดีที่สุด โดยใช้ชีวิตของผมเป็นประกัน