วินาทีนั้นเองดวงตาของซูย้าวกะพริบเบาๆ เธอถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งอย่างชาญฉลาด ในขณะที่กำลังออกห่างจากเพ้ยส้าวหลี่ เธอก็ได้ยื่นมือออกมาจับบ่าของชายคนนั้นเอาไว้
“คิดถึงฉันเหรอคะ?” ซูย้าวยิ้มออกมาเบาๆ น้ำเสียงของเธออ่อนโยนนุ่มนวล ดวงตาของเธอสั่นไหว ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังตกตะลึง มือของเธอก็ออกแรงขึ้นแล้วหันหลังกลับ เธอทุ่มเขาได้อย่างสมบูรณ์
เพ้ยส้าวหลี่ถูกเธอทุ่มลงบนชายหาดอย่างแรง โชคดีที่ทรายเหล่านั้นค่อนข้างอ่อนนุ่ม แม้จะถูกทุ่มลงไปก็ไม่เจ็บมากนัก
นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงดูมีความหมายลึกซึ้งพูดว่า “ไม่เลวนี่ คืบหน้ามากทีเดียว!”
ซูย้าวหัวเราะขึ้น แสงแดดสดใสส่องลงมาที่ใบหน้าของเธอ ปรากฏออกเป็นเงาจางๆ ทำให้ใบหน้าอันงดงาม คิ้ว จมูกและขนตาอันได้รูปของเธอมีเสน่ห์มากขึ้น จะให้ผู้พบเห็นใจไม่สั่นไหวก็คงยาก
เพ้ยส้าวหลี่เหม่อมองดูเธอ ซูย้าวจึงยื่นมือไปที่ชายหนุ่มเป็นความหมายว่าจะดึงเขาขึ้นมา
เขาตั้งใจเอื้อมมือออกไปยังเธอ แต่วินาทีที่สัมผัสกับมือเธอนั้น เขาก็ได้ออกแรงมากขึ้นจงใจดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา แต่ถึงเช่นนั้นซูย้าวดูเหมือนว่าจะรู้ทันเขา ไม่ทันรอให้เขาได้ออกแรง หรือพูดได้ว่ายังไม่ได้เริ่มการกระทำนั้นด้วยซ้ำ เธอก็ได้ออกแรงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยการลากเขาขึ้นมาและกระแทกลงที่พื้นอย่างจัง
ในครั้งนี้ เนื่องจากความสูงและน้ำหนักที่ไม่สมดุลกัน เธอเองก็เลี่ยงไม่ได้และกลิ้งลงบนชายหาดกับเขา แต่ก็ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าผลเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว นิ้วมืออันเรียวงามของเธอจับไปที่ลำคอของชายหนุ่ม เธอใช้ทั้งมือและขาในการควบคุมท่าทางของชายหนุ่มไว้ได้อย่างสมบูรณ์
เพ้ยส้าวหลี่ถูกเธอกุมลำคอเอาไว้จนแทบหายใจไม่ออก เขาจึงจำเป็นต้องเอื้อมมือออกไปตบขาของเธอเบาๆ เป็นความหมายว่าเขายอมแพ้แล้ว
ซูย้าวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยอมปล่อยเขาออก
แต่วินาทีนั้นเอง เพ้ยส้าวหลี่ก็ประกบเข้ามาอีกครั้ง เขายืดขาออกไปสกัดกั้นเธอ ซูย้าวยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ตัวเธอหกล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขา
เขาโอบกอดเธอจากด้านหลัง ใบหน้าอันหล่อเหลาได้รูปนั้น ซุกเข้ามาตรงคอของเธอ เขาหายใจรดต้นคอเบาๆ แล้วพูดว่า “พี่ชายของคุณสอนแต่เรื่องทักษะการต่อสู้ แต่คงลืมบอกไปว่าให้พึงระวังใจคนด้วยสินะ”
สองปีมานี้ซูย้าวอยู่ข้างอานเจียเย้นตลอดเวลา จึงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นยูโดหรือเทคอนโด เธอก็เรียนรู้มาจากช่วงนี้ เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญสู่ความชำนาญ เธอได้ผ่านมันมาอย่างช้าๆ
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้ระวัง?”
เพ้ยส้าวหลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย คำพูดที่เดิมที่เขาต้องการจะกล่าวออกมา จู่ๆ ก็กลับกลืนมาคอไปเสียดื้อๆ สีหน้าของเขาที่ปรากฏรอยยิ้ม ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสงสัย
เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าบริเวณเอวของเขานั้นมีบางอย่างผิดปกติไป และเมื่อเขาค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองก็พบว่า มีปืนพกกระบอกหนึ่งจ่อบริเวณเอวของตนเอาไว้
ปากกระบอกปืนสีดำช่างเยือกเย็นเหลือเกิน
รูม่านตาของเขาหดตัวลงทันทีแล้วรีบปล่อยเธอออก
ซูย้าวลุกขึ้นยืนและเก็บปืนลง เธอไม่ได้ไปสนใจเขาอีก แต่กลับมองไปยังคลื่นจากทะเลที่ซัดสาดเข้ามา เธอยกมือขึ้นนำปอยผมเหน็บหู
เพ้ยส้าวหลี่โน้มตัวลงมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหมายอันลึกล้ำ จ้องมองไปที่เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจและพูดว่า “กับผมต้องเอาปืนจริงมาเล่นเลยเหรอครับ?”
ซูย้าวยิ้มแล้วยักไหล่ เธอหันหลังกลับมามองเขาแล้วพูดว่า “ช่วยไม่ได้นี่คะ คุณเป็นคนพูดเองว่าให้พึงระวังใจคน”
เพ้ยส้าวหลี่ขมวดคิ้วเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม “เจ้าเด็กคนนี้ปากคอเราะรายไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ ”
เธอมองมาทางเขาพูดว่า “คุณพูดแบบนี้ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจฉันมากสินะคะ?”
สายตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูไม่ได้จริงจังสักเท่าไหร่และพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรผมก็เป็นคู่หมั้นของคุณ ผมจะไม่รู้จักคุณได้ยังไง?”
เดิมทีซูย้าวตั้งใจจากค่อยๆ เดินเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเธอก็หันหลังกลับมา ใบหน้าอันเฉยเมยของเธอดูไร้ความอดทน เธอจงใจเน้นเสียงสูงขึ้นว่า “คู่หมั้นเหรอคะ?”
เพ้ยส้าวหลี่เดินตรงเข้าไปหาเธอ ร่างกายอันสูงใหญ่ของเขาหยุดอยู่ตรงหน้า “ไม่ใช่เหรอครับ?”
เธอหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “คุณคิดว่าตระกูลเพ้ยและตระกูลอานสามารถแต่งงานกันได้อย่างนั้นเหรอ?”
ประโยคนี้ทำให้เพ้ยส้าวหลี่กะพริบตา หัวเราะแล้วพูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ? เรื่องบางเรื่องถ้าพวกเราไม่ลองพยายามดูจะรู้ได้อย่างไรว่าผลลัพธ์เป็นแบบไหน?”
“ให้น้อยๆ หน่อยเถอะคุณ” ดูท่าทางซูย้าวไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง อาจเป็นเพราะเธอออกกำลังกายมาสักครู่ใหญ่แล้วจึงทำให้เหนื่อยบ้างเล็กน้อย ความอ่อนแรงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอจึงหันหลังเดินตรงไปที่ถนน
เพ้ยส้าวหลี่รีบเดินตามเธอไป และเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ แต่กลับถูกซูย้าวหลบเอาเสียดื้อๆ
ตระกูลเพ้ยและตระกูลอาน เรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์กันที่ดี เนื่องจากทั้งสองฝ่ายล้วนทำธุรกิจและได้พบปะกันบ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องของการงาน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ แต่อย่างใด
ซูย้าวเองก็ไม่อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลต้องมาพังทลายลงเพราะตนเอง อีกทั้งเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพ้ยส้าวหลี่สักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องของการแต่งงานและความรักนั้นเธอไม่เคยจะครุ่นคิดมาก่อนเลย จึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก
เพ้ยส้าวหลี่ลากตัวเธอไปร่วมรับประทานอาหารด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
ซูย้าวปลีกตัวออกมาอย่างมีมารยาท เมื่อเพ้ยส้าวหลี่เดินกลับมาอีกครั้งก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเขาดูกังวลเล็กน้อย ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ
เขามองดูซูย้าวคล้ายกับอยากพูดอะไรออกมาแต่ก็เก็บมันเอาไว้
ด้านของซูย้าวนั้นก็ค่อนข้างตรงไปตรงมาเธอพูดขึ้นมาว่า “คุณไปจัดการธุระเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มชะงักลงเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณไม่อยากรู้ว่าผมไปจัดการเรื่องอะไรเหรอ?”
เธอเก็บผมหน้าม้าเอาไปทัดไว้หลังหู หันหน้าไปทางแสงอาทิตย์แล้วหรี่ตาลงพูดว่า “ส้าวหลี่ ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยบอกกับคุณแล้วว่า เรื่องระหว่างเราสองคนมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คุณอย่ามัวมาเสียเวลากับฉันเลยมันไม่มีประโยชน์”
สีหน้าของเพ้ยส้าวหลี่มืดมนลงไปทันใด เขาเดินเอี้ยวตัวมาตรงข้างๆ เธอ “ชิงชิง คุณไม่เคยให้โอกาสผมเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเราสองคนไม่มีทางเป็นไปได้?”
นั่นเป็นเพราะฉันไม่อยากจะเสียเวลาและเสียแรงโดยใช่เหตุ ในเมื่อฉันรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร จะฝืนทนไปเพื่ออะไร?” เธอมองไปยังเขาด้วยดวงตาและน้ำเสียงราบเรียบ
เพ้ยส้าวหลี่จ้องมองดูเธอ แววตาของเธอดูขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่เธอก็มักเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานหรือความรู้สึกเธอก็มักจะนิ่งสงบกว่าคนอื่นๆ เป็นพิเศษ
ในส่วนนี้ เธอยังเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ต่อให้ความจำของเธอเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจของเธอไม่เคยเปลี่ยน
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูตึงเครียดเล็กน้อยและเม้มปากก้มหน้าพูดว่า “นั่นเป็นเพียงความรู้สึกฝ่ายเดียวของคุณต่างหากล่ะ ถ้าตอนนี้คุณยังไม่พร้อมที่จะมีแฟนหรือมีความรัก ผมก็สามารถรอได้ จะให้รอนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของผมกับคุณมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเด็ดขาด ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วคุณก็จะกลายเป็นคนรักของผม”
ซูย้าวชะงักลง หัวคิ้วของเธอแทบจะเข้ามาติดกัน “ส้าวหลี่ การกระทำของคุณตอนนี้ ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือดื้อรั้น แต่ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังก็คือเอาแต่ใจ คุณเองก็เป็นคนฉลาด เราควรจะจบเสียตั้งแต่ตอนนี้”
เมื่อเธอพูดจบก็ไม่อยากจะสนทนากับเขาอีกต่อไป และรีบเดินหันหลังก้าวขาขึ้นรถแท็กซี่ที่อยู่ตรงข้างทางไปอย่างรีบร้อน
เพ้ยส้าวหลี่ส่งเธอขึ้นรถด้วยสายตา จนกระทั่งรถคันนั้นหายไปจากการมองเห็นของเขา ใบหน้าของเพ้ยส้าวหลี่ในขณะนี้ ไม่เหลือความอบอุ่นอ่อนโยนแม้แต่น้อย มันกลับเป็นความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่ แม้แต่มือทั้งสองข้างที่อยู่ตรงข้างลำตัวของเขาก็ถูกกำเอาไว้แน่น
……
ระหว่างการเดินทางกลับไปนั้น ซูย้าวไม่ได้กลับไปคฤหาสน์ แต่ให้คนขับรถไปอีกทิศทางหนึ่ง
เมื่อรถขับไปถึงสถานที่นั้น มองจากไกลๆ ก็สามารถเห็นสถานที่ก่อสร้างเป็นตึกโบราณสีขาวขุ่น มันกว้างขวางและดูหรูหรา โอ่อ่าอลังการสูงตระหง่าน ตั้งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย
หากมองจากภายนอก อาจจะมองว่าอาคารหลังนี้ค่อนข้างเก่า แต่เมื่อมองไปยังประตูสีทองโบราณนั้น ประกอบกับกำแพงโดยรอบที่ดูมีประวัติศาสตร์มากมายหลายปี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบ้านหลังนี้อายุนับร้อยปีแล้ว
กำแพงด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียวชอุ่มตระการตา ในขณะเดียวกันมันกลับแต่งเติมให้บ้านหลังนี้เรียบง่ายและดูมีเสน่ห์มากขึ้น
รถค่อยๆ ขับเข้าไปด้านหน้าอย่างช้าๆ หลังจากที่หยุดรถลงแล้ว ซูย้าวก็ลงจากรถเดินเข้าไปด้านในเรือน
ผู้ที่เดินออกมาต้อนรับคือพ่อบ้านและแม่บ้านวัยกลางคน ทั้งสองโค้งตัวลงแล้วพูดว่า “คุณหนู กลับมาแล้วเหรอคะ”
ฝีเท้าของซูย้าวยังไม่หยุดลง รองเท้าออกกำลังกายสีขาวเหยียบขึ้นไปบนพื้นแต่แทบไม่เกิดเสียงใดๆ ออกมา เธอมองไปยังห้องรับแขกอันกว้างใหญ่ และเหลือบขึ้นไปมองด้านบนก่อนจะเอ่ยถามว่า “พี่ชายของฉันล่ะ อยู่ข้างบนเหรอ?”
“ใช่ครับ” พ่อบ้านตอบรับออกมาเบาๆ “นายท่านบอกว่าในวันนี้จะมีแขกคนสำคัญเดินทางมาที่บ้าน จึงได้แต่นั่งรออยู่ในห้องครับ”
ซูย้าวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “แขกคนสำคัญเหรอคะ?”
พ่อบ้านเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก เขาเพียงแค่ถ่ายทอดคำพูดของอานเจียเย้นออกมาว่า “นายท่านได้พูดแบบนี้ว่า แขกคนสำคัญที่รอคอยมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็เดินทางมาแล้วครับ”