เรือสำราญลอยละล่องอยู่ในมหาสมุทรอย่างไร้จุดหมาย โลดแล่นเคว้งคว้าง เฉกเช่นความทุกข์ทรมานของศตวรรษ จนทำให้คนเรามีความรู้สึกหวาดหวั่นต่อการทะยานเข้าไปขุมนรก ที่ไร้การช่วยเหลือ
ซูย้าวกับโม่หว่านหว่านถูกลิดรอนการกระทำทุกอย่าง และถูกคุมขังโดยที่ไม่ทราบวันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ทว่าทางฝั่งเมือง A นั้น การประกาศผลการประมูลเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ มาถึงกำหนดการที่ได้แจ้งไว้แล้ว
ตามที่ทุกคนได้คาดการณ์เอาไว้ ทางบริษัทลี่ซื่อชนะประมูลอย่างไร้ข้อกังขา และได้รับสิทธิพิเศษในเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ของอ้าวไห่ทั้งหมด
ทุกอย่างดูสมเหตุสมผลมาก ลี่เฉินซีใช้เวลาในการเตรียมแผนมาอย่างยาวนาน และเป็นการเริ่มต้นดำเนินการอย่างเป็นทางการทีละขั้นทีละตอน เมื่อได้ทราบถึงข้อสรุปแล้ว เขาไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกออกมามากมายนัก ในทางกลับกันกลับรู้สึก สถานการณ์ตึงเครียดและต้องทำบางอย่างแล้ว
ส่วนเรื่องการติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ซึ่งทำให้ลี่เฉินซีไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เขาเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพียงคนเดียว พร้อมทั้งลงบันทึกประจำอย่างละเอียด แต่เมื่อตอนเห็นเอกสารที่อีกฝ่ายเป็นคนส่งมาให้ ถึงกลับใจสั่นไปชั่วขณะ เพราะทุกฉบับมันเป็นสรุปหลักฐานการกระทำความผิดของอานเจียเย้นทั้งสิ้น อย่างเห็นได้อย่างชัดเจนมาก แต่ในตารางด้านล่าง กลับไม่ใช่ชื่อของอานหว่านชิง แต่แก้ไขเป็นชื่อของลี่เฉินซีไปเสียนี่
“พวกเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว เพราะว่าคดีมีความคลาดเคลื่อน ดังนั้นจึงติดต่อคุณไป เอกสารคดีนี้ทุกอย่าง บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมนี้ทุกคน ชี้เป้าไปที่ผู้หญิงที่ชื่อว่าอานหว่านชิง ซึ่งไม่ใช่คุณ เรื่องนี้ คุณคิดเห็นว่าอย่างไรครับ?”
คำพูดของอีกฝ่าย ชัดเจนทุกถ้อยคำ
ทว่าเมื่อเข้าโสตประสาทของลี่เฉินซีแล้ว ราวกับเป็นสายฟ้าฟาดสนั่นหวั่นไหว จนทำให้เขาทั้งแปลกใจและไม่อยากจะเชื่อ
ซูย้าวลบชื่อของตนเองทิ้งทั้งหมด และเปลี่ยนเป็นชื่อเขาแทน
นี่มันไม่ใช่การโยนความผิดของตัวเองให้คนอื่น แต่เป้าหมายคือการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างถึงที่สุด จนเจอต้นตอเบาะแส จนได้มีการติดต่อกับลี่เฉินซีมา เพื่อให้เขาใช้ข้ออ้างนี้ในการพูดถึงอานเจียเย้นมีผลประโยชน์จากโครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ และโยนความผิดมาให้บริษัทลี่ซื่อ และให้เขาตกเป็นแพะรับบาปแทน
เธอใช้ความพยายามอย่างยากลำบาก เพื่อเขาจริงๆ …
เขาแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าเล็กน้อย และเริ่มควบคุมอาการหวั่นใจไม่ค่อยได้ ความประทับใจชั่วขณะ ทำให้ใบหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง และยกมือขึ้นมากุมหน้าผากแทน
“ฝั่งตรงข้ามจงใจโยนความผิดให้คุณ หรือจะพูดว่าเรื่องนี้มีเหตุจูงใจอย่างอื่น รบกวนช่วยพูดความจริงกับทางเราให้ชัดเจนด้วย ได้ไหมครับ?”
ลี่เฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน จึงพยักหน้าให้ “ครับ ผมจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้ กับพวกคุณ แต่เรื่องแรกคือ ผมต้องการชี้แจงว่า เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างนี้ อานหว่านชิงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยโดยตรง แต่เธอถูกคนซัดทอดโยนความผิดให้ เรื่องนี้ ผมหวังว่าพวกคุณจะตรวจสอบได้อย่างชัดเจน”
“ได้ครับ ขอแค่คุณพูดความจริงทุกอย่างมา พวกเราต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงตามสุดกำลัง ถ้าพิสูจน์แล้วว่าอานหว่านชิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทางเราจะไม่มีวันยัดเยียดข้อหาให้คนดีอย่างแน่นอนครับ”
เมื่อได้รับคำสัญญาจากอีกฝ่ายแล้ว ลี่เฉินซีจึงนำสิ่งที่ตนเองรู้มาทั้งหมด และหลักฐานที่ตนเองมีอยู่ในมือ พูดอธิบายให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหมดเปลือก และยังกำชับให้หวางอี้ไปยังห้องทำงานของตนเอง เพื่อเอาเอกสาร ออกมาจากตู้นิรภัยส่วนตัว และเอามาส่งมอบให้
หลังจากทำทุกกระบวนการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทนายส่วนตัวของเขาจึงมาถึงทางนี้พอดี หลังจากทนายเจรจาสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ลี่เฉินซีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงสามารถกลับบ้านได้อย่างสวัสดิภาพ
ยามเมื่อหวนกลับไปที่บริษัทลี่ซื่ออีกครั้งนั้น ลู่ส้าวหลิงกับเจียงจี้เซิงก็นั่งรอเขาอยู่ในห้องทำงานอยู่แล้ว พอเห็นเขากลับมาพลันลุกขึ้นพร้อมทั้งสอบถามทันที “ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพูดว่าอย่างไรบ้าง?”
“จะตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนที่สุด” นี่ถือว่าเป็นขั้นตอนแรก ซึ่งมันทำให้เขาเริ่มรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบในภายภาคหน้าต่อไปหรือไม่
เจียงจี้เซิงขมวดคิ้วทันที “เลขาฯของฉันตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มคนลักพาตัวไปแล้ว”
ตอนที่เขาพูดนั้น พลันยื่นเอกสารที่ได้เปิดอ่านอยู่ก่อนตั้งนานแล้วกับลู่ส้าวหลิงให้ลี่เฉินซี ตอนนั้นกล้องวงจรปิดตรงร้านสะดวกซื้อจับภาพผู้ชายคนนั้นไว้ได้ ข้อมูลอันละเอียดของบุคคลนั้น ชายบุคคลนี้มีคดีติดตัวตั้งมากมาย เพราะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษจากคดีอาญามาได้ไม่นานนัก ส่วนเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอานเจียเย้นหรือไม่ ยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด
เมื่อเห็นข้อมูลที่อยู่ด้านบน พลันรู้สึกว่ามีข้อมูลให้เห็นไม่มากนัก ลี่เฉินซีกวาดตามอง พลันวางลงด้านข้าง “บุคคลที่เป็นคนลักพาตัวไป ต้องไม่ใช่ผู้ชายคนนี้คนเดียวแน่ พวกเขาต้องได้รับคำสั่งจากอานเจียเย้น อีกอย่างอาศัยแค่เอกสารพวกนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา”
ลู่ส้าวหลิงรู้สึกเช่นเดียวกัน ถ้าสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้โดยตรง เขาก็เอาหลักฐานไปแจ้งความแล้วแหละ คงไม่ต้องมานั่งรอนานสองนานเช่นนี้
“พวกเรายังต้องใช้แผนการเดิมก่อนหน้านี้ แต่เรื่องพวกนี้ ต้องคำนึงไปทางร้ายที่สุดด้วย ค่อยๆ เป็นค่อยไปดีกว่านะ!”
เขาพูดไป พลางปลดเนคไทออก และสาวเท้าก้าวยาวเดินอ้อมไปยังโต๊ะทำงาน ตอนที่เปิดคอมพิวเตอร์นั้น หวางอี้เคาะประตูและเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ประธานลี่ครับ ที่คุณให้ไปตรวจสอบ ตรวจสอบจนเจอแล้วครับ” หวางอี้เดินนำหน้าขึ้นมา พลางส่งเอกสารหนึ่งฉบับที่อยู่ในมือมาให้ด้วย
ลี่เฉินซีกวาดตามองแป๊บเดียว ด้านบนมีโค้ดรหัสขึ้นมายาวเป็นแถบ เขาพิมพ์ข้อความลงบนแป้นพิมพ์ พริบตาเดียวหน้าจอจึงดับวูบ เพื่อเป็นการเชื่อมต่อ พลันปรากฏภาพหน้า และเป็นโค้ดรหัสยาวเป็นแถบ จนปรากฏขึ้นมา
เขาใส่โค้ดรหัสและตัวภาษาอังกฤษเป็นชุด หน้าจอเปลี่ยนทันที จากนั้นจึงปรากฏเป็นหน้าต่างเล็กๆ ขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน หวางอี้ได้ยื่นเอกสารมาอยู่ตรงหน้าของเขา ลี่เฉินซีเหลือบมองอย่างเฉยเมย พร้อมทั้งใส่ตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษลงไปอีกเซท ทันใดนั้น ภาพหน้าจอจึงเริ่มเปลี่ยนไป จนกลายเป็นหน้าจอที่เชื่อมต่อคลิปวิดีโออยู่
ก่อนหน้านี้ เขาได้ให้แอบสั่งให้คนคิดหาวิธีในการติดต่อกับอานเจียเย้น วิธีการจำพวกนี้ ไม่ใช่ทางโทรศัพท์ และไม่ใช่ ID วีแชท แต่อย่างใด คนอย่างอานเจียเย้น คงไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ในการถ่ายทอดออกคำสั่ง เขาจะเลือกใช้วิธีแปลกประหลาดและไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ใครแน่
เช่นวิธีการได้ติดต่อสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตอร์เช่นนี้ ไม่ว่ารายละเอียดในสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายคุยอะไรกันอยู่ก็ตาม หรือว่าจะพิมพ์อะไรเทือกนั้น เพียงพริบตาเดียว พวกแฮกเกอร์พวกนั้นจะลบทิ้งไม่เหลือซาก ทำได้อย่างไม่ทิ้งร่องรอย จนใครจับมือดมไม่ได้
ฝ่ายเทคนิคของทางบริษัทลี่ซื่อยังมีชื่อเสียงเลื่องลือกระฉ่อนไม่เป็นสองรองใคร และใช้เวลาอันสั้นที่สุด ในการหาวิธีช่องทางติดต่อ
เมื่อเห็นตรงหน้าต่างเล็กๆ ที่กำลังเชื่อมต่อเพจนั้น สัญชาตญาณของหวางอี้แวบมาอยู่ทางด้านข้าง ในเวลาเดียวกัน ลู่ส้าวหลิงกับเจียงจี้เซิงสมาธิจดจ่อ และพยายามไม่พูดมาจาอะไรออกมา
ชั่วครู่ เพจที่กำลังเชื่อมต่ออยู่นั้นจึงปรากฏให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามได้กดรับสายแล้ว จากนั้น หน้าเพจจึงเปลี่ยนไป บนหน้าจอนั้น ปรากฏเป็นใบหน้าอันแสนขาวโพลนแกมดื้อรั้น ของอานเจียเย้นทันที
อานเจียเย้นไม่ใช่นักธุรกิจกลุ่มคนเอเชีย แต่มีลักษณะลูกครึ่งอย่างชัดเจน ผมสั้นสีดำ รูม่านตาเหลืองอัน ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างเป็นสัดส่วน เป็นชายหนุ่มที่หล่อทุกมุม อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เขาในยามนี้ เอนหลังพิงกับโซฟาอย่างเกียจคร้าน พลันมองใบหน้าของลี่เฉินซีที่อยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา และแสยะยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งรอยยิ้มดั่งการเยาะเย้ย และเห็นได้อย่างชัดเจน “ช่างยากเย็นเหลือเกิน ที่ท่านประธานของบริษัทลี่ซื่อ ติดต่อผมมาด้วยตนเอง”
“ผู้หญิงของผมอยู่ในมือคุณ ผมก็เข้าไปรับช่วงโครงการของคุณแล้ว แล้วคุณว่าผมจะติดต่อคุณกลับไปไหมล่ะ?” น้ำเสียงลี่เฉินซีเย็นเฉียบ นัยน์ตาแสดงความยุ่งเหยิงอย่างไม่แสดงความหมาย จนเห็นได้อย่างชัดเจน
อานเจียเย้นยิ้มอย่างเฉยเมย “ผู้หญิงของคุณ? หมายถึง…”
เขาเป็นประเภทรู้แล้วยังแสร้งถาม ลี่เฉินซีพลันขมวดหัวคิ้วอย่างหมดอารมณ์ทันที และให้คำตอบกลับไป “ซูย้าว”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นคุณซูหรือเนี่ย” อานเจียเย้นทำเสียงสูง และไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเอาไว้แน่น “อานหว่านชิงนั่นแหละ”
“หว่านชิงเหรอ?” อานเจียเย้นเลิกคิ้วขึ้นพร้อมหรี่ตาเล็กน้อย “ถ้าผมจำไม่ผิด เธอเป็นน้องสาวผมนี่ แถมยังเป็นว่าที่ภรรยาของผมอีกต่างหาก และไปเป็นผู้หญิงของท่านประธานลี่ตอนไหนกัน?”
ลี่เฉินซีถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมทั้งเก็บงำความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาเอาไว้ และเพิ่มน้ำเสียงลงออกไป ทีละคำ “ตกลงว่าเธอคือใครกัน มันก็ไม่สำคัญอะไร อานเจียเย้น พูดกันอย่างลูกผู้ชายแล้วกัน ต้องทำยังไงคุณถึงยอมปล่อยตัวเธอสักที?”
พลันหยุดพูดเล็กน้อย เพื่อพูดเสริมต่อ “ยังมีลูกผมอีกสองคน”