“นั่น…”
ซูย้าวไร้เรี่ยวแรงมีเพียงลมหายใจ และพยายามที่จะส่งเสียงและก็อ่อนแอเหลือเกิน
เธอหายใจหอบเล็กน้อย การหายใจไม่คงที่ และดูเหมือนผู้ป่วยหนัก ตัวซีดขาว นอกจากตัวสั่นแล้วเธอยังมีเหงื่อบางๆ อย่างต่อเนื่อง ปกคลุมเป็นชั้น ๆ
ลี่เฉินซีกอดเธอไว้และรู้สึกรักและหวงแหนเธอจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาอยากจะน้อมรับความเจ็บปวดจนถึงกระดูกดำนี้เอาไว้เสียเองแทนเธอ แต่ มันเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ?
“เด็กอะไร?” ซูย้าวพยายามจะรวบรวมลมหายใจกลางอากาศ ทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเธอหมดแรงและสับสน แต่เมื่อได้ยินเรื่องเด็ก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปให้แน่ชัด
ลี่เฉินซีไม่อยากจะพูดกับเธอเรื่องนี้ในตอนนี้ แต่รู้สึกว่าคงจะมีแต่เรื่องนี้ที่จะทำให้ความคิดที่แตกซ่านของเธอกลับมามีคลื่นความคิดและสามารถทำให้เธอไม่คิดถึงเรื่องการกินยานั้น
เขาสูดหายใจลึกแล้วมองเธอที่อยู่ในอ้อมกอดและเปลี่ยนท่าให้เธออยู่ในท่าที่สบายขึ้น กุมมือเธอและพูดเบา ๆ “ลูกไง ซูย้าว เมื่อห้าปีก่อนเธอให้กำเนิดลูกแฝดชายหญิงไม่ใช่เหรอ? นอกจากซีซีแล้ว ยังมีลูกชายอีกคน เป็นเด็กผู้ชาย อายุเท่ากับซีซี”
ซูย้าวถูกควบคุมด้วยฤทธิ์ยา ตอนนี้ทุกอวัยวะที่รับความรู้สึกมันเหมือนจะช้าไปหมด ตัวเธอตกตะลึงและมองเขานิ่ง ๆ อยู่นาน แล้วจึงมีปฏิกิริยา “คะ…คุณรู้แล้ว?”
เขาพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ขอโทษนะ ฉันควรจะบอกเธอนานแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องทั้งหมด…”
นาทีนี้ลี่เฉินซีมองเธอที่เป็นแบบนี้แล้วนอกจากปวดใจแล้ว ที่มากไปกว่านั้นก็คือรู้สึกผิดในใจ
ถ้าหากเขาแสดงลดท่าทีบ้างแล้วคุยกับเธอให้เร็วกว่านี้ แล้วบอกเธอแต่เนิ่น ๆ ว่าชาร์ลีไม่ใช่เด็กคนนั้น อย่างนั้น ซูย้าวจะตัดหางปล่อยวัดหานฉ่ายหลิงไปได้ยังไง? !
และที่สำคัญที่สุดคืออะไร?
เขาโกรธเธอมาตลอด!
ในช่วงที่เขาตามสืบเรื่องฝาแฝดนั้น ไปหาเธอและหลังจากได้ยินเธอพูดอย่างกระจ่างชัดแล้วค่อยบอกเธอว่าเขาจะหาเด็กคนนั้นให้เจอไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ไม่ว่ายังไงจะต้องหาเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาให้เจอ!
แต่เขาพูดไม่ออก
หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขาไม่อยากจะพูดออกไป
เขารอ รอให้เธอเป็นคนเปิดปากคุยเรื่องนี้กับตนเอง
ลี่เฉินซีเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเด็ก ๆ ในฐานะพ่อ เขามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกลูกของตนเองและมีสิทธิ์จะรู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน!
อีกทั้งเขายังงอนเธอด้วย ทำไมถึงพูดกับเขาแบบนี้?
ในความคิดของเขา การเกิดเรื่องนี้ขึ้นเธอควรจะคิดถึงตนเป็นคนแรก มาหาเขาไม่ว่าจะด้วยท่าทางหรือคำพูดแบบไหนและบอกทุกอย่างกับเขา จากนั้นก็รอให้เขาคิดหาทางแก้ไข
แต่ไม่ใช่อะไรก็เป็นเธอที่เผชิญหน้าและแก้ปัญหากับมันเพียงลำพัง!
เป็นไปได้ว่าลี่เฉินซีคงจะมีความคิดว่าผู้ชายเป็นใหญ่จริงๆ! ดังนั้น ตอนนี้เห็นเธอเป็นแบบนี้ ความรู้สึกผิดหวัง ความรู้สึกโทษตัวเอง ก็เหมือนกับดาบคมที่ทิ่มแทงเขาทั้งเป็น
เขาขยับตัวไปด้านข้างและถ่ายน้ำหนักตัวทั้งหมดของเธอกดทับเขาไว้ให้เธอได้หนุนไหล่เขาและใช้มือใหญ่ลูบผมเธอที่เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มเบา ๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวล ฉันจะต้องหาลูกเจอและพากลับมาให้ได้ ส่งทุกอย่างมาให้ฉัน ซูย้าว สิ่งที่เธอต้องทำคือไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งนั้น ยืนหยัดและผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้ก็พอ!”
ซูย้าวไม่ต้องการให้เขาเตือนสติ ในใจของเธอนั้นคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าก็คงเป็นเรื่องนี้ แต่เธอไม่มีแรง
เธอพิงไหล่ของเขาด้วยความทุกข์ทรมาน และด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอันทรงพลังในร่างกายของเธอ ความเจ็บปวดที่ลึกลงไปในไขกระดูก การทรมานที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเธอ ทำให้เธอยืนหยัดต่อไปได้ยากจริงๆ!
เมื่อเจ็บปวดจนถึงขีดสุด เธอทนไม่ไหวและอยากจะดิ้นให้ออกไปจากอ้อมกอดของเขา แต่กลับถูกลี่เฉินซีกอดไว้แน่นไม่ให้เธอดิ้น
เธอรับไม่ไหว ความเจ็บปวดและทรมานทั้งหมดทำให้จิตใจของเธอเป็นอัมพาตต้องกลายเป็นพวกไร้สติโดยสิ้นเชิง เธอยิ่งทรมานอยู่ในอ้อมกอดของเขาจนสุดท้ายเธอก็อ้าปากและหันไปกัดไหล่ของเขา
การเคลื่อนไหวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ลี่เฉินซีตัวแข็งทื่อ
แรงของเธอมหาศาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่เป็นปฏิกิริยาจากการขาดยา เธอกัดเขาภายใต้สภาวะไร้สติภายใต้ความคิดเพียงอย่างเดียวก็คือเพื่อระบาย ระบายความเจ็บปวดนี้ ความเจ็บปวดนี้ที่มันช่างเจ็บปวดเกินจะทานทน!
ลี่เฉินซีไม่ขยับเขยื้อนและปล่อยให้เธอเป็นแบบนั้นไปในอ้อมกอดเขาและกัดเขาอย่างบ้าคลั่งจนรู้สึกได้ถึงมีอะไรแดง ๆ ไหลออกมาแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ใบหน้าหล่อเหลาเงียบและก้มลงมองเธอ “ดีขึ้นรึยัง?”
แต่ที่ได้กลับมามีเพียงลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าที่ซีดขาวของเธอ อีกทั้งยังมีการกระทำที่ทุ่มสุดตัวแบบนั้น
ชายหนุ่มหลับตาและกอดเธอไว้ต่อไป กอดไว้แน่น ไม่กล้าปล่อย และไม่กล้าปล่อยให้เธอหนีไป
ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำ พวกเขาเป็นแบบนี้มาตลอด นั่งอยู่ข้างทางที่เปลี่ยวผู้คน เขากอดเธอไว้และดูแลเธอ
จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าซูย้าวได้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นไปแล้ว เมื่อเห็นคนที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นหมดแรงและหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาก้มลงจูบเธอที่หน้าผากอย่างเอ็นดูแล้วจึงลุกขึ้นช้า ๆ เข้าไปนั่งที่ที่นั่งคนขับอีกครั้งแล้วขับรถมุ่งเข้าตัวเมือง
เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านตระกูลลี่ หวางอี้ก็รออยู่ที่ลานบ้านนานแล้ว อีกทั้งยังมีพ่อบ้านอยู่ข้างๆ
ลี่เฉินซีอุ้มซูย้าวที่นอนหมดสติลงจากรถ หวางอี้กับพ่อบ้านวิ่งเข้าไปรับ
เขาไม่ได้พูดอะไร มันเป็นเพียงใบหน้าที่หล่อเหลาที่มืดมน และความเกลียดชังที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาก็ดูสง่างามและมีอำนาจ น่าเกรงขาม
ลี่เฉินซีอุ้มเธอขึ้นข้างบนทันทีและวางเธอไว้บนเตียงและห่มผ้าให้เธอ เขายืนอยู่ข้างเตียง มองลงมาที่เธอที่เป็นแบบนี้ และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ผ่านไปนานจนเขาออกมาและออกคำสั่งให้หวางอี้ที่อยู่ด้านข้าง “ไปตามหมอหลี่มา!”
หวางอี้พยักหน้าแล้วพูด “ผมจะติดต่อไปทันทีครับ”
ลี่เฉินซีลงไปที่ชั้นล่าง เมื่อถึงห้องรับแขกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กดังขึ้นที่โถงทางเดิน
เตียวเตียวเดินมาโดยมีซีซีเดินตามมา พวกเขาเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนอนุบาลเลิกพร้อมกับพี่เลี้ยง เด็กทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้เขา เมื่อลี่เฉินซีเห็นลูกสาวก็เก็บอารมณ์ก่อนหน้านี้และดูอ่อนโยนลงมา
เขาก้มตัวลงแล้วอุ้มซีซีขึ้นมา “ซีซีเลิกเรียนแล้ว วันนี้คิดถึงพ่อไหม?”
ซีซีมองเขาแล้วกะพริบดวงตาคู่สวยนั้น และทำท่าเหมือนไม่อยากจะสนใจเขาแบบนั้นแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น จากนั้นก็ดิ้นเพื่อแสดงออกว่าอยากจะลง
ลี่เฉินซีก็จนใจทำได้เพียงรีบปล่อยเด็กน้อยลงในทันที
เมื่อซีซีลงถึงพื้นก็พุ่งตัวและวิ่งหนีขึ้นข้างบนทันที
ลี่เฉินซีมองดูลูกสาวจากด้านหลังและอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ทันแล้ว และทันใดนั้นก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจากด้านข้าง
“คุณลุงครับ คุณน้าอยู่ไหมครับ?” เตียวเตียวแหงนหน้าขึ้นมองเขา
เขาพยักหน้าและก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วพูด “คุณน้าเหนื่อยมาก พักผ่อนอยู่ข้างบน เดี๋ยวเธอขึ้นไปเล่นกับน้อง แต่อย่าเสียงดังรบกวนคุณน้าล่ะ ดีไหม?”
เตียวเตียวก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง “ผมไปดูคุณน้าได้ไหมครับ?”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ได้ ตอนนี้คุณน้าไม่สบาย”
“งั้น…ได้ครับ!” เตียวเตียวผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วจึงเดินจากเขาไปขึ้นข้างบน
ที่จริงแล้วหลายวันมานี้เตียวเตียวก็รู้สึกได้ถึงการปฏิบัติตัวที่ห่างเหินจากลี่เฉินซี
จะเรียกว่าห่างเหินก็ไม่ถูกต้องนัก โดยรวมแล้วเขาก็ยังดีกับเขามาก
แต่ไม่ค่อยจะใกล้ชิดขนาดนั้นแค่นั้น สุดท้ายแล้วเมื่อไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เขาไม่มีทางดูแลเขาได้เหมือนที่ดูแลซีซี ที่ถึงแม้ว่าเด็กน้อยจะไม่อยากสนใจไยดีเขา แต่เขาก็ยังมีความอดทนและเข้าหาเธอเรื่อย ๆ ง้อเธออย่างระมัดระวังด้วยความกลัวว่าถ้าทำอะไรผิดไปแล้วจะทำให้เด็กน้อยคนนั้นโมโห
ส่วนเตียวเตียวที่เคยใช้ชีวิตกับครอบครัวอุปถัมภ์มาเยอะ เขาถนัดเรื่องการจับสีหน้าคนที่สุด มีหรือที่จะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้?
พ่อบ้านดูอยู่ข้างๆ และคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกลี่เฉินซีตัดบทแล้วออกคำสั่งมาเสียก่อน “เดี๋ยวลงไปต้มน้ำแกง คุณซูไม่ค่อยสบาย แล้วก็ทำอาหารที่เธอชอบด้วย!”
“ได้ครับ” พ่อบ้านรับคำสั่ง
ลี่เฉินซีก้าวออกไปข้างนอก ก้าวสองก้าว ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง หยุดเดินแล้วพูดอีกครั้ง “ยังมีอีก เดี๋ยวให้พี่เลี้ยงขึ้นไปข้างบน อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูน้อยหน่อย อย่าให้เด็ก ๆ ไปรบกวนคุณซูนะ”
“ครับ นายท่าน”