เสียงประตูดัง “เอี๊ยด” มันถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นหวางอี้ ก็ก้าวเข้ามาด้านใน
ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ยังคงมีบรรยากาศที่รู้สึกอึดอัดใจลอยอยู่ไปมา หวางอี้เพียงกวาดสายตาไปมองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงค่อยๆก้าวออกไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินมาโค้งคำนับเจี่ยงเวินอี๋ แล้วเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าลี่เฉินซีกล่าวว่า “ท่านประธานลี่ครับ”
ในขณะที่เขากำลังพูด ในมือก็ได้ยื่นเอกสารออกไปให้
ลี่เฉินซีรับมาและเปิดอ่านด้านใน เนื้อหานั้นใกล้เคียงกับที่เขาคาดเดาเอาไว้ หลังจากอ่านเอกสารทั้งหมดแล้วเขาก็ปิดแฟ้มเอกสารลง หรี่ตามองดูหวางอี้ถาม “อย่างอื่นล่ะ?”
หวางอี้รายงานว่า “พวกเราได้ส่งคนไปแล้ว ตอนนี้ทั้งภายในและภายนอกโรงแรมล้วนเป็นคนของพวกเรา ตอนนี้คุณหนูน้อยยังปลอดภัยครับ”
ลี่เฉินซีพยักหน้าตอบรับ เนื่องจากชอลพุซถูกสั่งโดยJock ดังนั้นจุดประสงค์หลักในการเดินทางมาครั้งนี้ เตียวเตียวเป็นเพียงแค่หนึ่งในแผนการ แต่สิ่งที่เป็นตัวการสำคัญที่พวกเขาต้องการนั่นก็คือซูย้าว
แม้ว่าJockจะมีอิทธิพลอย่างมากที่ต่างประเทศ แต่ถึงอย่างไรที่นี่คือเมืองA คนของชอลพุซเพียงแค่ไม่กี่คนเหล่านั้น ไม่อาจต่อต้านกับตระกูลลี่ได้
การที่เขาอยู่นิ่งๆยังไม่โจมตีนั้นก็เพราะมีเหตุผลอื่น
หากจะตีงูก็ควรอยู่ห่างๆสักเจ็ดฟุต ดังนั้นหากต้องการจัดการกับJockให้จบสิ้น ก็จะต้องหาหลักฐานสำคัญให้ได้ก่อน ตอนนี้การลักพาตัวเด็กไป นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง ยังขาดอยู่อีกเล็กน้อย
ตอนนี้ทำได้เพียงรอเวลาเท่านั้น
แต่เขาก็ทรมานซีซีไม่น้อย เมื่อนึกได้เช่นนี้ความรู้สึกซับซ้อนและรสชาติอันขมขื่นก็ผสมผสานกันปรากฏขึ้นในใจของลี่เฉินซีแต่เพื่อความปลอดภัยของซูย้าวและเตียวเตียว ในครั้งนี้เขาจำเป็นที่จะต้องใช้ลูกสาวเป็นตัวช่วย
หลังจากที่หวางอี้รออยู่สักครู่และไม่พบว่าเจ้านายพูดอะไรออกมาอีก จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านประธานลี่ครับ ผมว่าตอนนี้พวกเรา จะ……”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วคืนเอกสารไปให้เขา ตอบกลับไปว่า “รอก่อน”
แม้ว่าหวางอี้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมากมาย ทำได้เพียงพยักหน้า ส่วนสายตาก็ได้เหลือบไปมอง เจี่ยงเวินอี๋ที่นั่งอยู่บนโซฟา สีหน้าของเธอบูดบึ้งเสียจนใกล้จะระเบิด
เป็นจริงดังนั้น วินาทีต่อมาเจี่ยงเวินอี๋ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “จะมัวรออะไรอยู่อีกล่ะ ในเมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบไปลงมือทำเข้าสิ ซีซีสำคัญที่สุดไม่ใช่รึไง!”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งขึ้นมาทันใดก่อนจะเลือกตัดสินใจเดินขึ้นไปด้านบนอย่างเงียบๆ
เจี่ยงเวินอี๋ลุกขึ้นและเดินตามเขาไปได้ทันเพียงไม่กี่ก้าว “จะมัวรออะไรอยู่อีกเหรอ? ลูกสาวของตัวเองไม่สำคัญหรือไง? ก็แค่เตียวเตียวคนเดียวไม่ใช่รึไง? ลูกคนอื่นจะเปรียบเทียบได้กับเลือดเนื้อของตัวเองเชียวเหรอ?”
หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งดูเหมือนเธอจะเห็นความเด็ดเดี่ยวของเขา จึงได้ตัดสินใจพูดออกมาว่า “แกไม่กล้าสินะ ถ้าอย่างนั้นแม้จะทำเอง! แม่จะเป็นคนเลวร้ายคนนั้นแทนเอง พาเตียวเตียวไปที่นั่นและเอาตัวซีซีกลับมา ก็เท่านั้น!
ตราบใดที่หลานของแม่ปลอดภัย อย่าว่าแต่ชีวิตของเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นเลย แม้แต่ชีวิตของแม่เองก็จะไม่ลังเล!”
เจี่ยงเวินอี๋รักเด็กคนนี้มากจริงๆ แม้ว่าช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับซีซีมีไม่นานมากนัก แต่เจ้าหนูหน่อยก็ช่างดึงดูดผู้คนให้ชื่นชอบ หรืออาจจะเป็นเพราะเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอด้วย เมื่อมองเห็นซีซี ก็เปรียบเสมือนกับเห็นลี่เฉินซีในวัยเยาว์อีกครั้งหนึ่ง……
นับวันเธอยิ่งพูดมากขึ้นเรื่อยๆ และท่าทางอันวิตกกังวลของเธอนั้นทำให้อารมณ์ไม่มั่นคงขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเธอเซไปมาเล็กน้อย โชคดีที่ลี่เฉินซีเอื้อมมือออกไปพยุงเอาไว้ทัน
เมื่อหวางอี้เห็นดังนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปพยุงเจี่ยงเวินอี๋เอาไว้แล้วพูดว่า “คุณหญิงครับอย่าได้กังวลใจไปเลย ตอนนี้คุณหนูน้อยยังปลอดภัยอยู่ ท่านประธานลี่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร”
“ฉันไม่ได้กังวลว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดควรไม่ควร!” เจี่ยงเวินอี๋พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “ฉันเพียงแค่กังวลว่าเขาจะทำให้เสียเวลาไปโดยใช่เหตุและเสียโอกาสเพราะเพียงแค่คนคนหนึ่ง!”
เมื่อเหตุการณ์การลักพาตัวเกิดขึ้นแล้วแน่นอนว่าผู้ลักพาตัวคงต้องการเงินหรือสิ่งของนำมาแลกเปลี่ยน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดล้วนน่ากลัว และอะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกวินาที
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยงเวินอี๋ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น เธอพูดออกมาด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อยว่า “จงไปทำตามที่ฉันบอก เอาเตียวเตียวไปแลกออกมา!”
“ไม่ได้!” ลี่เฉินซีรีบพูดออกมาเพียงแค่สองคำสั้นๆหนักแน่น น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมานั้นบดบังคำพูดในตอนท้ายของผู้เป็นแม่ไปอย่างสิ้นเชิง
เจี่ยงเวินอี๋มองเขาด้วยความไม่น่าเชื่อ สมองของเธอโกรธจัดและรู้สึกเวียนหัวจนแทบจะเป็นลม โชคดีที่มีหวางอี้คอยประคองเอาไว้เธอจึงไม่ได้ล้มลงสู่พื้น “แก……”
เธอโมโหเสียจนตัวสั่น เดิมทีหัวใจของเธอก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว บัดนี้สีหน้าของเธอก็ซีดเผือดขึ้นมาทันใด เผยให้เห็นว่าโรคหัวใจของเธอนั้นกำลังจะกำเริบขึ้นมาได้ทุกวินาที หวางอี้ไม่กล้ารีรอรีบพยุงคุณหญิงมานั่งลงจากนั้นก็ลุกไปหายา
แต่พ่อบ้านเก่าแก่ผู้นั้นได้รีบวิ่งออกไปตั้งแต่เห็นเหตุการณ์ เขาหยิบยาและนำวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ผ่านไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็พยุงเจี่ยงเวินอี๋ขึ้นมากินยาได้ เมื่ออาการของเธอค่อยๆดีขึ้น ลี่เฉินซีก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “ดูแลคุณนายให้ดี” หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นด้านบนไป
เจี่ยงเวินอี๋มองไปตามเงาของเขาที่กำลังเดินจากไป ก่อนที่อารมณ์ของเธอจะระเบิดอีก จู่ๆ ประตูก็ถูกผลักขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ลู่ส้าวหลิงและโม่หว่านหว่านพากันเดินเข้ามาด้านใน การกระทำอันกะทันหันของพวกเขานั้นทำให้ลี่เฉินซีที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
โม่หว่านหว่านรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อเธอผลักประตูเข้ามาแล้วก็มองไปทั่วห้องรับแขกและรีบถามขึ้นมา “ซูย้าวล่ะ? เธออยู่ที่ไหน?”
เมื่อพูดชื่อของซูย้าวขึ้นมา อารมณ์ของเจี่ยงเวินอี๋ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของเธอยังไม่ดีขึ้นเลย เธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างๆตัวแล้วปาไปทางโม่หว่านหว่าน
การกระทำอันรวดเร็วว่องไวของเธอนั้น ทำให้โม่หว่านหว่านยังไม่ทันที่จะได้ป้องกันตัวเองแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ ก็มีมือใหญ่มือ หนึ่งพุ่งเข้ามาบังแก้วน้ำนั้นเอาไว้ เพียงแต่ว่ามีน้ำจำนวนหนึ่งกระเด็นมาเปียกร่างกายของโม่หว่านหว่าน
เธอชะงักลงทันใด จากนั้นก็หันมาทางเจี่ยงเวินอี๋ เดิมทีโม่หว่านหว่านก็มีนิสัยค่อนข้างที่จะอารมณ์ร้อนเป็นเดิมทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรับรู้ว่าซูย้าวถูกแม่สามีที่อยู่ในตระกูลลี่รังแกเอาไม่น้อยเธอก็หยิ่งอดทนไม่ไหว
โม่หว่านหว่านสุดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ถ้าจะเทียบกันที่อายุแล้วฉันควรจะเรียกคุณว่าป้าด้วยซ้ำ คุณกำลังทำอะไรกันอยู่? ฉันเดินทางมาหาซูย้าว ถ้าเธอไม่อยู่ที่นี่ฉันไปก็ได้!”
เมื่อพูดจบ โม่หว่านหว่านก็หันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอก ลู่ส้าวหลิงมองไปที่เธอก่อนจะหันไปทักทายกับเจี่ยงเวินอี๋และรีบวิ่งตามเธอออกไปด้านนอก
เจี่ยงเวินอี๋ที่เต็มไปด้วยความโมโหอยู่ในใจ เธอจะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจท่าทางของโม่หว่านหว่าน เมื่อเธอหันไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินขึ้นไปตรงบันไดก็ตะคอกออกมาว่า “ลี่เฉินซี!! ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่ารีบพาเตียวเตียวไปเสีย แล้วนำซีซีกลับมาให้ฉัน! เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวในไส้ของแกนะ แกทำแบบนี้ได้อย่างไร!”
คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนั้น ทำให้ฝีเท้าของโม่หว่านหว่านหยุดลง
หรือจะพูดให้ถูกก็คือเธอชะงักลงต่างหาก
หลังจากนั้นโม่หว่านหว่านก็หันหลังเดินกลับมา เพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงข้างๆเจี่ยงเวินอี๋ เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยขึ้นด้วยความคาดไม่ถึงว่า “เมื่อสักครู่คุณว่าอะไรนะ?”
เธอแทบไม่เชื่อหูของตัวเองเมื่อสักครู่เธอคิดว่าหูเธอฟาดไปหรือฟังอะไรผิดไป เธอจึงได้พูดกับเจี่ยงเวินอี๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโหว่า “ถ้าฉันฟังไม่ผิดคุณบอกว่าจะใช้เตียวเตียวไปแลกกับซีซี? ซีซีถูกคนลักพาตัวไปอย่างงั้นเหรอ?”
เนื่องจากว่าโม่หว่านหว่านเพิ่งจะกลับมาถึง ดังนั้นเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอจึงไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก เพียงแค่โทรศัพท์คุยกับซูย้าว และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ถ้ามันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ก็ยังไม่เท่าไร แต่เธอคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้!
เจี่ยงเวินอี๋โมโหเสียจนสุดขีด และเธอก็ไม่มีอารมณ์มาพูดอะไรกับโม่หว่านหว่านมากนักจึงได้พูดออกไปเพียงว่า “นี่เป็นเรื่องของตระกูลลี่ของเราไม่เกี่ยวกับคุณ!”
เมื่อพูดจบ เธอก็มองไปทางพ่อบ้านแล้วพูดเสริมขึ้นมาว่า “พ่อบ้าน ช่วยส่งคุณโม่และคุณลู่กลับไปด้วย!”
พ่อบ้านรับคำสั่ง จากนั้นเดินมาทางโม่หว่านหว่านและลู่ส้าวหลิง ก่อนจะโค้งตัวคำนับและทำมือเป็นสัญญาณว่าเชิญ
แน่นอนว่าโม่หว่านหว่านไม่ได้สนใจอะไรเขา แต่กลับเดินผ่านพ่อบ้านไป เธอจิกสายตามองปลายทางเจี่ยงเวินอี๋ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับซีซีฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย พวกคุณจะเอาเตียวเตียวไปแลกกับซีซีไม่ได้!”
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หรือฝาแฝดนั่นเองจะเอาคนหนึ่งเป็นแร่อีกคนหนึ่งได้อย่างไร!?
เรื่องไร้สาระแบบนี้โม่หว่านหว่านไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เจี่ยงเวินอี๋ที่กำลังโมโห ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างยิ่งกับการที่โม่หว่านหว่านเข้ามาแทรกแซงกะทันหัน เธอจึงได้พูดไปอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอหรือไง? คุณโม่ คุณชอบยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่นมากนักหรือไง?”
“ฉันก็ไม่อยากจะเอื้อมมือเข้ามายุ่งเกี่ยวหรอกนะ แต่ทั้งสองคนล้วนเป็นหลานในไส้ของคุณ คุณจะเอาอีกคนหนึ่งไปแลก กับอีกคนหนึ่งมาได้อย่างไร?” โม่หว่านหว่านอธิบายอย่างงงงวย
เจี่ยงเวินอี๋ชะงักลงทันใด “อะไรคือหลานในไส้? เตียวเตียวเป็นลูกบุญธรรมของซูย้าวที่รับมาเลี้ยง……”
“ไม่ใช่แบบนี้นะคะ ทั้งสองคนเป็นหลานของคุณแท้ๆ เด็กคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อของซูย้าวและลี่เฉินซีเช่นกัน เขาเป็นเด็กคนที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อตอนนั้นไง!” โม่หว่านหว่านรีบพูดออกมาอย่างรีบร้อน