ลี่เฉินซีและเจียงจี้เซิงปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ นับแต่ที่พวกเขาก้าวเข้ามา ทุกคนในห้องก็เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มหล่นลงพื้น
เจียงจี้เซิงมองไปรอบๆห้อง ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็จ้องไปยังผู้ชายหน้าด้านซึ่งกดอยู่บนร่างของเซียวไน่คนนั้น เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะก้าวขาออกไปพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “มานี่”
เสียงที่เย็นเยือกราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง เพียงแค่คำสองคำแต่ก็คลุมเครือบอกไม่ถูก ทำให้ทุกคนบนโซฟาเหล่านั้นงุนงง
ห้าวจื่อสังเกตเห็นได้ว่าเจียงจี้เซิงมองมาทางตน เขาจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก “แกพูดกับใคร?”
เจียงจี้เซิงเป็นคนค่อนข้างจะเงียบๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ในวงการธุรกิจเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่ ดังนั้นคนที่เคยเจอรู้จักเขาจึงมีไม่มาก
ส่วนบรรดาสาวๆที่อยู่ ณ ที่นี้ หรือแม้แต่พวกคุณชายสามที่เป็นไก่อ่อน แน่นอนว่าคงเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ เจียงจี้เซิงปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้แนะนำตัว การที่ทุกคนมึนงงก็เป็นเรื่องปกติ
ห้าวจื่อที่ไม่ได้นิสัยดีนัก เมื่อพบว่าคุณชายสามถูกเตะ อีกทั้งเรื่องดีๆก็ถูกขัดจังหวะเข้า จึงรู้สึกอึดอัดใจโมโห เขาปล่อยเซียวไน่ออกโดยไม่ลังเล ลุกขึ้นตะโกนด่าใส่เจียงจี้เซิงว่า “แม่งเอ๊ย แกเป็น……”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเจียงจี้เซิงเตะเข้าให้อีกครั้งที่ท้องน้อยอย่างรุนแรง ร่างสูงใหญ่ราว180เซนติเมตรของเขากระเด็นกระดอนชนออกไปหลายเมตร จากนั้นกระทบกับโต๊ะกองรวมกันกับจานผลไม้และขวดเหล้าเบียร์ต่างๆอย่างไม่เป็นท่า
เจียงจี้เซิงไม่ได้มองห้าวจื่อแม้แต่น้อย ดวงตาลึกล้ำของเขามองไปยังเซียวไน่ที่ร่างกายสั่นคลอน หดตัวกลมอยู่บนโซฟา ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปยังเธอ “มานี่สิ”
เซียวไน่เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าเศร้าหมองเต็มไปด้วยน้ำตา มองไปแล้วช่างน่าสงสารแต่ก็ลังเลเล็กน้อย
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจียงจี้เซิงไม่ค่อยดีนัก
หลายปีนี้มีเรื่องเล็กน้อยน้อยใหญ่มากมายเกิดขึ้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีออกมาจากข้างกายเข้าได้ เธอแอบคลอดลูกเพียงลำพัง ตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่เพียงลำพัง แต่คิดไม่ถึงว่าวินาทีนี้จะต้องมาเจอกันอีก……
มันช่างเป็นเรื่องน่าอายมากจริงๆ
ซูย้าวก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกย่ำแย่ เธอกัดริมฝีปากของตนเอง หลังจากลังเลอยู่สักพักในที่สุดก็ตัดสินใจหลีกเลี่ยงชายหนุ่ม และ รีบลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตนเองวิ่งออกไปนอกห้องด้วยความรวดเร็ว
เจียงจี้เซิงยังคงตกตะลึงอยู่ที่เดิม สายตาของเขาก็มองไปทางลี่เฉินซีพูดขึ้นว่า “ช่วยจัดการที่นี่ให้หน่อย!” จากนั้นเขาก็ก้าวขาวิ่งออกไปทางด้านนอก
เมื่อพวกเขาทั้งสองคนออกไปแล้ว ทางด้านของลี่เฉินซีเองก็จับจ้องไปยังซูย้าวที่อยู่บนโซฟา หลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจถอดชุดสูทของตนเองออกแล้วคลุมไปบนร่างกายของเธอ ดวงตาอันเคร่งขรึมมองไปทางคุณชายสาม ที่กำลังจะพยายามปีนขึ้นมาจากพื้น
เขาก้าวขาเข้าไป คุณชายสามที่กำลังลุกขึ้นยืนกลับถูกลี่เฉินซีเตะเข้าให้อย่างจังอีกครั้งหนึ่งจนล้มลงไปนอนที่พื้น
คุณชายสามเจ็บเสียจนไม่อาจร้องออกมาได้ แต่ปากของเขาก็ยังคงด่าทอว่า “แม่งเอ๊ยใครวะ? แค่เพราะผู้หญิงไม่กี่คน แกบ้าไปแล้วรึไง กล้ามาทำให้ฉันขุ่นเคืองใจ……”
เขาตะโกนด่าจากนั้นเงยหน้าขึ้น “แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? แกเคยได้ยินกรุ๊ปชูซื่อ?”
ลี่เฉินซีเองก็ค่อนข้างเป็นคนรักสงบ อีกทั้งในเรื่องธุรกิจเขาไม่ได้มีความร่วมมือกับกรุ๊ปชูซื่อเท่าไรนัก การที่คุณชายสามของตระกูลชูผู้เอาแต่ใจตนเอง วันๆเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ทำงานทำการ จึงไม่รู้จักลี่เฉินซีก็เป็นเรื่องเข้าใจได้
“แกทำแบบนี้กับฉัน แกคิดว่าตระกูลชูของเราจะปล่อยแกเอาไว้เหรอ? แม่งเอ๊ย ทำแบบนี้เพราะเพียงแค่ผู้หญิงคิดว่าตนเอง เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิงเหมือนในละครหรือไง! ถุย!”
ปากของคุณชายสามยังคงบ่นออกมาไม่หยุด คำพูดสกปรกต่างๆถูกเขาพูดออกมาจนหมด
ส่วนคนที่อยู่บนโซฟาเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงผมสั้นเธอมองออกตั้งแต่แรกว่าคือลี่เฉินซีก็ตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เธออยากจะเข้าไปตักเตือนคุณชายสาม เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไรนักจึงได้แต่ถอดใจ
ลี่เฉินซีฟังเขาอวดเบ่งอย่างเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะก้มตัวลงมาอย่างมีความหมาย ร่างสูงใหญ่ของเขาก้มลงมายังพื้นเล็กน้อย มองไปที่ท่าทางอันไม่เป็นท่าของผู้ชายคนนั้น ก่อนที่ริมฝีปากจะเผยอขึ้น “ตระกูลชูฉันเคยได้ยินมาก่อน ส่วนคุณชายสามคนคนนี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง”
“เหอะๆ แม่งสิ! ในเมื่อเคย ได้ยินเรื่องของฉันมาก่อนยังกล้าลงไม้ลงมือกับฉันอีกเหรอ? ไอ้ชิบหาย! แกไปกินดีหมีมาหรือไง……”
เขายังไม่ทันพูดจบ จู่ๆก็ร้องเสียงดัง “อ้าก” ออกมาอย่างโหยหวนเข้าแทนที่
ลี่เฉินซียกขาขึ้นถีบอย่างรุนแรง เตะเข้าบริเวณคางของชายหนุ่ม คุณชายสามพยายามลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้งหนึ่ง มุมปากของเขาแตกและมีเลือดไหลออกมาไม่น้อย
“แล้วแกเคยได้ยินลี่ซื่อกรุ๊ปไหม? เคยได้ยินคนที่ชื่อลี่เฉินซีรึเปล่า?” เขาพูดออกมาเบาๆ พลางจัดแขนเสื้อและคอปก ติดกระดุมให้เรียบร้อยเดินเข้ามาหาคุณชายสาม
คุณชายสามชะงักลง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าอันเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของลี่เฉินซีจากนั้นหันไปมองดูผู้หญิงผมสั้นที่ยืนอยู่ด้านหลัง เธอพยักหน้าอย่างต่อเนื่องจึงทำให้เขาแน่ใจว่านี่คือลี่เฉินซีแน่ๆ
ดวงตาอันประหลาดใจของเขาหรี่ลง วินาทีนั้นใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ก่อนจะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “แก แก แกคือ……แกคือคุณชายลี่?”
ลี่เฉินซีมองดูท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนสติกำลังหลุดลอยอย่างหวาดกลัว สีหน้าของเขายังคงดูเย็นชาไม่แยแส ไม่มีท่าทีใดๆทั้งสิ้น กลับใช้นิ้วชี้ไปทางซูย้าวถามว่า “รู้ไหมว่าเธอเป็นใคร?”
ท่าทางอันตกตะลึงของคุณชายสาม เห็นได้ชัดว่ามากมายทีเดียว ดวงตาหวาดกลัวนั้นเบิกกว้างก่อนจะพูดออกมาด้วยลมหายใจติดขัดว่า “เธอคือใคร……?”
“ผู้หญิงของ” ฉันลี่เฉินซีพูดออกมาเบาดุจสายน้ำที่ไหลผ่านใบหูของทุกคนในที่แห่งนั้นพร้อมกับความตกตะลึง ก่อนที่เขาจะพูดเสริมว่า “คุณผู้หญิงลี่ในอนาคต”
บรรยากาศดูเหมือนจะควบแน่นขึ้นมาทันใด ภายในห้องนั้นเงียบลงยิ่งกว่าเดิม
ในบรรยากาศที่เงียบสงัด มันดูแปลกประหลาด เข้มงวดเล็กน้อย ทั้งเหนียวแน่นและกระจายไปทั่วแต่มองไม่เห็น แทรกซึมไปยังผู้คน
ลี่เฉินซีเหล่มองผู้ชายคนนั้นจากมุมสูง ดวงตาค่อยๆหรี่ลงเป็นเส้นตรงอีกครั้งแล้วพูดว่า “ดังนั้นแกกล้าดียังไงมาแตะต้องเธอ……”
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ตั้งใจลากเสียงยาว ส่วนคุณชายสามตอนนี้สีหน้าดูตกตะลึง จู่ๆเขาก็ตอบสนองด้วยการคุกเข่าคลานเข้าไปหาลี่เฉินซีโดยไม่รู้ตัวแล้วก้มหัวพูดว่า “ผมผิดไปแล้วครับ ผมมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ผมตาบอด คุณชายลี่ ผมผิดไปแล้วจริงๆ!”
คุณชายสามแห่งตระกูลชู เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาล การที่เขาทำเรื่องใดๆจึงมักจะเอาแต่ ความสุขใส่ตัว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ก่อเรื่องไม่ดีขึ้นมากมาย เขาทำตามอำเภอใจตลอด แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้เขาก็ได้สูญสิ้นสติไป
นั่นเป็นเพราะชูซื่อไม่อาจสู้ลี่ซื่อได้ เรื่องในวันนี้อาจทำให้ตระกูลชูทั้งตระกูลต้องจบสิ้นลง หากเรื่องนี้ไปถึงหูคุณนายท่าน เกรงว่าตัวเขาเองก็คงจะแย่แน่!
ดังนั้นตัวเขาที่เป็นนิสัยหยิ่งยโสมีแต่คนเอาอกเอาใจ จึงยอมสละศักดิ์ศรีและใบหน้าของตนก้มลงที่พื้นอย่างสิ้นหวังพร้อมกล่าวคำขอโทษต่างๆนานาเพื่อยอมรับผิด
ลี่เฉินซีไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย กลับก้าวเท้าไปที่โซฟาแล้วดึงซูย้าวขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ก้มหน้าลงกุมมือเธอเอาไว้พูดว่า “มันแตะต้องคุณรึเปล่า?”
เธอส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล ผู้ชายคนนั้นก็ถามขึ้นอีกว่า “เขาทำร้ายคุณหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ แต่ว่า……” น้ำเสียงของซูย้าวกระอึกกระอัก เธอสังเกตไปเห็นคุณชายสามคุกเข่าอยู่บนพื้นพยายามออดอ้อนขอความเห็นใจ แตกต่างไปกับท่าทางเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับดิน เธอจึงสูดหายใจเข้าและคิดว่าจะให้อภัยเขาจึงได้พูดว่า “ไม่มีอะไรค่ะ”
ดวงตาอันลึกล้ำของลี่เฉินซีมองไปยังเธอ สังเกตเห็นสิ่งที่เธอจะพูดแต่หยุดลง ริมฝีปากเขากระตุกและยิ้มออกมาอย่างเย็นชาว่า “เขาอยากจะลงมือทำร้ายคุณ แต่คุณหลบได้ใช่ไหมล่ะ!”
เมื่อสิ้นเสียงลง เขาเองไม่รอให้ซูย้าวตอบอะไรกลับมาก็ได้กระทืบไปที่คุณชายสามอย่างแรงทำให้คุณชายสามเจ็บเสียจนร้องโอดโอยไปบนพื้น
ซูย้าวตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเขาจะละเอียดอ่อนเพียงนี้ แม้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาก็เดาออก……
ต่อจากนั้น ด้านนอกก็มีบอดี้การ์ดสวมชุดสูทเข้ามาสิบกว่าคน พยุงคุณชายสามขึ้นมา โยนออกไปบริเวณที่กว้างและจัดการลงไม้ลงมือ ทุบตี
ฟังเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่ม ด้านของห้าวจื่อเองก็ตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูก เขากลัวจนถอยหลังไปทีละก้าว พยายามปลีกตัวออกไป แต่ดวงตาของลี่เฉินซีเหลือบไปเห็นและจับเขาได้ จึงพูดเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ แกเองก็แตะต้องคนที่ไม่ควรแตะต้องไม่ใช่รึไง?”
สีหน้าของห้าวจื่อชะงักลง ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา บอดี้การ์ดเหล่านั้นก็เดินตรงมาทางเขาไม่พูดไม่จาลงมือทันที….