หนึ่งหมัดหนักๆ ทุบลงไปที่ท้องน้อยของซูย้าวอย่างแรง เธอรู้สึกว่าอวัยวะภายในแตะสลายไปในทันที เจ็บจนร่างกายของเธอเป็นเหมือนกับเส้นบะหมี่ไปทันที ที่อ่อนปวกเปียกอยู่บนพื้น และไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนทั้งหมดไป
อานซินเออร์มองเห็นสภาพของซูย้าว ก็ตะเกียกตะกายร้องขึ้นมา “ซูย้าว? นี่พวกแกกล้าลงมือทำร้ายคนเลยเหรอ…..”
คำพูดยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของเจ้าหนวดเคราก็เวียนมาถึงใบหน้าของอานซินเออร์เลย
เสียง‘เพี๊ยะ’ดังขึ้นทีหนึ่ง เสียงดังกึกก้อง ไม่ต้องพูดก็นึกออกได้ว่าบนใบหน้าที่อ่อนโยนของหญิงสาวนั้น ปวดแสบปวดร้อน จะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน
อานซินเออร์อดกลั้นไว้ ไม่ร้องออกมาสักแอะ มุมปากที่แตกมีของเหลวสีแดงสดซึมออกมา ร่างกายโดนมัดอยู่ แค่ขยับยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหลบหนีเลย
เจ้าหนวดเคราจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มายืนอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วค่อยๆ รูดซิปกางเกงออก
“มาเถอะ มาให้กูมีความสุขสักหน่อย!”
พอเห็นเช่นนี้ เจ้าลิงผอมทางนี้ก็ยิ้มแหะๆ แล้วลุกขึ้นมาทำตามบ้าง
ตามองเห็นผู้ชายทั้งสองคนได้ทำการกระทำที่ต่ำช้าต่อหน้าพวกเธอ มือทั้งคู่ของซูย้าวโดนเชือกมัดอยู่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยออกมา แล้วก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะถอยหนี และภายใต้ความโกรธเกลียดทำได้แค่หลับตาไว้ ไม่ไปดูภาพสะอิดสะเอียนนี้ เหมือนกับว่าไม่มีทางอื่นแล้ว
น่าสะอิดสะเอียน!
หรือว่าจะไร้หนทางหลบหนีแล้วเหรอ?
เจ้าหนวดเคราโถมตัวลงมา กระชากผมของอานซินเออร์ไว้ แล้วก็ใช้กำลังกดหัวของเธอมาทางตัวเอง แล้วอยู่ๆ ประตูที่อยู่ข้างหลังก็โดนคนเตะทีหนึ่งจากข้างนอกแล้วเปิดออก……
คนที่เข้ามาเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง รูปร่างสูงมา ไม่อ้วนและก็ไม่ผอม ตัดผมทรงสกินเฮดดูไปแล้วกระฉับกระเฉง น่าจะลูกพี่ของคนพวกนี้ ยังไงก็คงจะมีสถานะที่ไม่ต่ำแน่
“พวกแกโด๊ปยาโด๊ปมากไปแล้วใช่ไหม! เป็นบ้าไปแล้วใช่หรือเปล่า!”
ผู้ชายเดินเข้ามา แล้วก็ไม่พูดอะไร และยกขาขึ้นมาเตะพวกเขาไปคนละที เจ้าหนวดเคราและเจ้าลิงผอมยืนตรงไม่อยู่ แล้วก็ตุ๊บทีหนึ่งล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ล้มหัวคะมำทีหนึ่ง
“สองคนนี้แตะต้องไม่ได้! จะต้องเก็บไว้ขายทำเงิน! ใครใช้ให้พวกแกมาแตะต้องกัน?” ผู้ชายเตะเจ้าหนวดเคราและเจ้าลิงผอมที่ล้มอยู่บนพื้นแรงๆ ทีหนึ่ง
เจ้าหนวดเครารีบร้อนรายงานขึ้นมา “พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้ว! พวกผมก็แค่ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมานานแล้วเท่านั้น……”
“รอหน่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ไว้ถึงที่แล้วจะให้พวกแกเล่นซะให้พอเลย! แต่ว่าสองคนนี้แตะไม่ได้! นี่คือกฎ!” ผู้ชายพูดขึ้นเสียงเย็น
เจ้าลิงผอมกับเจ้าหนวดเคราเกรงกลัวผู้ชายคนนี้มาก จึงรีบพยักหน้ากันติดๆ แล้วก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วรีบวิ่งออกไปเลย
ชายหนุ่มจ้องมองอานซินเออร์กับซูย้าวจากบนลงล่างทีหนึ่ง แล้วสังเกตเห็นเชือกที่เท้าของซูย้าวโดนตัดไปแล้ว จึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วย่อตัวนั่งลงมามัดเชือกให้เธอใหม่
จากนั้นก็มาทางด้านอานซินเออร์ แล้วจัดเสื้อผ้าให้เธออย่างง่ายๆ เล็กน้อย แล้วก็ไม่พูดอะไร หมุนตัวแล้วออกจากห้องไปเลย
พอผู้ชายออกไปแล้ว อานซินเออร์ก็รีบร้อนขยับร่างกายมาทางซูย้าว “คุณเป็นยังไงบ้าง?”
“……ไม่เป็นไร!”
ถึงแม้ว่าปากของซูย้าวจะพูดไปแบบนี้ แต่กลับไม่รู้เลยว่า หน้าตาของตัวเองในตอนนี้ดูแย่มากแค่ไหน ตัวทั้งตัวดูไปแล้วห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่แรกเธอก็กระเพาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องพึ่งยาหลากหลายรูปแบบในการรักษามาตลอด แล้วสองวันมานี้อาการโรคกระเพาะก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เมื่อกี้หนึ่งหมัดของเจ้าลิงผอมก็ทุบลงตรงที่กระเพาะของเธอพอดิบพอดี ความเจ็บปวดที่บิดกันอย่างแรงนี้ ยากที่จะทนไหวจริงๆ
จ้องมองดูอานซินเออร์ที่อยู่ตรงหน้า มุมปากของเธอยังมีเลือดไหลออกมาอยู่ ท่าทางก็ไม่ได้ดีมากนัก แต่ว่าไม่ว่าจะยังไง ยังดีที่ไม่ได้โดนล่วงเกิน ก็ถือได้ว่าไม่ได้ขัดขืนสูญเปล่าแล้ว
……
อีกด้านหนึ่ง ลี่เฉินซีกำลังอยู่บนรถที่ขับอย่างเร่งรีบอยู่ แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
ตอนแรกเขานึกว่าผู้ช่วยเป็นคนโทรมา และไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็กดรับสายเลย
“สืบค้นเจอหรือยัง?” น้ำเสียงที่แหบต่ำของเขาดังขึ้น และถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาประโยคหนึ่ง
แต่อีกฝั่งของโทรศัพท์กลับมีเสียงอ่อนหวานของผู้หญิงลอยมา และแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่บ้าง “สืบค้นอะไรเจอคะ? เฉินซี ทางคุณเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“เป็นคุณเองเหรอ ฉ่ายหลิง” เขาพูดขึ้นเรียบๆ เห็นได้ชัดว่าความสนใจที่เพิ่งพุ่งขึ้นมา สูญสลายไปในพริบตา
ตัวของหานฉ่ายหลิงนั้นตอนนี้อยู่ในห้องของโรงแรมที่ปารีส จ้องมองดูทิวทัศน์ที่สวยงามในเมืองนอกหน้าต่างที่ยาวถึงพื้น สิ่งที่หัวสมองคิดอยู่นั้นมีแต่ลี่เฉินซีที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
“เอ่อ คือฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จ ก็เลยคิดว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ถึงได้โทรศัพท์มา……” เธอสาธยายไปอย่างง่ายๆ น้ำเสียงที่บางเบา สามารถรู้สึกได้ถึงสภาพจิตใจที่เงียบสงบ
ทางด้านลี่เฉินซียังขับรถอยู่ เลยพูดขึ้นว่า “คงจะยุ่งมาทั้งวันแล้วใช่ไหม? งานแฟชั่นโชว์ทางด้านโน้น รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
“งานแฟชั่นโชว์ยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการเลย ต้องเป็นพรุ่งนี้ วันนี้ฉันแค่ได้เจอกับดีไซเนอร์ชื่อดังไม่กี่คนเท่านั้น แล้วก็ได้ชื่นชมผลงานของพวกเขาไปนิดหน่อย และยังจองไปไม่กี่ชุดด้วย!”
หานฉ่ายหลิงพูดไป แล้วก็ถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติประโยคหนึ่งว่า “เฉินซี คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ?”
“ผมเหรอ? ผมเพิ่งทำงานเสร็จ กำลังเตรียมจะกลับโรงแรม” เขาพูดโกหกขึ้น
“อ๋อ……” น้ำเสียงของหญิงสาวลากยาวขึ้น เหมือนกับว่าแอบแฝงความสงสัยไว้เล็กน้อย
แต่ว่าตอนนี้ ลี่เฉินซีเองก็สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว
“เมื่อกี้ที่คุณพูดว่าสืบค้นเจอหรือยัง? ตกลงสืบค้นอะไรเหรอคะ?” หานฉ่ายหลิงถามต่อไม่ยอมปล่อย
ลี่เฉินซีพูดขึ้น “เรื่องของงานนะ ผมให้เสี่ยวหยางไปสืบค้นข้อมูลเบื้องหลังของลูกค้าคนหนึ่ง จะดูว่าเขามีเรื่องอะไรที่ปิดบังไว้หรือเปล่า”
“แบบนี้นี่เอง งั้นก็เอาเถอะ! ทางด้านคุณยังราบรื่นดีใช่ไหม?”
หานฉ่ายหลิงพูดคุยขึ้นมาก็ไม่มีจบ ไม่ได้มีความอยากจะวางสายเลยสักนิด
ลี่เฉินซีครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ดวงตากะพริบทีหนึ่ง แล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ทางด้านผมยังโอเค ฉ่ายหลิง คุณบอกว่าวันนี้ได้เจอกับดีไซเนอร์ชื่อดังหลายคน งั้นในพวกเขามีคนที่ออกแบบชุดแต่งงานไหม?”
“ชุด……ชุดแต่งงานเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าหานฉ่ายหลิงอึ้งไปเลย
และแล้ว ที่ข้างหูก็มีเสียงแหบต่ำของชายหนุ่มลอยมา “ถ้ามีละก็ ก็สั่งตัดชุดแต่งงานและชุดสูทชุดหนึ่งเถอะ! ขนาดไซต์ของผม ถ้าคุณไม่รู้ละก็ อีกเดี๋ยวผมจะให้เสี่ยวหยางส่งให้คุณ”
“สั่งตัดชุดแต่งงานกับชุดสูทเหรอคะ?” หานฉ่ายหลิงพูดทวนอย่างตกตะลึง
“ใช่แล้ว ยังไงพวกเราก็ต้องแต่งงานกันวันยังค่ำไม่ใช่เหรอ? ถ้าเกิดสามารถสวมใส่ผลงานของดีไซเนอร์ที่คุณชื่นชอบได้ คุณเองคงจะมีความสุขมากเลยละซิ?”
คำหวานง่ายๆ ที่ออกมาจากปากของเขา ทำให้ความเรียบเฉยของปกติน้อยลงไปเสี้ยวหนึ่ง ทำให้มีความเสน่หาที่อ่อนโยนเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง แล้วก็ยิ่งทำให้เธอใจเต้นหน้าแดงระเรื่อ
“ต้องขอโทษด้วย เรื่องแบบนี้ น่าจะเป็นผมที่มาลงมือทำด้วยตัวเอง หรือไม่ รอให้ทางด้านผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะรีบไปหาคุณทันที แล้วพวกเราค่อยไปเลือกด้วยกัน?” ลี่เฉินซีน้ำเสียงอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยการถาม
หานฉ่ายหลิงโดนน้ำเสียงของเขาทำให้จิตใจล่องลอย จึงรีบพูดขึ้นว่า “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่ว่า ฉันจำได้ว่าดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ค่อนข้างถนัดการออกแบบชุดแต่งงาน……”
“งั้นคุณก็ดูไปก่อน ถ้าเป็นไปได้ละก็ ผมหวังว่าชุดแต่งงานของเรา จะเป็นที่หนึ่งไม่เหมือนใคร เป็นชุดที่มีหนึ่งเดียวในโลก” เขาเสนอข้อคิดเห็นออกมาอย่างอ้อมค้อม
ใบหน้าของหานฉ่ายหลิงแดงระเรื่อ ในขณะที่กำโทรศัพท์อยู่ก็พยักหน้าไปไม่หยุด “ได้ ฉันจะเดินเล่นไปก่อน? รอคุณเสร็จงานแล้ว จะตามมาใช่ไหมคะ”
“เมื่อไหร่ยังจะต้องดูเวลาอีกที แต่ว่าฉ่ายหลิง ถ้าคุณยินดีที่จะรอผมละก็ ผมก็จะไปแน่นอน!” เขาพูดขึ้น
หานฉ่ายหลิงรีบพูดขึ้นว่า “อืม ฉันจะรอคุณค่ะ ในเมื่องานแฟชั่นโชว์ของทางนี้มีตั้งครึ่งเดือน ฉันจะเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน น่าจะรอคุณเสร็จงานได้……”
“ได้ ผมใกล้จะถึงโรงแรมแล้ว คุณก็รีบไปพักผ่อนแล้วกันนะ!” เขาพูดขึ้น
ในที่สุดการสนทนาก็จบลง ลี่เฉินซีเองก็โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง แล้วก็ส่งข้อความให้ผู้ช่วยอย่างรวดเร็วข้อความหนึ่ง บอกให้เขาเอาขนาดไซต์ชุดสูทของตัวเองส่งให้กับหานฉ่ายหลิง
จากนั้น ก็ขับรถมุ่งหน้าไปทางชานเมือง
ทางด้านปารีสนั้น หานฉ่ายหลิงวางโทรศัพท์ลง ในหัวสมองย้อนคิดถึงสิ่งที่ลี่เฉินซีเพิ่งพูดกำชับมาเมื่อกี้ ที่มุมปากก็มีรอยยิ้มอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นมา
แล้วตอนนี้ ที่ข้างหลังเธอก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังลอยขึ้นมา……
“คุณคงจะไม่ได้เชื่อที่เขาพูดจริงๆ หรอกนะ? ประธานหาน คุณมีสติหน่อยเถอะ!”
หานฉ่ายหลิงหมุนตัวมา รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เชื่อยังคงต้องเชื่ออยู่ ในเมื่อเป็นคู่หมั้นของฉัน! แต่ว่า เรื่องที่ควรทำ ฉันก็ยังต้องทำ ไม่ใช่เหรอ?”
“นี่ถึงจะเป็นประธานหานที่ฉันที่ถูกใจฉัน ว่ากันว่าคิดจะทำการใหญ่ใจต้องเหี้ยม ผู้ชายจิตใจโหดเหี้ยมขึ้นมา ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วผู้หญิงล่ะ? ถ้าไม่โหดเหี้ยมหน่อย แล้วจะอยู่ยังไง?”
พอหานฉ่ายหลิงได้ยินก็หัวเราะทีหนึ่ง “ใช่ ถูกต้อง! เพราะฉะนั้น เฉินซีก็จะมาโทษฉันไม่ได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษยัยใบ้ที่สมควรตายคนนั้น เมืองนอกใหญ่ซะขนาดนั้น แต่กลับไม่อยู่ จะกลับมาประเทศมาแย่งผู้ชายคนเดียวกับฉัน! นี่มันสมควรตายจริงๆ!”
“คุณวางใจเถอะ! ฉันติดต่อคนไว้แล้ว ทำงานได้สะอาดเรียบร้อย ไม่เหลือร่องรอยไว้แน่ ครั้งนี้ รับรองท่านประธานหานอย่างคุณจะต้องไม่เหลือเรื่องให้กังวลใจอีกต่อไปแน่นอน”