ต้องยอมรับว่าคำพูดของเธอเพียงประโยคเบาๆ ชั่วครู่นี้ ทำให้ลี่เฉินซีชะงักลงไปได้จริง ขณะเดียวกันท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาเผยอยิ้มขึ้นดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมาบางอย่าง แต่จู่ๆ ซูย้าวก็พูดออกมาอีกประโยคหนึ่งซึ่งทำให้เขาเมื่อครู่ที่กำลังอารมณ์ดีกลับกลายเป็นยุ่งเหยิง
“ฉันอาจจะสั่นไหวและชอบคุณ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับความรักสักเท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะคะ?” เธอโอบคอเขาแล้วมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มดูอบอุ่นใจดีมีเสน่ห์
การกระทำของลี่เฉินซีหยุดลงในทันที เขาก้มหน้าลงมองเธอแล้วหรี่ตาถามว่า “อะไรนะ?”
แต่เธอกลับละสายตาไปจากเขาแล้วมองลงไปด้านล่างผ่านกล้ามเนื้อซิกแพ็กอันแข็งแรงของชายหนุ่ม นิ้วมือลากไปตามเส้นของกล้ามหน้าท้อง เธอมองไปด้วยสายตาชื่นชมและลึกซึ้ง “คุณสุดยอดมากจริงๆ ”
“ไม่เพียงแต่ทำให้ซูย้าวในอดีตรู้สึกหัวใจสั่นคลอน และก็ยังทำให้ฉันหวั่นไหวด้วย” เธอพูดออกมานั้นเป็นความจริง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ของเธอกะพริบขึ้นเล็กน้อยอย่างชัดเจน
ในดวงตาลึกล้ำของลี่เฉินซีมีความซับซ้อนขึ้นทันใด เขายกตัวขึ้นจึงทำให้ดึงตัวเธอลุกขึ้นมาในท่านั่ง การเปลี่ยนท่าทางนี้ทำให้ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากัน เขายังคงโอบกอดเธอไว้ไม่แยกออกจากกัน
เขาเริ่มเคลื่อนไหวต่อไปและขณะเดียวกันก็กระซิบถามว่า “พูดต่อไปสิ”
“การที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายแบบคุณ ถ้าฉันบอกว่าไม่เคยมีอารมณ์หรือสั่นไหวเลยแม้แต่น้อยก็คงจะเป็นการโกหกมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” เธอยิ้มขึ้นเล็กน้อย นิ้วมือซุกซนลากไปตามใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม “การที่ฉันจะชื่นชอบคุณมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าจะพูดถึงชีวิตการแต่งงานแล้วฉันกับคุณไม่เหมาะสมกันเลย”
ลี่เฉินซีได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็ราวกับมีหมอกเข้ามาปกคลุม ดวงตาหนักอึ้ง “หมายความว่าคุณกับเพ้ยส้าวหลี่เหมาะสมกันอย่างงั้นเหรอ?”
เธอไม่ตอบแต่อย่างใดกลับใช้รอยยิ้มเข้ามาแทนที่ อาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเขาทั้งรวดเร็วและเร่งรีบ จึงทำให้เธอคิดคำพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือเอามือโอบคอของเขาไว้ ปล่อยให้เขาออกแรงได้ตามใจชอบ
เนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยออกมา จากนั้นยืดตัวขึ้นผลักเธอกลับไปที่ตำแหน่งเดิม เขาพลิกตัวแล้วดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพูดถึงประโยคเมื่อสักครู่ว่า “คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“คุณกับฉันล้วนโตๆ กันแล้ว ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นทำอะไรบ้าง และเหล่านี้ก็หมายความว่าจะต้องแต่งงานกันอยู่ด้วยกันตลอดไป”
ลี่เฉินซีเข้าใจถึงความหมายคำพูดของเธอดวงตาอันงดงามดุจนกฟินิกซ์คู่นั้นลึกล้ำลงและพูดว่า “คุณอยากจะบอกผมว่า ให้หยุดตามตอแยคุณอย่างนั้นเหรอ?”
เธอยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่มันช่างยากเกินจะคาดเดา “ตามตอแยแล้วยังไงล่ะ? มันก็ไม่เกิดผลลัพธ์อะไรอยู่ดี ฉันแค่หวังว่าคุณจะไม่มาเสียเวลาและความรู้สึกกับฉันมากไปกว่านี้ หรือไม่ควรจะคาดหวังอะไร”
ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “หึๆ สรุปก็คือคุณต้องการจะขีดเส้นแบ่งกับผมให้ชัดเจนสินะ”
ก็คงทำนองนั้น
เธอคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่า โดยทั่วไปเธอก็ต้องการแบบนี้
เธอเพียงแค่อยากจะหาโอกาสดีๆ ที่เหมาะสมในการจัดระเบียบคำพูดของภาษา แต่ดูเหมือนว่าโอกาสในครั้งนี้จะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก
ใบหน้าอันเย็นชาของลี่เฉินซีดูมืดมนลง ตาลอยและสูดลมหายใจเข้าช้า “อืม ผมเข้าใจแล้ว”
เพียงประโยคนี้แค่ประโยคเดียว พูดอย่างตรงไปตรงมาและจบบทสนทนา
เขาเอนตัวลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ เมื่อเสียงน้ำไหลออกมา ซูย้าวจึงเพิ่งได้สติกลับคืนมาและอดไม่ได้ที่จะจับไปบริเวณหัวใจเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามอธิบายความตั้งใจของเธอแล้ว แต่ทำไมเมื่อเขาเข้าใจและตอบรับ หัวใจของเธอยังคงเจ็บปวดอย่างควบคุมไม่ได้แบบนี้นะ?
หลังจากที่ลี่เฉินซีออกมาจากห้องน้ำ ซูย้าวยังคงนอนอยู่บนเตียงเหมือนกับลูกแมวตัวเล็กๆ ที่คุมผ้าห่มเอาไว้
เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง ก่อนจะหันข้างลงนอนเอื้อมมือมาโอบเธอไว้ในอ้อมแขน บังคับให้เธอนอนบนแขนของเขาแทนหมอน “ทำตัวว่าง่ายหน่อย ผมแค่นอนกอดคุณเฉยๆ ”
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เขาก็หลับตาลงและพูดขึ้นอีกว่า “ส่วนเรื่องไร้สาระอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลัง”
แม้เป็นประโยคเดียวสั้นๆ ง่ายๆ แต่ดูเหมือนจะชี้ให้เธอเห็นว่าคำพูดทั้งหลายที่เธอพูดมาเมื่อสักครู่นั้นเขาไม่ได้สนใจมันเลย
ความรักเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ต่อให้มีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมสามารถปิดบังผู้คนได้อย่างเก่งกาจ หรือจะยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ แต่ความรักก็ยังคงแสดงออกมาทางสายตา ต่อให้ปิดตาเอาไว้ก็แสดงออกมาทางร่างกาย อาทิเช่นดวงตาคิ้วและการแสดงออกอื่นๆ
เธอไม่ได้กำลังโกหกใคร เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ
ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเขาไม่อยากจะไปคิดถึงมัน เนื่องจากว่าถ้าเธอไม่ยอมพูดต่อให้เขาบังคับอย่างไรก็ไร้ผล
ในทางกลับกัน หากเธอเกิดต่อต้านขึ้นก็คงไม่ดี
ซูย้าวถูกเขาบังคับให้อยู่ในอ้อมแขน รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นของชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิร่างกายของเขา หรือเพราะเธอรู้สึกอึดอัดขึ้นทุกที จึงทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม
เธอพยายามขยับแขนขาในอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็ขยับร่างเล็กๆ ไปมาบนเตียงใหญ่
การกระทำเหล่านี้ทำให้ลี่เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเธอ “เป็นอะไรครับนอนไม่หลับเหรอ?”
เธอพยักหน้าและหันศีรษะมาช้า ก่อนจะนำหน้าซุกที่ใต้หมอนทำให้เกิดเสียงอื้ออึ้งเล็กน้อย “ก็นิดหน่อยค่ะ……”
“ออกกำลังกายอีกสักหน่อย?” เมื่อพูดจบมือใหญ่ของเขาก็เข้ามาดึงเธอไป
ซูย้าวตกตะลึงและรีบสกัดกั้นเขาเอาไว้ “ไม่เอา ไม่ได้นะ!”
ศีรษะอันเล็กๆ ของเธอ เบียดเสียดไปมาในอ้อมกอดเขาเพื่อไม่ให้เขาจูบเธอ ก่อนจะกระซิบว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว……”
ที่จริงเขาเองก็รู้ดีว่าในวันนี้เธอเหนื่อยล้ามามาก วันนี้ทั้งสองคนทำมาถึงสองครั้งแล้วและก็ไม่อยากจะทรมานเธออีกต่อไปจึงโอบเธอเข้ามาด้วยความทะนุถนอมมืออันแข็งแกร่งของเขาลูบไปที่แขนของเธอ “แล้วทำไมนอนไม่หลับล่ะ?”
“ในกระเป๋าของฉันมีธูปหอมอยู่ คุณจุดให้ฉันหน่อยสิ มันช่วยทำให้นอนหลับง่ายได้” อยู่ๆ เธอก็พูดมันออกมา
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเข้าหากัน “เทียนอโรมาเหรอ?”
“ช่วยหน่อยสิฉันขี้เกียจขยับแล้ว” น้ำเสียงของเธอกระซิบออดอ้อนเหมือนเด็กๆ น่ารักเสียจนเขาทำอะไรไม่ถูก
เขายิ้มและจุมพิศไปที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ที่บนโต๊ะนั้นในกระเป๋าของเธอมีกล่องธูปกลิ่นอโรมาอยู่ จากนั้นเขาจึงเปิดมันออกและจุดไฟดัง “แฉก!” ก่อนจะว่าลงไปที่โต๊ะข้างเตียง
“รอให้กลับไปที่โน่นแล้วผมจะหาแพทย์แผนจีนมารักษาให้คุณ” เขาพูดเบาๆ และหันหลังกลับมาโอบเธออีกครั้ง
เขาสัมผัสไปที่ศีรษะเล็กๆ ของเธอด้วยค่าทางทะนุถนอมแล้วพูดว่า “บางทีถ้าผมนอนกอดคุณแบบนี้ทุกวันคุณอาจจะ หายจากโรคนอนไม่หลับก็ได้นะ”
ซูย้าวรู้สึกถึงความเยือกเย็น เธอพยายามออกมาจากอ้อมแขนของเขา ด้วยความประหลาดใจ ธูปหอมอโรม่านั้นถูกจุดขึ้น เมื่อเธอหันหลังกลับไป ก็จัดการพับผ้าห่มให้เป็นผืนยาว “ฉันจะนอนตรงนี้ คุณอย่ามาเบียดฉันนะ!”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ร่างอันสูงใหญ่กดทับไปที่ร่างของเธออีกครั้ง…..
คืนนี้เขานอนหลับสบายทั้งคืนโดยไม่ได้ฝันอะไรเลย เช้าวันต่อมา นาฬิกาชีวิตของเขาก็เริ่มปลุกขึ้นเป็นเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า
เขาขยับร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเนื่องจากเขามองไปยังแขนทั้งสองข้างของตนเดิมที่มันควรจะมีอาการเหน็บชาแบบไม่รู้ตัวอยู่ แต่นี่ไม่มี มันเกิดอะไรขึ้น?
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงยกผ้าห่มผืนบางขึ้นมาดู จากนั้น ดวงตาดูดนกฟินิกซ์ของเขาก็ลึกล้ำลงไป
ข้างกายเขาไม่มีใครแม้แต่คนเดียว
มีเพียงแค่หมอนใบหนึ่งเท่านั้น
นั่นหมายความว่า เขานอนโอบหมอนหลับสนิททั้งคืนอย่างงั้นหรือไง?
ที่จริงแล้วตอนนอนเขาค่อนข้างที่จะตื่นตัวอยู่เสมอแม้ตอนหลับสนิท เพียงแค่ข้างกายของเขาเกิดขยับเขยื้อนขึ้นมา เขาก็จะตื่นทันที แต่เรื่องเมื่อคืนไปยังไงกันแน่นะ?
ลี่เฉินซียกมือขึ้นแล้วนวดไปที่หัวคิ้วอย่างสงสัย สายตาเหลือบไปเห็นกับธูปหอมที่เมื่อคืนนี้ถูกจุดเอาไว้จนดับลงแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้?
นอกจากนี้แล้วเขาก็คิดหา เหตุผลอื่นไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาอย่างเรียบง่าย เขาก็หยิบชุดสูทขึ้นมาสวม ขณะที่กำลังเดินไปห้องอาหาร เจียงจี้เซิงและเซียวไน่กำลังรับประทานอาหารกัน เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นสายตาของทั้งคู่ก็จับจ้องกันอย่างมิได้คาดคิด
เจียงจี้เซิงมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ “คุณอยู่บ้านอย่างงั้นเหรอ เมื่อตอนเช้ามืดไม่ได้ไปกับเธอหรือไง?”
ลี่เฉินซีชะงักลง “อะไรนะ?”
เขาคิดว่าซูย้าวตื่นก่อนเขาจากนั้นลงมากินข้าว…..
เจียงจี้เซิงวางตะเกียบของตนเองลงและหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดพูดว่า “ประมาณตีห้าของวันนี้ พ่อบ้านบอกว่าคุณอานออกไปด้านนอก ผมคิดว่าพวกคุณไปด้วยกันเสียอีก……”
หลังจากที่ลี่เฉินซีรู้สึกตัวขึ้นมา ผ่านไปสักพักเขาก็ได้หัวเราะเยาะเย้ยตนเองผ่านริมฝีปากอันเรียวยาว มิน่าละเมื่อคืนนี้เธอมักบอกกับเขาว่าเธอนอนไม่หลับและต้องจุดเทียนหอมอโรมา ที่จริงแล้วเธอต้องการจะทำให้เขาหลับและปลีกตัวไป!