ซุปไก่นั้นมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ เมื่อซูย้าวดื่มมันเข้าไปก็เกิดอาการแพ้
และอาการแพ้นั้นหลังจากที่เธอวิ่งออกไปจากโรงพยาบาล โบกรถแท็กซี่คันหนึ่งออกไปก็เริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เธอพยายามควบคุมตนเองให้มีสติมากที่สุด พยายามพูดกับคนขับรถถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากนั้นปฏิกิริยาต่างๆที่แสนทรมานก็ตามมา
ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลประมาณสี่สิบกว่านาทีเห็นจะได้ รถแท็กซี่ก็ได้มาถึงจุดหมายซึ่งในตอนนี้ซูย้าวสีหน้าขาวซีดหายใจลำบาก แม้แต่คนขับรถแท็กซี่ก็ยังตกใจ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเธอจะส่งเธอไปโรงพยาบาล แต่เธอก็รั้งเขาเอาไว้ เมื่อถึงสถานที่จุดหมายเธอก็รีบลงจากรถไปอย่างไม่รีรอ
เนื่องจากสถานที่ที่เธอไปนั้นคือคฤหาสน์ของโม่หว่านหว่าน ดังนั้นเมื่อรถแท็กซี่ขับมาหยุดอยู่หน้าปากประตู โม่หว่านหว่านก็สังเกตเห็นได้รีบวิ่งออกมา
ตอนนี้ลมหายใจของซูย้าวไม่ปกติแล้ว ปฏิกิริยาต่างๆเพิ่มพูนมากขึ้นทำให้เธอรู้สึกว่ามีใครมาบีบคอจนแทบตาย แต่เธอก็พยายามจับมือโม่หว่านหว่านพูดว่า “ค่ารถ ช่วย ช่วยฉัน……”
คนขับรถแท็กซี่ไม่รอให้เธอพูดจนจบ เขารีบวิ่งลงจากรถแล้วพูดว่า “ผมไม่เอาค่ารถก็ได้ แต่สถานการณ์ของคุณตอนนี้ควรจะไปโรงพยาบาลไม่ใช่หรือไง?”
โม่หว่านหว่านมองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เธอไม่สนใจอะไรและรีบกำชับให้แม่บ้านชำระค่ารถแท็กซี่ จากนั้นพยุงซูย้าวเข้าไปในบ้าน เธอพยุงหล่อนนั่งลงและรีบโทรศัพท์หาแพทย์ประจำตระกูล
“เธอกินอะไรเข้าไปอีกเนี่ย? ทำไมถึงออกอาการแพ้ขนาดนี้?” โม่หว่านหว่านรู้จักซูย้าวดี เมื่อเห็นสภาพเธอเช่นนี้ก็พอจะเดาออกได้ ดังนั้นเธอบ่นพลางไปค้นหายาแก้แพ้ในตู้ยาออกมาเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว
แพทย์ประจำตระกูลอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์เท่าไรนัก ดังนั้นจึงรีบมาถึงได้ภายในเวลาไม่กี่นาที หลังจากที่ทำการตรวจร่างกายแล้วก็รีบสั่งยาให้ตรงอาการเริ่มทำการรักษา
ในขณะเดียวกันด้านนอกคฤหาสน์ หวางอี้ที่นั่งอยู่ในรถมองไปด้วยสายตาจดจ่อถึงสถานการณ์ทุกอย่างในคฤหาสน์ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดว่า “เธอเดินทางมาที่บ้านคุณโม่ ตอนนี้แพทย์ประจำตระกูลมาถึงแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมากครับ”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งพูดอะไรออกมา แต่ดวงตาและสีหน้าของหวางอี้ค่อยๆลึกล้ำลงก่อนจะรีบตอบกลับว่า “ครับ ผมจะไปสืบเดี๋ยวนี้”
หลังวางสายลง หวางอี้ก็รีบขับรถออกไปจากที่แห่งนั้น
……
หลังจากการรักษาเป็นเวลาหลายชั่วโมงรวมถึงการให้น้ำเกลือ ในที่สุดอาการแพ้ของซูย้าวก็เริ่มผ่อนคลายและหยุดในที่สุด ชีวิตที่ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายของเธอก็ถูกดึงกลับมาอย่างปลอดภัย
เธอนอนอยู่บนเตียงแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ “เธอมันโง่จริง ไม่รู้หรือไงว่ามันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะ! ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไง?”
โม่หว่านหว่านพูดพลางเข้าไปทรุดตัวลงในอ้อมอกของเธอ น้ำตาไหลออกมาเป็นสายร่วงหล่นลง “เธอนี่มันจริงๆเลยนะ ไม่รู้ว่าตัวเองแพ้อะไรหรือไง? อยู่ๆไปกินอาหารซี้ซั้วได้ยังไง? เธอหิวขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะทำอาหารให้กิน ฉันจะทำอาหารอร่อยๆให้…..” เธอนั่งร้องร้องไห้และพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมา “ใช่สิ เธอไม่มีเงินหรือเปล่า? เดี๋ยวฉันให้เอง รอก่อนนะ……”
เธอพูดจบก็รีบลุกขึ้นจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ ซูย้าวฟังคำพูดของเธอเมื่อสักครู่แล้วรู้สึกตกตะลึงก่อนจะได้สติกลับคืนมา รีบรั้งเธอเอาไว้ว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้องจริงๆ”
โม่หว่านหว่านหยุดการกระทำของเธอลงแต่ก็ยังพูดว่า “งั้นเดี๋ยวฉันค่อยให้”
ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน ที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากจะให้ตัวเองเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก เพียงแค่อยากจะทดลองดูเท่านั้นว่าในซุปไก่มีสิ่งผิดปกติไปจริงหรือเปล่า
เมื่อเธอคิดได้ดังนั้นก็รีบกุมมือของโม่หว่านหว่านเอาไว้ดูเหมือนจะถามอะไรออกมา แต่ก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เธอทำท่าทางแบบนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
โม่หว่านหว่านมองเห็นท่าทางของเธอจึงยกมือขึ้นปาดน้ำตาพยายามสูดจมูกเข้าแล้วพูดว่า “เธอมีอะไรก็พูดออกมาสิ ทำอึ้งยึกยักอยู่ได้? ดูเหมือนฉันเป็นคนแปลกหน้าอย่างงั้นแหละ……”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูย้าวจึงไม่ครุ่นคิดอีกต่อไป เธอเพียงพูดออกมาว่า “ถ้าฉันล่วงละเมิดในคำพูดอะไรออกไปก็ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ คือว่าซุปไก่ที่เธอให้ร้านอาหารจีนทำมานั้นในวัตถุดิบมีอะไรประเภทถั่วใส่ลงไปหรือเปล่า?”
โม่หว่านหว่านชะงักลงทันได้แล้วรีบพูดว่า “เธอกินซุปไก่ถึงเป็นแบบนี้เหรอ? แล้วหมิงเอ๋อล่ะ? หมิงเอ๋อเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เธอเคยดูแลเด็กๆ เหล่านั้นมาอยู่สองปี ซึ่งพวกเขาแพ้อาหารอะไรบ้างเธอเป็นคนที่รู้ดีที่สุด
ซูย้าวเม้มริมฝีปากเธอก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่รู้จะตอบอย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้นโม่หว่านหว่านก็รู้ถึงคำตอบได้ทันที ความคิดของเธอผันผวนและประหลาดใจมาก “ให้ตายสิ หมิงเอ๋อก็แพ้อาหารเหมือนกันเหรอ? แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? หมิงเอ๋อเป็นอะไรมากมั้ย?”
“ไม่เป็นไรเท่าไหร่หรอก แพทย์เดินทางมาช่วยไว้ได้ทันเวลาเลยพ้นขีดอันตรายแล้ว” ซูย้าวตอบไปตามความจริง
ความกังวลใจของโม่หว่านหว่านจึงได้ปล่อยวางลงเล็กน้อย “ไม่สิ ซุปไก่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสิ่งที่ใส่ลงไปล้วนเป็นสมุนไพรจีนที่แพทย์สั่งจ่าย แล้วแม่ไก่ฉันก็ให้แม่บ้านเอาไปให้ภัตตาคารด้วยตัวเอง ไม่มีถั่วแม้แต่เม็ดเดียวแน่ๆ!”
เรื่องนี้โม่หว่านหว่านมั่นใจได้ เธอไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของซูย้าวและเด็กๆมาล้อเล่น ต่อให้อาจจะพลั้งพลาดไปบ้าง ก็ไม่เคยให้เกิดปัญหาใหญ่แบบนี้!
เมื่อได้ยินดังนั้นซูย้าวก็หลับตาลงอย่างแผ่วเบา ถ้ามันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่หว่านหว่าน เช่นนั้นเรื่องนี้คงจะซับซ้อนกว่าเดิมมาก
ดวงตาของเธอขยับเขยื้อนเล็กน้อย ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วหันไปทางโม่หว่านหว่านถามว่า “มีใครรู้ไหมว่าเธอทำซุปไก่นี้มาให้ฉัน?”
ตอนแรกโม่หว่านหว่านทำท่าทางตกใจก่อนจะครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ฉันกำชับกับแม่บ้านแล้ว และบอกกับทางภัตตาคารว่าจะทำไปให้เพื่อน จึงขอให้พวกเขาตั้งใจทำหน่อย……”
เป็นเช่นนี้จริงๆ!
ตอนนี้ซูย้าวเข้าใจแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการคาดเดาแต่ก็มั่นใจและน่าจะเป็นความจริงมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจทำแบบนี้
มีคนรู้ว่าโม่หว่านหว่านทำซุปไก่ให้กับเธอ ดังนั้นจึงตั้งใจจะใส่ถั่วลงไปในซุป วัตถุประสงค์นั้นก็เพื่อต้องการให้เธอถึงแก่ชีวิต
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตัวเธอจะไม่ได้ดื่มและนำไปให้ลูกๆที่โรงพยาบาล……
โม่หว่านหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างมองไปที่เธอแล้วกะพริบตารัว “มีคนต้องการจะใช้ฉันในการทำร้ายเธออย่างนั้นเหรอ? คนคนนั้นเป็นใครกัน?”
ซูย้าวมองไปที่เธออย่างนุ่มนวลแล้วยิ้มขึ้น คิดไม่ถึงว่าโม่หว่านหว่านก็ไม่ได้โง่นัก แต่การที่จะจับตัวคนร้ายก็ไม่ยาก เมื่อเธอครุ่นคิดดูอีกทีจึงได้เอ่ยถามว่า “เรื่องที่ฉันแพ้อาหารประเภทถั่วมีใครรู้บ้าง?”
“เรื่องนี้เหรอ……” โม่หว่านหว่านทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะยกมือขึ้นมานับนิ้ว “มีลี่เฉินซี เด็กๆ ฉัน โม่ไป่ แล้วก็ใครอีกนะ?”
“ซูหยวนรู้หรือเปล่า?” จู่ๆซูย้าวก็เอ่ยชื่อนี้ออกมา
โม่หว่านหว่านชะงักลงเล็กน้อย วินาทีต่อมาเธอก็รีบพยักหน้าตอบว่า “รู้สิ หล่อนรู้จักกับเธอตั้งแต่เล็กแล้วนะจะไม่รู้ได้ยังไง? ว่าแต่ ทำไมอยู่ๆถึงพูดชื่อหล่อนขึ้นมาล่ะ?”
อาจจะเป็นสัมผัสที่หกของผู้หญิงก็ได้?
บางทีนะ!
ท่ามกลางความเงียบงัน ซูย้าวมักจะรู้สึกว่าเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกี่ยวข้องกับซูหยวนที่เธอไม่มีอยู่ในความทรงจำเลย
ต้องขอบอกว่าในวันแต่งงานนั้น อู๋หยานเดินทางมาด้วยตนเองและเธอต้องการจะไล่หล่อนไป ดังนั้นจึงได้พูดออกมาว่าซูหยวนก็เท่านั้น ส่วนเรื่องราวที่จริงเป็นอย่างไร และหากว่าอู๋หยานในตอนนี้ก็คือซูหยวน แต่ที่จริงเรื่องนี้เธอก็ไม่มีหลักฐานและไม่แน่ใจนัก
ทว่าเธอกลับคาดเดาและมีลางสังหรณ์เช่นนั้น
เธอยกมือขึ้นพยายามนวดไปที่หัวคิ้ว ถ้าตอนนี้ตัวเธอเองไม่ได้ความจำเสื่อมก็คงจะดี เธอคงจะสามารถคาดเดาได้มากและแม่นยำกว่าตอนนี้ว่าอู๋หยานก็คือซูหยวนปลอมตัวมาหรือเปล่า
โม่หว่านหว่านมองเห็นเธอเป็นเช่นนั้นก็ถามขึ้นว่า “สังเกตเห็นอะไรอย่างงั้นเหรอ ซูหยวนเป็นอะไร หรือว่าเธอกลับมาแล้ว?”
เมื่อพูดจบก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับซูย้าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไปเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปตรวจสอบดู”
“ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องรีบ แต่ถ้าไปตรวจสอบได้ก็ดี เอาเป็นว่าลองตรวจสอบดูก่อนแล้วกัน” แม้ว่าในตอนนี้อาจจะเป็นเพียงการคาดเดาของซูย้าว แต่ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นข่มเหงและถูกกระทำอีกทั้งอาจเป็นอันตรายถึงลูกด้วย เธอจึงไม่อาจวางใจลงได้เลย
โม่หว่านหว่านพยักหน้าอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “โอเค เดี๋ยวฉันจะให้คนไปสืบมา”
ทั้งสองคนสนทนากันอยู่สักพัก เมื่อร่างกายของซูย้าวฟื้นฟูได้พอสมควรแล้ว ขวดน้ำเกลือก็แทบจะหมด จึงได้เตรียมตัวจะจากไป
แม้โม่หว่านหว่านอยากจะให้เธออยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ถึงอย่างไรเสียทั้งสองคนก็อาศัยอยู่ใกล้กันมาก บ้านของเธออยู่ติดกันเท่านั้นเอง เธอจึงได้เดินไปสวมเสื้อคลุมแล้วอุ้มลูกชายขึ้นมา ตั้งใจจะไปนั่งเล่นที่บ้านของซูย้าวอยู่เป็นเพื่อนเธอพูดคุยสักพัก ทั้งสองคนไม่ได้สนทนากันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
เมื่อทั้งสองกำลังเดินออกจากคฤหาสน์ ตรงลานบ้านสายตาของซูย้าวเหลือบไปเห็นคฤหาสน์หลังข้างๆที่มีชายหนุ่มและหญิงสาวเดินลงมาจากรถพอดี