“ถ้าชอบ ก็ลองดูเถอะ!”
โม่หว่านหว่านเงยหน้า กระดกค็อกเทลแก้วนั้นของตนเองทีเดียวหมด ตอนที่วางแก้วลงไป ก็ลุกขึ้นมาตบไหล่ของซูย้าวเบาๆ “ยังไงซะชีวิตคนเราก็อยู่ได้แค่ไม่กี่สิบปีเอง นอกจากช่วงเวลาที่แก่เฒ่ากับเยาว์วัย ที่เหลือ ก็ไม่มากแล้วนะ เร่งมือเข้าเถอะ!”
“……”
จู่ๆก็เปลี่ยนไปขนาดนี้ กลับทำให้ซูย้าวปรับตัวตามไม่ทันเลย รู้สึกว่าวันนี้ทำไมโม่หว่านหว่านถึงแปลกไปนะ?
เธอขมวดคิ้ว มองโม่หว่านหว่าน “เธอมีคนที่ชอบแล้วใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านที่กำลังดื่มอยู่เกือบจะพ่นเครื่องดื่มออกมาอยู่แล้ว สำลักจนไอไม่หยุด พักใหญ่ถึงจะกลับมาเป็นปกติได้ “จู่ๆทำไมถามอย่างนี้?”
“ไม่มีอะไร ก็ถามเฉยๆ” ซูย้าวตอบ
โม่หว่านหว่านชะงักงัน “ถ้าฉันมีแล้ว จะบอกเธอเป็นคนแรกเลย”
“อื้ม!”
แต่ซูย้าวรู้สึกอยู่ลางๆ ยัยนี่ต้องมีคนในใจแล้วแน่ๆเลย ถึงได้มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ ถึงขั้นยุยงให้เธอไปตามหาความรักอะไรพวกนั้น
ทั้งสองคนรู้สึกง่วงนอนแล้ว แม้ว่าโม่หว่านหว่านจะหาวไม่หยุด แต่ยังไม่คิดจะเข้านอนสักนิด ชงค็อกเทลไปเรื่อยๆ หลากหลายอย่าง แล้วยังดึงให้ซูย้าวดื่มเป็นเพื่อนเธออีก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าท้องฟ้าด้านนอกเกือบจะสว่างแล้ว
ซูย้าวอยู่เป็นเพื่อนไม่ไหวแล้วจริงๆ คิดจะลุกขึ้น แต่กลับพบว่าตนเองก็ดื่มไปค่อนข้างเยอะ ร่างกายโซเซจนเกือบจะล้ม
โม่หว่านหว่านดึงมือของเธอเอาไว้อีกครั้ง “เธอว่า การชอบคนคนหนึ่งต้องมีความสุขสิ แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกเสียใจล่ะ?”
“ดังนั้นนะ อย่ายกใจให้ใครเลย จะได้ไม่ต้องเสียใจจนเจ็บปวด อย่างนี้ถึงดีต่อตนเองที่สุด!” ซูย้าวกำลังพูด รอยยิ้มที่เจ็บปวด ราวกับกำลังบรรยายความทุกข์ใจ
ถ้าในใจไม่มีใครอยู่ แน่นอนว่าจะไม่เสียใจ
ไม่เสียใจ ก็จะไม่เจ็บปวด
ไม่เจ็บปวดแล้ว ทุกอย่างก็จะดีเอง
เทียบกับซูย้าวที่นอนไม่หลับ ลี่เฉินซีทางด้านนี้ก็ไม่ได้นอนทั้งคืน
ตลอดทั้งวัน เหตุการณ์ไฟไหม้ ทำให้เขาร้อนรนที่จะตามหาคนร้ายให้ได้ เป็นใครกันแน่ ที่มุ่งร้ายต่อเด็กแปดขวบคนหนึ่งขนาดนี้?
และถ้าลี่เจิ้งเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ใครจะได้ประโยชน์ที่สุด?
เขาอยู่ที่บริษัทตลอดทั้งคืน
ไฟในห้องทำงานชั้นบนสุดสว่างไสว จัดการงานมากมาย ก็คงมีแต่ปริมาณงานที่มากมายเท่านั้น ที่สามารถยับยั้งความกลัดกลุ้มในใจได้ชั่วคราว เขาส่งคนไปจัดการความเดือดดาลเล็กน้อยในใจแล้ว
หวางอี้มาถึงบริษัทตอนตีสี่กว่าๆ เขารู้สึกได้ว่าบอสอาจจะไม่กลับบ้านไปพักผ่อน ไม่คิดว่าตอนที่มาถึงบริษัท ก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ชงกาแฟให้ด้วยตนเอง ยกเข้ามาในห้องทำงาน วางไว้บนโต๊ะ “ประธานลี่ คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยสินะครับ!”
ลี่เฉินซีกำลังจัดการเอกสารอยู่ ท่าทางยุ่งๆราวกับไม่มีเวลาตอบคำถาม นิสัยที่เย็นชาเงียบขรึมหวางอี้เข้าใจอย่างชัดเจนตั้งนานแล้ว เขายืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นอีกครั้ง “ใกล้สว่างแล้วนะครับ คุณจะทานอะไรหน่อยไหม? ผมจะไปเตรียมให้!”
พูดแล้ว หวางอี้ก็หมุนตัวจะเดินออกไป แต่กลับโดนลี่เฉินซีเรียกเอาไว้
“นายอย่าเพิ่งไป”
หวางอี้หยุดฝีเท้าลง หันกลับมา “ประธานลี่”
“เรื่องไฟไหม้ วันนี้นายไปสอบถามที่สถานีตำรวจดูหน่อย ดูว่าผลการตรวจสอบคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” ลี่เฉินซีเงยหน้า สายตาเฉียบแหลมสะท้อนออกมาจากแว่นตา
หวางอี้พยักหน้า “ครับ”
“แล้วก็ นายส่งคนไปอีกที ตรวจสอบแบบลับๆ” ลี่เฉินซีกำชับอีกประโยค
หวางอี้ชะงักเล็กน้อย “ประธานลี่ คุณไม่เชื่อคนของตำรวจเหรอครับ?”
“ไม่ใช่หรอก” เขาลุกขึ้น ยุ่งอยู่ทั้งคืน ก็ค่อนข้างเหนื่อยล้าจริงๆ ยกกาแฟบนโต๊ะ ขึ้นมาดื่ม
“งั้นคุณสงสัยใครหรือเปล่าครับ?” หวางอี้ถาม
ลี่เฉินซีวางแก้วกาแฟลง สายตายิ่งอึมครึม “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้นี้”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว!”
“ใช่สิ——” ลี่เฉินซีคิดๆแล้ว พูดขึ้น “นายไปสืบหานฉ่ายหลิงดูอีกครั้ง ดูว่าระยะนี้เธอไปเจอใครมาบ้าง แล้วทำเรื่องอะไร”
เรื่องนี้ เขาไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น เดินเข้าไปใกล้ๆ พูดเบาๆ “ประธานลี่ครับ ตามที่คนที่ผมส่งไปรายงานมา ในเดือนที่แล้ว คุณหานแอบเจอกับประธานเพ้ย สามครั้งครับ”
ได้ฟังแล้ว ลี่เฉินซีก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย
หานฉ่ายหลิงเจอเพ้ยส้าวหลี่?
หรือว่า……
“นอกจากเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรอีกครับ” หวางอี้พูดขึ้น
ลี่เฉินซีพยักหน้า “จับตาดูต่อไป!”
“ครับ”
เห็นกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ หยิบฉบับที่อยู่ด้านบนสุดขึ้นมา เห็นสองคำ ‘หลิงเตี่ยน’ ที่หน้าปก สายตาก็แสดงความไม่ชัดเจนบางอย่างออกมา ขยับริมฝีปาก “เธอกับหลิงเตี่ยนด้านนั้น มีอะไรแปลกๆไหม?”
หวางอี้ส่ายหน้า “คนพวกนั้นที่ส่งไปยังไม่ได้ให้ความชัดเจนครับ”
สายตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงโบกๆมือ หวางอี้ยิ้มนอบน้อม แล้วกลับตัวเดินออกไป
จริงๆแล้ว หลายๆครั้งหวางอี้ยังไม่เข้าใจความคิดของบอสเลย ก็เหมือนกับหลายปีมานี้ เขาเอาแต่แต่งตั้งคนไปทำงานไม่ซ้ำหน้า ให้ไปสอดแทรกอยู่ข้างกายของหานฉ่ายหลิง จับตาดูความเป็นไปทั้งหมดของเธอ
ความระมัดระวังรอบคอบอย่างนี้ ราวกับจับตาดู……คู่แข่ง หรือคนที่น่าสงสัยอะไรอย่างนั้น
ทำไมถึงบอกว่าหวางอี้ไม่เข้าใจลี่เฉินซีล่ะ?
ถ้าเกิดระแวงจริงๆ ก็ห้าปีขนาดนี้แล้ว ทุกครั้งที่รายงานไม่ได้มีปัญหาที่ใหญ่เกินไปเกิดขึ้น ความสงสัยอย่างนี้ ก็ควรจะหายไปแล้วสิ! อันที่จริง สำหรับคนนอกก็มองว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีมาก
แต่ลี่เฉินซีไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงให้คนคอยจับตาดู ถ้าบอกว่า ‘ปกป้อง’ แต่วิธีการอย่างนี้ เมื่อก่อนตอนที่ปฏิบัติกับซูย้าว ไม่เคยมีมาก่อนนะ
คนที่เป็นบอสคงจะเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นสินะ อันที่จริงภายในประเทศก็มีไม่กี่คน ที่ทำธุรกิจใหญ่โตเหมือนกับบริษัทลี่ซื่อ ดังนั้นจึงเดาไม่ออกหรอกว่าคิดอะไรอยู่
……
ลี่เฉินซียุ่งมาทั้งคืนแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปที่ข้างหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศส มองด้านนอกที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่น สายตาเงียบขรึมซับซ้อนยากที่จะค้นหา
นอนอยู่ในห้องรับรองไปหนึ่งชั่วโมง จึงเข้าไปอาบน้ำ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา ไม่นึกว่าจะเจอเจี่ยงเวินอี๋นั่งอยู่บนโซฟา ในห้องทำงาน
เขาท่าทางตกใจ เอ่ยปากขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “แม่ ทำไมมาเช้าขนาดนี้ครับ?”
“อยู่บ้านก็นอนไม่หลับ คิดๆแล้วว่าแกคงจะยังไม่ได้พักผ่อน จึงมาดูหน่อย” เจี่ยงเวินอี๋นั่งอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะน้ำชามีอาหารเช้าที่หวางอี้เพิ่งจะนำมาให้
เขาเดินเข้ามา เพียงยกนมแก้วนั้น ขึ้นมาดื่ม แล้ววางลงไป “นี่แม่มีอะไรหรือเปล่า?”
ปกติถ้าเจี่ยงเวินอี๋ไม่มีเรื่องอะไร จะไม่เป็นฝ่ายมาที่บริษัทก่อน หากว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย จะแค่คุยกับเขาทางโทรศัพท์เท่านั้น แต่มาด้วยตนเองในครั้งนี้ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
“มีธุระน่ะสิ แม่ให้เลขาหลี่ไปเตรียมการแล้ว ตอนเก้าโมงกว่าๆ จะมีงานแถลงข่าว” เธอพูดขึ้น
ลี่เฉินซีเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน นั่งลงไปบนเก้าอี้หนัง “งานแถลงข่าว? เกี่ยวกับอะไรครับ?”
“เกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของแก” เจี่ยงเวินอี๋พูดตรงไปตรงมา สายตาเคร่งขรึมเย็นชาราวกับวางแผนเอาไว้อย่างดีแล้ว บทสนทนาในตอนนี้ เพียงแค่บอกให้เขารู้
ไม่รอให้ลี่เฉินซีถาม เธอก็พูดขึ้นอีก “แม่จะประกาศความสัมพันธ์ระหว่างแกกับฉ่ายหลิง ยืนยันว่าเธอเป็นคู่หมั้นของแก แล้วก็ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตของแม่”
ในวินาทีนั้นที่พูดจบ แววตาของลี่เฉินซีก็เคร่งขรึม “คู่หมั้น? ผมกับเธอไม่ได้คบกัน จะพูดเรื่องงานหมั้นได้ยังไง?”
“แต่พวกแกเคยคบกันตอนแรกไง!”
เขาขมวดคิ้ว “นั่นมันเรื่องเมื่อเกือบจะสิบปีที่แล้ว!”
“อีกอย่างกี่ปีมานี้ ข่าวฉาวเกี่ยวกับพวกแกสองคนก็ไม่เคยขาดหายเลย ภายนอกก็มีข่าวลือคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกแก จะได้ยืนยันว่าเป็นความจริงไปเลย ก็เป็นเรื่องที่ดีนี่นา” เจี่ยงเวินอี๋พูด
ลี่เฉินซียิ้มเยาะ “นี่ถือเป็นเรื่องดีอะไร? เรื่องภายนอกพวกนั้นก็เป็นแค่สิ่งที่พูดกันปากต่อปาก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แม่เริ่มใส่ใจเรื่องพวกนี้?”
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปาก หรือจะเป็นข่าวลือที่เดากันไปต่างๆนานา ตอนนี้แม่กำลังบอกแกให้รู้อย่างเป็นทางการ แม่ยอมรับแล้วว่าฉ่ายหลิงคือลูกสะใภ้ในอนาคตของแม่ งานแถลงข่าวนี้ แกจะแถลงก็ต้องแถลง ไม่แถลงก็ต้องแถลง!” เจี่ยงเวินอี๋ท่าทางแน่วแน่ สายตาดึงดันพร้อมกับความเย็นชาที่ยากจะต่อต้าน