แม้ว่าสีหน้าข้อซีซีจะดูไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกลี่เจิ้งลากมือน้อยๆของเธอบังคับให้ลงไปข้างล่าง
ดูเหมือนลี่เจิ้งจะเมินเฉยต่อซูย้าวอย่างจงใจ ราวกับว่าเธอเป็นอากาศ แม้ว่าซีซีจะตะโกนออกมาว่า “แม่” อย่างไม่หยุดหย่อน แต่เขาก็ดูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน อีกทั้งอุ้มน้องสาวขึ้นมาก้าวเข้าไปในห้องอาหารทันที
เมื่อซูย้าวถูกเมินเฉยเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอต้องเขินอายและทำตัวไม่ถูก
เป็นจริงดังที่คิด ผู้ชายในตระกูลลี่ไม่มีใครสักคนที่ว่าง่าย ลี่เจิ้งเพิ่งจะกี่ขวบเท่านั้นเอง แต่ก็วางท่าไม่ใช่น้อย! แทบไม่ต่างอะไรกับลี่เฉินซีเลย หากว่าเขาโตขึ้นละก็คงจะเป็นท่านประธานที่บ้าอำนาจแน่ๆ!
ซูย้าวถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างขมขื่น จากนั้นเธอเองก็ค่อยๆก้าวขาลงไปด้านล่าง
ขณะที่เธอเดินเข้ามาในห้องอาหาร ก็พบว่าทุกคนยังไม่มีใครลงมือกินข้าวดูเหมือนกับกำลังรอเธออยู่
ซูย้าวชะงักลงและรู้สึกเขินเล็กน้อยเธอเม้มปากเนื่องจากทำตัวไม่ถูก ในขณะที่กำลังลังเลไม่รู้จะทำอย่างไร ลี่เฉินซีก็ลุกขึ้นยืนแล้วดึงเก้าอี้ตรงข้างๆเขาออกมาให้เธอ ยื่นมือไปจับมือเธอกดร่างให้นั่งลงบนเก้าอี้
“กินข้าว” น้ำเสียงอันเย็นชาของเขาพูดออกมาเพียงสองคำ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จัดการจนเสร็จสิ้น อีกทั้งยังยื่นผ้าเช็ดปากให้กับเธอ
ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมดหนทาง การนัดเขาทานอาหารด้วยเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!
แต่ก็ยังดีที่เด็กทั้งสองคน ลี่หมิงและซีซีสี่ยังคงเด็กมาก เมื่อพบกับเธอก็ค่อนข้างดูสนิทสนม ขณะรับประทานอาหารซีซีได้แต่เอนตัวไปทางเธอแล้วตักอาหารให้เธอไม่หยุดหย่อน
ลี่หมิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เนื่องจากแขนของเขายังสั้น แต่ก็พยายามยืดตัวขึ้น และคีบอาหารให้กับเธอตั้งหลายอย่าง ท่าทางอันกระตือรือร้นของเด็กทั้งสองคน ทำให้ซูย้าวรู้สึกอึดอัดมากขึ้น
“คุณแม่ขา หนูจำได้ว่าแม่ชอบกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานมากเลย อันนี้ให้แม่นะ เดี๋ยวหนูจะเอากระดูกออกให้” ซีซีพูดพลางคีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมา แต่มือน้อยๆของเธอที่พยายามจะแกะกระดูกออก ด้วยท่าทางการจับตะเกียบที่เงอะงะจึงทำให้ ซี่โครงนั้นหล่นลงสู่พื้น
ซีซีไม่ละความพยายาม เธอคีบมันมาอีกชิ้นหนึ่งแต่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
เจ้าหนูน้อยทำปากป่องอย่างหมดความอดทน จากนั้นหันไปมองลี่เฉินซีพูดว่า “พ่อคะ ช่วยแม่เอากระดูกออกหน่อย”
ลี่เฉินซีทำได้เพียงยิ้มและไม่ได้สนใจคำพูดของลูกสาว เพียงตักเตือนว่า “กินข้าวดีๆ”
ซีซีเบ้ปากเล็กๆของเธออย่างไม่มีความสุข เธอมองไปทางซูย้าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “แม่คะหนูทำไม่เป็น……”
ท่าทางของเด็กน้อยช่างน่ารักเสียจนซูย้าวยิ้มออกมา เธอจับหัวเล็กๆของเจ้าหนูน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ เดียวน้าจะช่วยนะ”
เธอหยิบซี่โครงขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเลาะกระดูกออกได้เพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ใส่ลงไปในชามของซีซีพูดว่า “อ้าวนี่ กินเสียนะ!”
ซีซีเอียงศีรษะมองมายังเธอ “แม่เป็นแม่นะ ทำไมต้องเรียกว่าหน้าล่ะ?”
“เอ่อคือ……”
ซูย้าวไม่รู้จะตอบเธออย่างไร จึงทำได้เพียงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
จู่ๆบรรยากาศก็ดูอึดอัดขึ้นมา เหมือนกับแท่งคอนกรีตที่หล่นลงมาทับพวกเขา มันอึดอัดหดหู่หายใจแทบไม่ออก
ว่ากันว่า ทุกคนล้วนกลัวบรรยากาศที่เงียบงันขึ้นมาทันใดไม่ใช่หรือ? มันเป็นแบบนี้จริงๆ
“ซีซี!” น้ำเสียงของลี่เจิ้งเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ดวงตาอันเย็นชามองไปที่น้องสาวอย่างไรความอดทน “นั่งกินข้าวดีๆได้ไหม?ขนาดกินข้าวอยู่ยังหุบปากน้องเอาไว้ไม่ได้ เวลากินไม่เอ่ยวาจาเวลานอนไม่สนทนา ไม่เคยรู้หรือไง?”
ซีซีตกตะลึงทันใด จากนั้นเธอก็พยายามจะหันไปอ้อนพ่อเหมือนกับครั้งก่อน แต่กลับพบว่าลี่เฉินซีเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเงียบๆไม่ได้จะสนใจเธอเลยสักน้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ซีซีก็ยิ่งรู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นกว่าเดิม เธอก้มศีรษะน้อยๆของตัวเองลง แล้วสูดจมูกเข้าหลายครั้ง เมื่อลี่หมิงเห็นดังนั้นก็อดใจไม่ได้พูดปลอบเธอว่า “ซีซี เป็นเด็กดีกินข้าวก่อนนะ”
ซูย้าวยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเพราะตัวเธอ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปปลอบโยนเจ้าหนูน้อย “ตัวเล็กคะ กินข้าวก่อนนะดีไหม? ชอบกินกุ้งไหมคะ เดี๋ยวแกะกุ้งให้กินนะ!”
ซีซีเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตากลมโตทั้งสองข้างของเธอมองจ้องมาแล้วพูดว่า “คุณแม่ป้อนหนูนะ!”
ซูย้าวชะงักลงราวกับท่อนไม้ แต่ในที่สุดเธอก็ยิ้มขึ้นแล้วเริ่มปอกกุ้งก่อนจะป้อนซีซี
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปอย่างไม่เป็นระเบียบ
แต่ในที่สุดก็กินจนเสร็จสิ้น ซูย้าวเองก็รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าเหลือเกิน ลี่เฉินซีและลี่เจิ้งสองพ่อลูกคู่นี้ช่างเหมือนกันมาก แววตาของพวกเขาโชคโชนราวกับแสงเลเซอร์ กดดันเสียจนหนังศีรษะของเธอเย็นชา
โชคดีที่ลี่หมิงยังเล็กมาก อีกทั้งซีซีก็ฉลาดเป็นกรด ดังนั้นโดยรวมแล้วก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อย ลี่เฉินซีก็ไล่ให้เด็กๆขึ้นไปด้านบน เมื่อเด็กๆจากไปแล้วทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้องอาหาร
ห้องรับแขกอันกว้างขวางเหลือเพียงพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น บรรยากาศอันเงียบงันไหลวนอยู่ระหว่างทั้งสองคน
“เอ่อ คุณลี่คะ” ซูย้าวเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน น้ำเสียงของเธอดูคลุมเครือเล็กน้อย “ขอบคุณที่ให้การต้อนรับนะคะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วฉันขอตัวกลับไปก่อน”
เมื่อเธอพูดจบก็พยักหน้ากับเขาอย่างสุภาพ จากนั้นหยิบกระเป๋าหันหลังตั้งใจจะจากไป แต่ยังไม่ทันเดินได้สักกี่ก้าว ก็ได้ยินชายหนุ่มพูดขึ้นว่า “มีเรื่องจะขอร้องผมไม่ใช่เหรอ? ยังไม่ทันจัดการธุระเสร็จก็จะไปแล้ว เหมาะสมแล้วเหรอครับ?”
ร่างของซูย้าวที่เดินออกไปนั้นชะงักลงทันที ฝีเท้าของเธอหยุดอยู่กับที่เช่นกัน
เธอครุ่นคิดสักพัก ความขมขื่นหมดหนทางปรากฏบนใบหน้าของเธอก่อนจะหันหลังกลับไปและพูดว่า “คุณลี่ช่างทำให้คนอื่นคาดไม่ถึงจริงๆ!”
เธอไม่เคยบอกกับเขาถึงเรื่องอะไรเลย แต่เขากลับเดาออก นี่เป็นเพราะเขาเป็นคนช่างคิดหรือรอบคอบกันแน่?
ลี่เฉินซียิ้มขึ้นอย่างเฉยเมย ก่อนจะเดินไปที่สวนหลังบ้านพลางพูดออกมาว่า “ตามผมมาสิ”
ซูย้าวยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วสูดหายใจเข้าลึก ที่จริงแล้วเธออยากจะปฏิเสธเขาและเดินทางจากไปเสีย แต่ข้อคิดเห็นต่างๆของสาธารณชนเกี่ยวกับDouble Aceกรุ๊ปในตอนนี้ อีกทั้งเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เธอไม่รู้จะรับมือไว้อย่างไร กับสถานการณ์ที่พลิกผันหลายครั้งหลายครา
เมื่อครุ่นคิดดูแล้วในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าและเดินตามเขาไป
ที่ลานกว้างหลังคฤหาสน์มีสระว่ายน้ำในร่ม โรงยิม และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสันทนาการต่างๆมากมาย มีขอบเขตค่อนข้างใหญ่และถูกออกแบบอย่างสวยสง่างาม
การที่ใช้คำว่าคฤหาสน์สำหรับที่นี่แล้วมันไม่ได้ดูเกินจริงเลย
นอกจากสระว่ายน้ำในร่มขนาดใหญ่นี้แล้ว ที่สนามหลังบ้านยังมีห้องพักอีกหลายห้อง เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ซูย้าวก็พบว่าชายหนุ่มได้หายไปแล้ว
ห้องมากมายขนาดนี้เข้าไปอยู่ที่ใดกันแน่?
เธอยืนงงอยู่ตรงที่เดิม สายตาเหลือบไปเห็นด้านนอกลานหลังบ้านมันถูกล้อมรอบไปด้วยหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานเป็นประตูกระจก ดังนั้นจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนเช่น
ด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยภูเขาจำลองและต้นไม้มากมาย เนื่องจากความสูงของเธอจึงทำให้เธอต้องเขย่งเท้าและพยายามมองออกไปรอบนอก หลังจากค้นหาเป็นเวลานานทีเดียวเธอก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของชายหนุ่ม จึงทำได้เพียงยอมแพ้
ขณะที่เธอรู้สึกหมดหวังนั้น เสียงดังแกร็กท่ามกลางความเงียบได้ดึงดูดความสนใจของเธอ
ดังนั้นเธอจึงเดินไปหาต้นเสียง ตรงบริเวณทางเดินมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ประตูห้องนั้นเปิดอยู่ ด้านในพบชายหนุ่มยืนพิงกำแพง มือข้างหนึ่งถือบุหรี่ที่ถูกจุดไฟเอาไว้แล้ว เสียงดังแกร็กเมื่อสักครู่คงจะเป็นเสียงของไฟแช็กแน่
ซูย้าวก้าวเข้าไปข้างหน้า จึงได้สังเกตเห็นว่าห้องนี้เป็นโฮมเธียเตอร์
มันถูกจัดให้เหมือนกับโรงภาพยนตร์ในที่สาธารณะไม่มีผิดเพี้ยนเพียงแต่หรูหรากว่า ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งหรือจอขนาดยักษ์นั้น
ขณะที่เธอกำลังงุนงง จู่ๆดูเหมือนข้อมือของเธอจะถูกบางสิ่งเข้ามากำเอาไว้ และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตนเองถูกลากไปเสียจนโลกหมุน ไฟในห้องดับลงทันใด ซูย้าวยังไม่ทันที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ถูกดวงดาวบนท้องฟ้าด้านบน ดึงดูดความสนใจเอาไว้
เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว อีกทั้งยังมีเอฟเฟคเคลื่อนที่ได้ด้วย เป็นท้องฟ้าจำลองที่เหมือนจริงมากๆ ดวงดาวดวงเล็กส่องแสงระยิบระยับ ทำให้คนดูรู้สึกตกตะลึงมากเลยทีเดียว
เธอตกตะลึงอยู่เล็กน้อยจนถึงขั้นที่ว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกทีร่างกายของเธอก็ถูกลี่เฉินซีกดเอาไว้ที่กำแพง ร่างสูงใหญ่ของเขาและใบหน้าอันหล่อเหลาได้รูปนั้นเข้ามาใกล้ ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดและดวงดาวประกาย ใบหน้าอันดูมีพลังดึงดูดนั้นดุจเทพเจ้าที่หล่อเหลาและบีบเคล้นใจคน
“คุณคิดว่าบรรยากาศแบบนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพังจะทำอะไรกันนะ?” เขายื่นหน้ามาทางเธอ ลมหายใจ แผ่วเบาน้ำเสียงทุ้มต่ำ คำพูดแต่ละคำช่างชัดเจนและแผ่เข้าไปในหูของเธอ มันช่างร้อนแรงมีเสน่ห์เย้ายวนมาก
วินาทีนี้ ซูย้าวได้แต่ตกใจ เธอตะลึงไปชั่วครู่ หลังจากได้สติกลับคืนมาเธอก็พยายามดิ้นรนแต่มันก็ไร้ประโยชน์ เธอทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “คุณลี่ค่ะ คุณจะทำตัวอันธพาลอย่างนี้อีกแล้วเหรอ?”
ดวงตาของชายหนุ่มมืดมนลงทันใด คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งบีบคางของเธอขึ้นมาบังคับให้สบตากับเขา มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า “กับคุณ ผมไม่นับว่าทำตัวอันธพาลเหรอนะ เพราะว่าคุณเป็นของผมอยู่แล้ว”