หลังจากซูย้าวเอนหลังลงนอนแล้ว จึงปิดไฟหัวเตียงที่อยู่ด้านข้างลง จากนั้นบรรยากาศในห้องจึงเข้าสู่ท่ามกลางความมืดมน เธอเองก็หลับตาลง
ซึ่งไม่ได้หลับจริงอย่างแน่นอน แม้ว่าเธอจะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็ไม่ถึงขั้นหัวแตะหมอนแล้วหลับเป็นตายขนาดนั้น อีกอย่าง ข้างกายมีหมาป่าผู้หิวโหยอยู่ แล้วจะไม่ระวังตัวมากขึ้นได้อย่างไรกัน
แต่นอนไม่หลับก็ต้องแกล้งหลับ และยังควบคุมการหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเวลานอนหลับนั้น ถือว่าปกติ และเรียบเฉย ซึ่งสงบนิ่งไม่มีการผันผวนเช่นช่วงตอนตื่นนอน
เธอนอนตะแคง พลางจับสัมผัสทุกอย่างทางด้านหลังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ราวกับอานเจียเย้นไม่คิดจะทำอะไร หรือว่าตอนนี้ไม่อยากทำอะไร เขาเอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง ไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาสักนิด
ยังคงรักษาความเงียบงัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ซูย้าวมักรู้สึกว่าผ่านช้าไปชั่วศตวรรษแล้ว การเผชิญหน้าดังกล่าว ต้องแลกมาด้วยอะไร เธอไม่รู้ และไม่มีทางคาดเดาได้เลย
เฉกเช่นหัวใจที่กำลังโลดโผนราวกับม้าเป็นหมื่นตัวโลดแล่นและหวาดหวั่นของซูย้าว ช่วงเวลาเต้นแรงนั้น จึงจับสัมผัสได้ว่าทางด้านหลังเรื่องมีการเคลื่อนไหวแล้ว ชายหนุ่มเหมือนลุกขึ้น สักพัก เธอจึงรู้สึกว่าเตียงอีกฝั่งยวบตัวอย่างหนัก จากนั้น ผ้าห่มก็ถูกคนเลิกขึ้น อานเจียเย้นตอนตะแคงลงเช่นกัน
เขาไม่ได้จงใจเขยิบเข้าใกล้เธอ กระทั่งใช้มือสัมผัสเธอ ก็ไม่เคยทำ
อานเจียเย้นแค่นอนอยู่อีกฝั่งเตียง และนอนตะแคงอยู่เท่านั้น
ซูย้าวไม่ขยับเขยื้อน เขาก็ไม่ขยับสักนิด ต่างนิ่งเกร็งกันเช่นนี้ ราวกับการต่อสู้กับอาการตื่นตระหนกอยู่ในสงคราม และเหมือนเกมอย่างหนึ่ง คู่ต่อสู้ไม่ขยับฉันก็ไม่ขยับ แต่ร่างกายไม่สามารถทนทานกับสรีระ ซูย้าวง่วงนอนจริงๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ระยะนี้ เธอกับโม่หว่านหว่านถูกกักบริเวณอยู่ในวิลล่าด้วยกันตลอด แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเป็นที่ยอมรับได้ แต่ร่างกายยังอยู่ในค่ายศัตรู และเธอจะนอนหลับเต็มตาได้อย่างไรกัน
ในเวลานี้เอง เธอง่วงมากจริงๆ เลย แต่ว่ายังพยายามฝืนกลั้นต่อสู้อย่างหนักหน่วง พยายามไม่ให้หลับ
ไม่รู้ว่าฝืนกลั้นไว้นานขนาดไหน ราวกับเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ทางอานเจียเย้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซูย้าวนอนตะแคง พลันรู้สึกเหน็บชาไปครึ่งตัว แต่ก็ไม่กล้าทำตัวว่อกแว่กมากนัก เพราะเกรงว่าถ้าตัวเองทำอะไรสักอย่างลงไป ก็จะปลุกเร้าความกระหายดั่งสัตว์ของผู้ชายแทน เธอจำต้องระมัดระวังให้มาก
จนฟ้าเกือบสาง ตะวันทอแสงเช่นนั้น ทางอานเจียเย้นถึงได้เริ่มเคลื่อนไหวเงียบๆ เขาลุกขึ้น จากนั้นจึงห่มผ้าทางด้านข้างให้เธอ “นอนหลับให้สบายนะ”
คำพูดสั้นๆ อันแผ่วเบาไม่กี่คำ เขาจึงลุกขึ้น จากนั้นพลันมีเสียงฝีเท้า และเสียงเปิดปิดประตู ดังขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ซูย้าวใช้จังหวะหลังจากนั้น ผุดนั่ง และมองภายในห้องไม่มีใครสักคนอยู่แล้ว ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก และเอนตัวนอนอย่างปล่อยตัว และเผลอหลับไปจริงๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั้น คล้ายเป็นเวลาหลังจากนั้นสิบกว่าชั่วโมง มีแสงพระอาทิตย์ส่องสะท้อนผ้าม่านหนาทึบทางด้านนอก ทั้งงดงาม และอบอุ่น
ซูย้าวขยี้ตาด้วยจากอาการงัวเงีย และเริ่มขยับตัวเล็กน้อย พลันได้กลิ่นยาสูบอย่างหนักหน่วงและกลิ่นผู้ชายเฉพาะตัวเตะเข้าจมูกเป็นอันดับแรก เมื่อผสมมาพร้อมกัน แต่กลับไม่เหม็น กระทั่งยังให้ความรู้สึกเย้ายวนแปลกใหม่แทน
เพียงแต่ ความรู้สึกเช่นนี้ มันทำให้เธอ …
หลังจากซูย้าวตั้งสติและเพ่งมองดูแล้ว ถึงได้สังเกตเห็นว่า ไม่รู้ว่าตนเองไปนอนหนุนหน้าตักของชายหนุ่ม ตั้งแต่ตอนไหนกัน เธอตอบสนองทันที จึงรีบดิ้นรนเพื่อผุดลุกขึ้น แต่กลับถูกอานเจียเย้นควบคุมให้ลงไปนอนอีกครั้ง จนขยับตัวไม่ได้สักนิด
“อยากจะทิ้งผมกันดื้อๆ แบบนี้เชียว?” เสียงต่ำของเขาลักษณะเหมือนแม่เหล็กอยู่บ้าง พร้อมทั้งหลุบตาลง ลึกซึ้งราวมหาสมุทร หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ร่องรอยความเศร้าโศกปะปนอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาสง่างาม “กลัวผม หรือเกลียดผมงั้นเหรอ? หรือ เป็นเพราะเขา?”
เขาที่อานเจียเย้นหมายถึง หมายถึงลี่เฉินซีนั่นเอง
ซูย้าวสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างเบื่อหน่าย ซึ่งในเวลานี้ไม่มีความรู้สึกง่วงนอนเหลืออีกแล้ว พลันมีความเย็นชาทอประกายออกมาทางสายตา แต่เพียงไม่กี่วินาทีนัก และยังตอบกลับอย่างมั่นใจ “ความเกลียดมันเยอะกว่ามั้ง!”
“แล้วเกลียดผมเรื่องอะไรล่ะ?” เขาถามกลับ พลางใช้มือปัดเส้นผมที่คลอเคลียบริเวณแก้มของเธอ “เกลียดที่ผมไปแก้ไขความทรงจำของคุณงั้นเหรอ? หรือว่าเกลียดที่ผมส่งตัวคุณกลับไปยังเมืองAเพื่อพบกับเขาอีกครั้ง และหลงรักเขาซ้ำอีกครั้ง หรือจะเกลียดผมที่สามารถควบคุมคุณกับเขาในเวลานี้ได้กันแน่?”
ซูย้าวขมวดคิ้วหากันอย่างหมดความอดทน “เกลียดที่คุณทำไมไม่ฆ่าฉันในตอนนั้น เกลียดที่คุณทำไมต้องฆ่าลูกชายฉันด้วย!”
อานเจียเย้นถอนหายใจทันที “ลูกคนนั้นของลี่หมิง พิเศษมาก ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เด็กแบบนี้ ไม่ใช่การถ่ายทอดทางพันธุกรรมตามธรรมดาอย่างแน่นอน ผมเห็นความเป็นผมก่อนหน้านี้ บนตัวเด็กคนนั้น”
“ชิงชิง ผมสามารถให้สภาพแวดล้อมกับเด็กคนนี้ที่ดีกว่า และสามารถฝึกฝนเขาให้กลายเป็นคนที่ดีกว่า ให้เขาได้เดินตามผม และรับช่วงต่อจากผมในวันข้างหน้า ไม่ดีเหรอ?”
เขาขยับมือเพื่อประคองใบหน้าของเธอ “หรือว่าเวลายาวนานขนาดนี้แล้ว คุณยังมองไม่ออกอีกเหรอ ผมแกร่งกล้ากว่าลี่เฉินซี ในทุกด้าน และทุกแง่มุม ลี่หมิงคอยเดินตามผม ถือว่าฉลาดที่สุดแล้ว”
“ให้เขาเป็นคนแบบคุณเหรอ? พอโตขึ้นมาก็ทำแต่ความชั่ว เพื่อจุดประสงค์ พร้อมทั้งใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหาผลประโยชน์ตามใจปรารถนา พลันทำร้ายคนอื่นเขาไปทั่วเพื่อความสนุกสนาน คอยตามล่ามหาเศรษฐีชนชั้นสูงที่มีเงิน เพื่อให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวแตกสลายกันไปตามๆ กัน และบังคับให้คนอื่นฆ่าตัวตายจนเสียชีวิต จากนั้นจึงเป็นปีศาจอย่างมีความสุข แบบนี้ใช่ไหม?” ซูย้าวต่อสู้กลับด้วยเหตุผล
เธอพูดสั้นๆ จนพูดขนาดอานเจียเย้นไม่ยอมพูดอะไรแล้ว
จังหวะช่องว่างที่เขาเลือกความเงียบนั้น ซูย้าวฉวยจังหวะดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา และผุดนั่งทันที เพราะว่าภายในห้องอาการเริ่มหนาวขึ้นบ้างแล้ว ฉะนั้นจำต้องเอาผ้าห่มมาห่อตัวเอาไว้
“คุณมองผมแบบนี้เหรอ?” อานเจียเย้นย้อนถามกลับ พลันหันตัวมองเธออีกครั้ง “คุณคิดว่าสิ่งที่ผมเคยทำมาทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจทำเหรอ?”
มันไม่ใช่เลย!
บางครั้ง เมื่อมองจากหลายๆ มุมและพูดออกมานั้น อานเจียเย้นเองก็เป็นถูกกระทำคนหนึ่งเช่นกัน
เคยมีอยู่หลายเรื่อง ต่างไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา เพ้ยหยู่เจี๋ยเป็นคนฝึกฝนเขามากับมือ ราวกับการฝึกสัตว์ป่าเดรัจฉานจนเชื่องให้กลายเป็นคน มีเรื่องราวอีกมากมาย การที่เขาสามารถลงมือทำเช่นนั้นได้ เกินครึ่งมาจากถูกบีบบังคับจนทำอะไรไม่ได้
จุดเริ่มต้นของมนุษย์ มีจิตใจประเสริฐถือว่าดี นิสัยเลวทรามต่ำช้าก็ช่าง ต่างมีขั้นตอนกระบวนการกันทั้งสิ้น ดังนั้นพื้นฐานอิทธิพลของครอบครัวมีความสำคัญมาก แม่บุญธรรมใช้ความรักอย่างสงบเงียบ ทำให้เขาเข้าใจถึงความกตัญญูรู้คุณ และเป็นคนที่มีจิตใจดีคนหนึ่ง
แต่ช่างน่าเสียดาย อิทธิพลในแง่บวกเช่นนี้ ไม่ได้มีอิทธิพลอยู่นานนัก
นี่ก็เป็นปัจจัยที่ทำไมอานเจียเย้นถึงมีร่องรอยความเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผลอยู่ในใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งมาจากแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูเขามา ส่วนความชั่วร้ายที่อยู่จำนวนมากนั้น มาจากเพ้ยหยู่เจี๋ยบิดาของเขาเอง
สำหรับเพ้ยหยู่เจี๋ยนั้น เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ
แต่หมายความว่ายังไงล่ะ?
ทั้ง ๆ ที่รังเกียจคน ขยะแขยงคนคนนี้ กระทั่งเกลียดขนาดที่อยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาไปตลอดชีวิต ปลดพันธนาการ แต่ยังอยู่ในวังวนความมืดหม่น และใช้ชีวิตจนกลายเป็นเขาในลักษณะนี้
อานเจียเย้นเป็นเช่นนี้
“คุณคิดว่าผมชอบควบคุมคนอื่นจริงๆ เพื่อล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเช่นนั้นเหรอ? ชิงชิง ผมคิดมาตลอดว่าคุณควรจะเป็นคนที่เข้าใจผมที่สุดแล้ว แต่ราวกับผมคิดผิดไปแล้ว”
อานเจียเย้นถอนหายใจเล็กน้อย พลันลุกขึ้นตัวตรงและเดินมุ่งหน้าไปทางด้านนอกทันที
เขาเดินออกไปจากห้อง และปิดประตูลง ราวกับเป็นการทิ้งระยะห่างของคนสองคน วินาทีนั้น ซูย้าวเหมือนกับยางรัด ที่ผ่อนคลายตัวลงอย่างกะทันหัน
เธอไม่เข้าใจอานเจียเย้นงั้นเหรอ?
ไม่นะ เธอเข้าใจต่างหาก
ถ้าเธอไม่เข้าใจจริงๆ ในปีนั้นที่เธอโดนล้างความทรงจำไปในระยะเวลาสองปี ก็คงไม่เลือกที่จะอยู่ข้างกายเขา แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เธอก็จะเลือกหาโอกาส ในการหลบหนีไปให้ไกลๆ
เธอเข้าใจดีว่า ความผิดอาจไม่ใช่อานเจียเย้น แต่การเกิดอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวทรามดั่งปีศาจ กับเพ้ยหยู่เจี๋ยที่เป็นปีศาจตัวจริงได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่า นี่มันเรื่องราวในอดีต
หลังจากเพ้ยหยู่เจี๋ยเสียชีวิตลงแล้ว อานเจียเย้นมารับช่วงต่อหลังจากเขาทั้งหมด เขายังยืนกรานในการยึดติดกับอดีต เลวทรามต่ำช้าสุดทาง นี่เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ไม่มีใครบีบบังคับเขาเลยด้วยซ้ำ มันเป็นข้ออ้างหลังจากที่เขาตัดสินใจเลือกทำเลวทรามต่ำช้าแล้วก็เท่านั้นเอง!
ทั้งหมดมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดซูย้าวต้องเข้าใจเขาอีกล่ะ?
เขาเป็นคนเลวที่แสนชั่วช้าอย่างไม่น่าให้อภัยไปแล้ว และไม่มีทางไถ่ถอนอีกแล้ว และไม่มียารักษา สิ่งเดียวที่เธอต้องทำก็คือ ยื้อเวลาให้ลี่เฉินซี เพราะว่าเธอเชื่อมั่นในตัวเขา ว่าเขาต้องมาช่วยเหลือตนเองได้อย่างแน่นอน!
ต้องมาแน่!