“แต่ว่า ตอนนี้ความทรงจำของคุณก็กลับมาแล้ว เรื่องพวกนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วใช้ไหม?”
กว่าสองปีที่ผ่านมา เขาได้อธิบายกับเธอไปแล้ว ทั้งเรื่องพินัยกรรมของคุณย่า รวมถึงงานแต่งงานที่เขาต้องเข้าร่วมเป็นการส่วนตัว
ซูย้าวชะงักไปชั่วขณะ เธอเริ่มคล้อยตามเขาเล็กน้อย แต่ก็เพียงครึ่งนาทีเท่านั้น หญิงสาวรีบดึงสติตัวเองกลับมา ก่อนจะปัดมือหนาของชายหนุ่มออกไป จากนั้นก็ขยับถอยไปสองสามก้าว แล้วกะพริบตาเบา ๆ ด้วยความประหม่า “ไม่ว่าตอนนี้คุณจะพูดอย่างไร คุณก็ยังรังเกียจฉันอยู่ดี เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!”
หญิงสาวยอมรับว่าตอนนี้ความทรงจำของเธอยังกลับคืนมาไม่หมด มีเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำจากภาพในฝันเท่านั้น เธอจะไปโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นได้อย่างไร
พอพูดออกมาแบบนี้ ก็ยิ่งขายหน้าตัวเองเข้าไปอีก ดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย?!
พอพูดจบ เธอก็หรี่ตาลง ก่อนจะทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “คุณไปเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ!”
จากนั้นเธอก็หันหลังกลับ พร้อมกับก้าวไปข้างหน้า
แต่ในใจก็ยังกลัวว่าลี่เฉินซีจะตามมาพูดอะไรกับเธออีก บังเอิญกับมีรถแท็กซี่ขับผ่านพอดี หญิงสาวจึงยื่นมือออกไปเรียก แล้วก็ขึ้นรถแล้วจากไปทันที
แต่เพราะความคิดของหญิงสาวยังล่องลอยและไร้จุดหมาย เธอจึงให้คนขับรถขับวนรอบเมืองอยู่สองสามรอบ สุดท้ายก็มาจอดอยู่ที่ริมถนนของที่ไหนสักแห่ง
หลังจากลงรถ เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ตัวเธอนั้นถือเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากคนหนึ่ง ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้โกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น? แถมยังเป็นการโกรธโดยอิงจากเศษเสี้ยวภาพในความฝันด้วย
ถ้าหากเขารู้เรื่องนี้ เขาคงจะไม่….
เธอสั่นหัวตัวเองรัว ๆ เพราะอยากให้เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ออกไปจากหัวให้หมด ทันใดนั้นหญิงสาวก็บังเอิญหันไปเห็นร้านกาแฟริมถนนร้านหนึ่ง เธอจึงเดินเข้าไป
ซูย้าวสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว และเนื่องจากเธอไม่อยากหยุดอยู่ที่นี่ จึงบอกกับพนักงานว่าขอสั่งกลับบ้าน จากนั้นก็เดินถือแก้วกาแฟออกมา พลางจิบไปเดินไป
มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายอยู่ตามถนน ทั้งหมดเต็มไปด้วยความแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังมีร้านของแบรนด์ต่าง ๆ อีกอีกด้วย ซูย้าวไม่มีอารมณ์ที่จะเดินเข้าไปเลือกซื้อของ แต่เธอก็เพิ่งจะออกมาจากอานเจียเย้น ถ้าเดินทางกลับจีนเลย ก็กลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่พอใจ เผื่อมันจะไปแทงใจเขาอีก เดี๋ยวจะแย่เอา
เพราะงั้น ก็ทำเป็นแกล้ง ๆ ไปก็แล้วกัน
หญิงสาวพยายามฝืนตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด เธอจิบกาแฟไปพลางขณะที่เดินเตร่จากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่งด้วยท่าทีที่แสร้งทำเป็นเกียจคร้าน
ปากก็บอกว่าเดินเตร่ไปเรื่อย แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พอเห็นเครื่องประดับและเสื้อผ้าที่ละลานตามากมาย มีหรือที่เธอจะไม่หวั่นไหว
ขณะที่เธอเลือกซื้อของแต่ละชิ้น หญิงสาวก็สังเกตได้ไม่ยากว่า ร้านค้าและแบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงศูนย์การค้าทั้งหลาย เกือบทั้งหมดล้วนเป็นของ Double Ace กรุ๊ป
Double Ace กรุ๊ปยิ่งใหญ่และเติบโตถึงขนาดนี้แล้วเหรอ?
ในความทรงจำของเธอ เมื่อก่อน Double Ace กรุ๊ปยังเป็นแค่บริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่เลย ทำไมในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน Double Ace กรุ๊ปถึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ แถมยังเป็นการพลิกกลับขึ้นมาก้าวหน้าแบบฉุดไม่อยู่อีกด้วย หรือว่า….
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของซูย้าว แต่เธอก็ยังไม่ทันได้ตรวจสอบอะไรมาก เพราะมันก็เป็นเพียงข้อสงสัยเล็ก ๆ ของเธอเท่านั้น อีกอย่างที่แห่งนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของอานเจียเย้นด้วย เพราะงั้น มันคงจะดีกว่า ถ้าเธอจะจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยเร็วที่สุด
หญิงสาวหอบเอาความคิดเหล่านั้นไปพร้อมกับการเดินเลือกซื้อของอยู่สักพัก เธอซื้อกลับมาทั้งหมดก็ไม่น้อย เนื่องจากต้องไปขึ้นเครื่องด้วย ตอนนี้หญิงสาวเลยยืนอยู่ริมถนนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และใบเล็กอย่างละใบ เพื่อรอรถแท็กซี่ไปยังสนามบิน
เธอรอแล้วรออีก แต่รถแท็กซี่ก็ยังไม่มาสักที กลับกลายเป็นลี่เฉินซีที่โผล่มาแทน
“ดื่มกาแฟเยอะไปไม่ดีนะ นี่เป็นแก้วที่สองแล้วใช่ไหม?” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นยังดูเป็นธรรมชาติอยู่เสมอ รวมถึงความน่าหลงใหลและน่าดึงดูดเองก็ไม่เคยลดลงเลยเช่นกัน
ร่างสูงของชายหนุ่มมองเห็นได้แต่ไกล ในมือถือแก้วอะไรบางอย่างอยู่ พอเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ชายหนุ่มก็ดึงแก้วกาแฟในมือเธอออก พร้อมกับยัดแก้วอีกใบใส่มือเธอแทน “ดื่มนี่สิ”
ซูย้าวชะงักไปด้วยความประหลาดใจ เธอมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งสับสนและประหลาดใจ “คุณจะตื๊อไม่เลิกจริง ๆ เหรอ? ฉันไม่ใช่บอกไปแล้วรึไง? ว่าตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ!”
“อืม” เขารับคำเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะเหลือบตามองนาฬิกาบนข้อมือ “ประโยคเมื่อครู่ที่คุณพูดคือเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ที่ถือเป็นสองชั่วโมงถัดมา”
ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนั้นที่ซูย้าวบอกไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ก็ไม่อยาก
ซูย้าวถอนหายใจยาว ๆ อย่างหมดคำจะพูด “สรุปแล้วคุณต้องการอะไร?” มาตามฉันแบบนี้ ไม่น่าเบื่อรึไง?
ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม นัยน์ตาลึกลับ “ไม่น่าเบื่อหรอก ดูคุณเดินซื้อของ สนุกดี”
“คุณ…..” หญิงสาวรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “แล้วคุณอู๋ล่ะ? พวกคุณไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันเหรอ? หรือว่าพวกคุณแค่บังเอิญผ่านมาที่นี่พอดี?”
ลี่เฉินซีจ้องไปที่เธอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง “คุณคิดว่าเพราะผมกับหล่อนผ่านมาที่นี่ ผมเลยมาหาคุณงั้นเหรอ?”
ซูย้าวก็พยักหน้ายอมรับแต่โดยดี “อืม”
ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?
จะให้เธอหลงตัวเองคิดว่าเขามาหาเธอเหรอ?
อย่างแรก คือเธอไม่เชื่อว่าความรู้สึกที่ลี่เฉินซีมีต่อเธอนั้นเป็นเรื่องจริง แล้วก็ไม่เชื่อด้วยว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่เปลี่ยนความรู้สึกตัวเองได้ จากเศษเสี้ยวของภาพในความฝัน เธอเห็นชัดเลยว่าเขาทั้งรังเกียจและรำคาญในตัวเธอมากแค่ไหน เขาไม่แยแสอะไรเธอเลยสักนิด
อย่างที่สอง คือเรื่องที่เขาพาอู๋หยานเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมา หากเขาแคร์ความรู้สึกเธอจริง ๆ ในตอนที่เธอออกจากหลิ่งโจว ทำไมเขาถึงไม่ตามเธอมาตั้งแต่ต้นล่ะ
สรุปที่ซูย้าวคาดเดามาทั้งหมด เธอก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี
เธอไม่ใช่เด็กสามขวบ ที่จะไร้เดียงสาเชื่อเรื่องโกหกเพื่อปลอบใจอย่างรักแรกพบ หรือความซื่อสัตย์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรแบบนั้น
ลี่เฉินซีมองสายตาเหยียดหยามและไม่แยแสในแววตาของเธอ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มโยนกาแฟที่ยังเหลืออยู่ครึ่งแก้วในมือทิ้งลงถังขยะ พร้อมกับหันกลับมาตอบว่า “ไม่ใช่แบบนั้น ผมมาที่นี่เพื่อมารับคุณโดยเฉพาะ”
“ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มา เพราะเดาว่าคุณยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ ผมแค่ไม่อยากให้มีอะไรมากระทบคุณก็เท่านั้น” เขาไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายต่อ “ส่วนเรื่องคุณอู๋ ก็ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด มันมีเหตุผลอื่นอยู่”
ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนจะก้าวเข้าไปกุมมือหญิงสาว “ส่วนเนื้อหาคืออะไรผมยังไม่เล่าให้คุณฟังในตอนนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรระหว่างผมกับเธอก็บริสุทธิ์ เราไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกันอยู่แล้ว”
ซูย้าวรีบดึงมือตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว หมายจะหนีออกไปจากจุดนี้ แต่กลับถูกชายหนุ่มรั้งไว้ พร้อมกับดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง
ร่างสูงของลี่เฉินซีค่อย ๆ โน้มตัวลงมา ใบหน้าหล่อเหลาค่อย ๆ เข้าใกล้แก้มนวลของหญิงสาว “เอาแต่หลบหน้าผมแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
“อะไรดีไม่ดี!” ซูย้าวถูกเขาไล่ต้อนจนหมดหนทาง ถ้าเธอปฏิเสธหรือต่อต้านก็มีแต่จะยิ่งแย่ลง “คุณอย่าเอาแต่เกาะติดฉันแบบนี้ได้ไหม ต่อให้คุณไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณอู๋ คุณก็อย่ามากวนฉันได้รึเปล่า!”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ได้สนใจท่าทีต่อต้านของเธอเลยสักนิด เขายังจงใจกระชับเธอเข้ามาในอ้อมแขนให้แน่นกว่าเดิมอีก “ไม่ได้เจอแค่ไม่กี่วัน ทำไมถึงกลับมาเป็นแบบเดิมอีกแล้วนะ?”
ดูท่าแล้ว การปล่อยเธอทิ้งไว้ ดูเป็นอะไรที่โง่มากจริง ๆ
ครั้งหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะต้องให้เธออยู่ข้างกายของเขาตลอดเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นในหัวของ “เจ้านกกระจอกเทศตัวน้อย” นี้ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจริง ๆ
ซูย้าวเองก็โมโหกับความหน้าด้านหน้าทนของชายหนุ่มจนแทบทนไม่ไหว เธออยากจะผลักเขาออกไป ให้เขาหายไปต่อหน้าต่อตาเธอเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟัง หญิงสาวจึงทำได้เพียงหยุดอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างจนปัญญา พร้อมกับเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ลี่เฉินซี คุณคงไม่คิดว่าการที่คุณมาตามตื๊อไม่เลิกแบบนี้ ฉันจะให้อภัยคุณหรอกนะ?”
“ผมเคยร้องขอการให้อภัยรึเปล่าล่ะ?” เขาตอบกลับ
การให้อภัย จำเป็นต้องรู้ก่อนว่าตัวเองนั้นทำอะไรผิดและรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กับเขา เขาไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด แล้วทำไมเขาจะต้องเอ่ยคำว่าให้อภัยออกมาล่ะ?
ซูย้าวชะงักไปด้วยความประหลาดใจ “คุณ….”
เธอคิดไม่ถึงเลยสักนิด ว่าคนคนหนึ่งทำไมถึงหน้าด้านหน้าทนได้ขนาดนี้!
ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นมารูปหัวเธอเบา ๆ “ผมแค่รู้สึกว่าเมื่อก่อนผมติดค้างคุณมากเกินไป ผมถึงอยากจะชดใช้ให้คุณดี ๆ อย่าเพิ่งโวยวายเลย บอกผมมาสิ ว่าความทรงจำของคุณฟื้นฟูกลับมาทั้งหมดรึยัง? หืม?”
หญิงสาวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจ เธอดันตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนชายหนุ่มอย่างโกรธจัด พร้อมกับถอยหลังไปสองสามก้าว จนเกือบจะถูกรถที่ขับผ่านไปมาชนเข้า และเป็นลี่เฉินซีอีกเหมือนเดิมที่เอื้อมมือออกไปดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขนของเขาเพื่อช่วยเธอไว้อีกครั้ง
“บอกแล้วไง ว่าเลิกโวยวายได้แล้ว เป็นเด็กดีหน่อย” น้ำเสียงของเขาอบอุ่น และแผ่วเบา ซึ่งหาได้ยากมากที่เขาจะดูเหมือนปลอบใจเธอแบบนี้
ซูย้าวเองก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะมาดี และไม่คิดด้วยว่าเขาจะหน้าด้านได้ถึงขั้นนี้ เธอรีบสะบัดมือหนาของชายหนุ่มออก ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไป